เคราะห์ดีที่หญิงชราตระกูลเหลียงจากไปเร็ว มิเช่นนั้นชีวิตของหลิวฟางคงไม่ดีแบบนี้
แม่เฒ่าเหลียงคัดค้านการรับหลิวฟางเข้าเป็สะใภ้สุดความสามารถ ตอนแรกเหลียงปิ่งอันถึงกับหวั่นไหวแล้ว ถ้าหลิวฟางไม่ทุบหม้อจมเรือ[1]อดทนสักตั้ง เธอไม่มีทางได้แต่งงานกับเหลียงปิ่งอันแน่นอน
เมื่อพบย่าอวี๋ หลิวฟางก็นึกถึงย่าของเหลียงปิ่งอัน ผ่านไปสิบกว่าปี ภาพจำของแม่เฒ่าเหลียงยังคงทิ้งไว้ให้หลิวฟางไม่จางหาย พอเจอย่าอวี๋ ความทรงจำของเธอก็หวนคืนกลับมา
มิใช่ว่าทั้งสองคนรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกันมากมาย แต่เป็บุคลิกที่คล้ายคลึงกัน ไม่ด่าทอหรือทุบตีคุณ แต่เมื่อดวงตาหนึ่งคู่นั่นมองคุณจากศีรษะจรดปลายเท้า คุณจะสงสัยว่าตนเองต่ำต้อย เป็บุคคลที่ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
ท่าทีของย่าอวี๋ทำให้หลิวฟางหวั่นเกรง คำพูดคำจาจึงค่อนข้างระมัดระวัง
“คุณป้าคะ หลิวเฟินอยู่ที่นี่หรือเปล่า ฉันเป็น้องสาวของเขา เมื่อวานแจ้งทางโทรศัพท์แล้ว วันนี้ฉันมาเพื่อเยี่ยมพี่สาวฉันน่ะค่ะ”
เธอมอบใบหน้ายิ้มแย้มให้ แต่งกายภูมิฐานสะอาดสะอ้าน จะบอกว่าไม่น่าเอ็นดูได้หรือ?
หลิวฟางน่าเอ็นดูแน่นอน มิเช่นนั้นในตอนแรกเธอจะแต่งงานเข้าบ้านเหลียงได้อย่างไร ทว่าความน่าเอ็นดูของเธอนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครเป็ผู้รับ
ย่าอวี๋ไม่หลงกลเธอ
ั้แ่สายตาจวบจนรูปลักษณ์ ย่าอวี๋พอดูออกโดยคร่าวๆ ว่าหลิวฟางเป็คนแบบไหน ถ้ามิใช่เพราะความสัมพันธ์ของเธอกับหลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานใน่นี้น่าประทับใจขึ้นบ้าง เธอจะกันหลิวฟางไว้ข้างนอกอย่างไม่มีข้อยกเว้น
“พี่สาวเธอไปทำงานแล้ว เธอเข้ามารอก่อนสิ”
ย่าอวี๋เปิดประตู คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งยโสไม่เบา
หลิวฟางย่องเท้าเข้ามาด้านใน
ลานบ้านของย่าอวี๋ไม่เหมือนตอนเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งเช่าเท่าไรแล้ว ตอนนั้นบ้านหลังใหญ่โตก็จริง แต่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาใดๆ ย่าอวี๋ทิ้งลานบ้านกว้างไว้เฉยๆ โดยไม่มีอารมณ์ที่จะใส่ใจดูแล เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่เดือน กระทั่งลานบ้านก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปด้วย หลิวเฟินไม่ใช่คนรสนิยมชั้นสูงอะไร จะให้เธอจัดสวนสวยราวฤดูใบไม้ผลิอันน่าหลงใหลนั้นไม่มีทางเป็ไปได้
ทว่าหลิวเฟินขยันขันแข็ง เป็มือวางอันดับต้นๆ ในการทำนา ไม่ต้องพูดถึงการเพาะปลูกผักกระจุกระจิกในสวน
เธอไม่ได้ขุดสวนของบ้านย่าอวี๋จนเละเทะ แต่ปลูกพวกเครื่องปรุงอาหารที่ใช้บ่อยอย่างต้นหอม ขิง กระเทียมไปตามแนวกำแพง รวมถึงกุยช่ายอีกหนึ่งกอ พอฤดูหนาวผ่านพ้นไปและฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือน พืชผักพวกนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว สีเขียวชอุ่มชุ่มชื่นที่อยู่รอบกำแพงดูน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก
แถมหลิวเฟินก็กลัวว่าลูกสาวทบทวนบทเรียนทุกวันจะรู้สึกเหนื่อยล้า จึงอยากเปลี่ยนอารมณ์ให้เธอ ซื้อกล้วยไม้ราคาต้นละไม่กี่เหมามาจำนวนมาก เดิมทีอยากปลูกไว้ในสวน ย่าอวี๋ที่ทนดูไม่ได้ ไม่รู้ว่าไปหากระถางดินเก่ามากมายมาจากที่ไหน ทว่าพอย่าอวี๋ลงมือเอง กล้วยไม้ราคาต้นละไม่กี่เหมาก็มีระดับขึ้นในบัดดล เรียงเป็แถวบนขอบหน้าต่างนอกห้องของเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างสวยงาม
กลิ่นหอมอ่อนของดอกกล้วยไม้ทำให้หลิวฟางตกตะลึง
ย่าอวี๋วางตัวน่าเกรงขาม เธอเดาที่มาที่ไปของย่าอวี๋ไม่ได้ ย่อมต้องทำตัวนอบน้อมน่าเอ็นดูต่อไปมิใช่หรือ?
ย่าอวี๋เอาม้านั่งให้เธอตัวหนึ่ง เธอจึงนั่งลงรออย่างว่าง่าย รอได้สักพัก นิสัยดั้งเดิมก็เหนือกว่าอยู่ดี
“คุณป้า พี่สาวฉันทำงานอะไรหรือ ไม่เคยได้ยินเธอพูดถึง”
ย่าอวี๋ชำเลืองมองเธอ นับั้แ่เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินมาเช่าบ้านในซางตู ญาติคนนี้มาหาเป็ครั้งแรก ในเมื่อหลิวเฟินยังไม่บอก ย่าอวี๋จะปากมากได้อย่างไร ความคิดของคนคนนี้ถูกเขียนไว้บนหน้าหมดแล้ว ยังกล้าล้วงข้อมูลต่อหน้าเธออีกหรือ?
ย่าอวี๋สนทนากับหลิวฟางเป็ระยะ ล้วงข้อมูลจากหลิวฟางกลับแทน
หลิวฟางบอกว่ากลัวพี่รองที่หย่าร้างจะพาหลานสาวมาใช้ชีวิตในเมืองมณฑลอย่างยากลำบาก วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมโดยเฉพาะ อ้อมไปอ้อมมา ก็สอบถามจากย่าอวี๋ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีคนรักหรือไม่ และคนรักเป็คนที่ไหน
ท่าทางห่วงใยเื่การแต่งงานของหลานสาวมากกว่าห่วงใยพี่สาวผู้หย่าร้างมากโข
ย่าอวี๋นึกถึงหน้าตาของเซี่ยเสี่ยวหลานนั่นแล้ว ภายในใจก็พอรู้ว่าอะไรเป็อะไร
“คนรักหรือ? ฉันเห็นว่าดีนะ เหมาะสมกับหลานสาวคุณมากทีเดียว”
อันที่จริงย่าอวี๋ไม่เคยแม้แต่จะพบปะกับโจวเฉิงด้วยซ้ำ หน้าตาพอดูได้ใช่ไหมนะ แต่ยิ่งกว่านั้นคือเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้ฉลาดหลักแหลมไม่ใช่ย่อย จะถูกผู้ชายหลอกลวงง่ายๆ ได้เชียวหรือ? ย่าอวี๋คิดในใจ คนรักที่เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกเอง ต้องดีกว่าคู่หมายที่น้าสาวแววตาล่อกแล่กคนนี้แนะนำอย่างแน่นอน
หลิวฟางกลับจินตนาการไปไกลแล้ว
เหมาะสมกับเซี่ยเสี่ยวหลานมาก?
เซี่ยเสี่ยวหลานแค่มีใบหน้าสะสวย ทว่าใช้ทะเบียนบ้านชนบทรวมถึงไม่มีวุฒิการศึกษากับอาชีพ คนรักที่เหมาะสมกับเธอมาก คงไม่พ้นชายหนุ่มหน้าตาไม่เลวสักคน อาจไม่มีกระทั่งงานการเป็หลักแหล่ง เป็พวกเสเพลเกียจคร้านเอ้อระเหย หลิวฟางรู้สึกมั่นใจ ไม่ว่าวิวาห์ที่เธอจะแนะนำนั้นจะเป็เช่นไร เปรียบเทียบคุณสมบัติแล้วก็เป็ผลดีต่อเซี่ยเสี่ยวหลานมากกว่า
เวลาใกล้เที่ยง ในที่สุดหลิวเฟินก็กลับมา
กลับมาด้วยอาการรีบเร่ง เห็นน้องสาวของเธอและย่าอวี๋สนทนากันไปได้ดีทีเดียว?
ย่าอวี๋กลายเป็หญิงชราอัธยาศัยดีต้อนรับขับสู้ั้แ่เมื่อไร หลิวเฟินซาบซึ้งใจน่ะสิ คิดว่าย่าอวี๋ดีต่อเธอถึงได้ทำเช่นนี้
ย่าอวี๋มองแววตาของหลิวเฟินก็คาดเดาความคิดเธอได้
ไม่เสียแรงที่เป็พี่น้องร่วมสายเื โง่เง่าเหมือนกันทั้งสองคน คนหนึ่งโง่แบบซื่อตรงทำเอาปวดหัว อีกคนหนึ่งโง่เง่าแบบคิดว่าตนเองฉลาดเฉลียวทำเอาต้องหัวเราะลั่น แต่คนที่อาศัยอยู่กับย่าอวี๋หลายเดือน มักยิ้มแย้มแจ่มใสต่อเธอ ช่วยเธอกวาดถนนและทำอาหารให้เธอ คือคนโง่เง่าที่ทำเอาปวดศีรษะนั่น เธอรังแกหลิวเฟินได้ ทว่าคนอื่นจะมารังแกถึงที่ไม่ได้!
“เธอกลับมาก็ดี ฉันจะไปกวาดถนนแล้ว”
ย่าอวี๋ลากไม้กวาดของตนออกมา หลิวฟางอึ้งอยู่พักใหญ่ และถามพี่รองของเธอ “กวาดถนนหรือ?”
หลิวเฟินตอบว่าใช่ หลิวฟางโมโหแทบตาย
เป็เพียงหญิงชรากวาดถนน เธอพะเน้าพะนออย่างระมัดระวังเพื่ออะไรกัน ย่าของเหลียงปิ่งอันดูแคลนเธอในตอนนั้น นั่นเพราะว่าบ้านเหลียงมีน้ำยาจริง หญิงชรากวาดถนนคนหนึ่งคิดจะทำตัวยโสโอหังต่อหน้าเธอเหมือนกันหรือ!
หลิวฟางอยากก่นด่าเสียหน่อย แต่ก็นึกถึงธุระสำคัญในการมาของเธอขึ้นได้
เธอมองไปด้านหลังของหลิวเฟิน “ทำไมไม่เจอเสี่ยวหลานล่ะ?”
“เธอออกไปข้างนอกยังไม่กลับมาน่ะ”
ออกไปข้างนอกที่หลิวเฟินพูดคือการไปปักกิ่ง ทว่าหลิวฟางเข้าใจผิดว่าออกไปค้าขายยังไม่กลับมา
เธออดกลั้นความเร่งร้อนในใจไว้ และนำของออกมาส่งให้หลิวเฟิน “ขนมนี่คนอื่นเขาให้ มันดูดีจนฉันไม่กล้ากินเลยเอามาให้พี่กับเสี่ยวหลานลองชิม ส่วนเนื้อหมูนี้สำหรับพวกพี่ใหญ่ ครอบครัวเขาสามคนไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ? เสื้อนี่...”
หลิวฟางอยากพูดว่าเสื้อนี่สำหรับให้พี่ใส่ ทันใดนั้นถึงเห็นว่าพี่รองของเธอไม่ได้แต่งกายซอมซ่อดั่งที่เธอจินตนาการ
ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเก่ามีรอยปะ ตัวที่ใส่อยู่ก็ไม่เหมือนตอนฉลองตรุษจีนด้วย ไม่ถือว่าทันสมัยมากมายนัก แต่เนื้อผ้าและการตัดเย็บไม่ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าที่หลิวฟางใส่เป็ประจำ
อย่างน้อยก็ดีกว่าเสื้อสองตัวที่เธอนำมาแน่นอน
คำพูดของหลิวฟางจึงถูกกลืนกลับลงไป “ฉันฟังจากยายกวาดถนนคนนั้นว่าพี่กำลังทำงาน พี่ทำงานที่ไหน?”
โรงงานเปิดรับสมัครคน ถ้าบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานโชคดีจับพลัดจับผลูสอบเข้าไปได้ หลิวฟางยังเชื่อ ส่วนหลิวเฟินหญิงชนบทอายุปูนนี้ ระดับการศึกษาก็แค่เคยเข้าร่วมชั้นเรียนเบื้องต้น[2] อายุอานามไม่น้อย จะหางานอะไรได้กัน?
ถ้างานในเมืองหาง่ายขนาดนั้น คงไม่มีหนุ่มสาวว่างงานทั่วบ้านทั่วเมืองหรอก
หลิวเฟินโกหกไม่เก่ง หลี่เฟิ่งเหมยตอกย้ำตักเตือนหนักหนา เธอห้ามพูดว่า “หลานเฟิ่งหวง” คือธุรกิจของครอบครัว แต่บอกว่าทั้งสองช่วยคนอื่นดูแลร้านได้ อย่างน้อยๆ อยู่ต่อหน้าคนบ้านเหลียงต้องพูดเช่นนี้
“ฉันช่วยคนเขาขายเสื้อผ้า เก็บเงิน ขนของ”
ช่วยคนขายเสื้อผ้าหรือ?
หลิวฟางราวกับตรัสรู้ แบบนั้นก็หายแปลกใจแล้วที่หลิวเฟินแต่งตัวไม่เหมือนเดิมเช่นนี้ พนักงานขายในห้างสรรพสินค้าต่างแต่งกายภูมิฐานกันทุกคน หากหลิวเฟินแต่งตัวไม่ดี ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์ของร้านไม่ใช่หรือ!
นานๆ ทีหลิวเฟินจะได้โกหก เธอรู้สึกตระหนก จึงก้มหน้ามุ่งไปยังห้องครัว
“อาฟาง เดี๋ยวฉันจะไปทำอะไรให้เธอกิน เธอรอนานขนาดนี้คงหิวแล้วสินะ?”
หลิวฟางใจร้อน “ไม่ต้องทำแล้ว ฉันจะพาพี่ออกไปกินข้างนอก กินข้าวเสร็จยังต้องไปซื้อเสื้อผ้าที่หลานเฟิ่งหวงอะไรนั่นให้เหลียงฮวนอีก”
เชิงอรรถ
[1] 破釜沉舟 ทุบหม้อจมเรือ หมายถึง ยอมสู้ตายไม่ถอย
[2] 扫盲班 ชั้นเรียนเบื้องต้น ความหมายจริงคือ ชั้นเรียนขจัดความไม่รู้หนังสือ มีที่มาจากการเคลื่อนไหวขจัดความไม่รู้หนังสือใน่ปี 1950 ถึงครึ่งแรกของปี 1953 กองทัพปลดแอกประชาชนจีนดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน เนื่องจากในยุคนั้นมีคนรู้หนังสือน้อย อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงมีจัดชั้นเรียนเปิดสำหรับผู้คนตามชุมชนทั่วไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้