Chapter 14
เช้าวันใหม่ที่คฤหาสน์กริฟฟิน อาการคัดจมูกราวปิดกั้นไม่ให้อากาศเข้าปอดปลุกให้เอเดนตื่น ร่างสูงยกมือนวดขมับไล่ความเ็ปที่กระบอกตา มองเพดานห้องนอนของตนเองในบ้านหลังเดิมที่เขาเติบโตขึ้นมาด้วยความว่างเปล่า และทรมานกับอาการเดิม ๆ ที่เขาเป็มาตลอด
มือหนาควานหารีโมท กดปุ่มเปิดผ้าม่านสีทึบที่บดบังหน้าต่างบานใหญ่ และท้องฟ้าในวันนี้เป็อย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด การหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขวางอยู่ในลำคอตลอดเวลาที่เขาเป็เช่นนี้มาพร้อมกับสายฝนบนท้องฟ้าเสมอ ด้านนอกหน้าต่างมีฝนตกหนักจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นนอกจากเม็ดฝนเทกระหน่ำ ทุกอย่างมืดครึ้มเป็สีเทาไร้ความสดใส
เขาพยุงตัวเองให้ลุกจากเตียง สะบัดผ้าห่มออกจากตัวด้วยความหงุดหงิด แล้วหยุดยืนมองท้องฟ้าด้านนอกอยู่นานด้วยใบหน้าและแววตาเรียบนิ่ง ดวงตาของเอเดนเป็สีแดงจาง เช่นเดียวกับปลายจมูกเต็มไปด้วยน้ำมูก หลังจากยืนเหม่อมองสายฝนหลายนาที เอเดนจามอย่างรุนแรง เขาเดินวนในห้องหากล่องทิชชูเช็ดปลายจมูก
“เอเดน เปิดประตูให้แม่ที” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นหน้าประตู เขาจึงแบกร่างของตัวเองไปเปิดประตูห้องนอนที่ล็อกสองชั้น
“เอเดน! เป็อะไรไป” เธอแปลกใจกับใบหน้าของลูกชายที่กลายเป็สีแดงจาง
“ก็… ฝนตกไงครับ” เอเดนตอบด้วยความแปลกใจเช่นกัน เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่อาการภูมิแพ้อากาศของเขากำเริบเมื่อฝนตก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมองเธอที่วางฝ่ามือแนบหน้าผากซึ่งอุณหภูมิปกติ
“นึกว่าลูกหายแล้วเสียอีก”
“ผมไม่เคยหาย”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวแม่จะให้คนเอายาขึ้นมาให้” เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะมีเื่อื่นที่สำคัญกว่าสำหรับเธอ
“ตอนเย็นพ่อจะกลับมา เขาบอกว่ามีเื่จะคุยกับลูก ขอร้องเถอะ อย่าทะเลาะกันอีก”
เอเดนกลอกตาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาปิดบานประตูเพื่อหลีกหนีคำพูดไม่น่าฟังจากแม่ ไม่ว่าเธอจะพยายามใช้ฝ่ามือดึงรั้งเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของเอเดนได้จึงปล่อยไป แล้วถอนหายใจเสียงดังก่อนจะเดินกลับห้องทำงานของตนเอง เธอลืมเื่ยาแก้แพ้ที่ต้องบอกสาวใช้เสียสนิท
ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขวางคออยู่ตลอดเวลาทำให้เอเดนไม่นึกอยากอาหาร ร่างสูงถอดชุดนอนออกจนร่างกายเปลือยเปล่า เขาเดินเข้าห้องน้ำทำกิจวัตรราวคนเหม่อลอยไม่ได้สติ ก้าวขาลงในอ่างอาบน้ำทรงวงรีสีเทาเข้มบรรจุน้ำอุ่นจนแทบร้อนเกือบเต็ม เอนหลังพิงศีรษะกับขอบอ่าง หลับตาจนภาพทุกอย่างมืดสนิท และว่างเปล่า
เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองตอนนี้ ราวกับมีบางอย่างที่เขาต้องทำ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร อีกด้านหนึ่งของความคิด เขากลับรู้สึกว่างเปล่าวูบโหวงที่หัวใจอย่างไม่เคยเป็มาก่อน เอเดนไม่สามารถพูดออกมาเต็มปากได้ว่ามันคือความเหงา เพราะเขามี่ชีวิตที่โหยหาความอิสระเพียงลำพัง ไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง ความเหงาเป็สิ่งที่เขา้าด้วยซ้ำ
เอเดนเผลอหลับไปเพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ความร้อนจากน้ำที่แช่ขับเหงื่อออกจากร่างกายกำยำโดยที่เขาไม่รู้ตัว เืภายในกายเริ่มสูบฉีดช้าลงอย่างอ่อนเรี่ยวแรง ห้วงนิทราที่แสนน่ากลัวกำลังคืบคลานเข้าหาเอเดน ช่วยเวลาสั้น ๆ เช่นนี้แต่เขากลับมีความฝันประหลาด ว่าเขาได้โบยบินบนอากาศขณะที่ฝนตก เขาบิน สูงขึ้น สูงขึ้นจนอยู่ท่ามกลางเมฆฝน เอเดนตะเกียกตะกายบินสูงขึ้นอีกจนพ้นเมฆก้อนใหญ่และสายฝนนี้
่ขณะหนึ่งที่เอเดนคิดว่าตนเองสามารถหลุดพ้นเมฆฝนไปได้ เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด แต่สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่อากาศบริสุทธิ์ แต่คือสายน้ำที่ทะลักเข้ามาในจมูกของเขาในโลกแห่งความเป็จริง
เอเดนสะดุ้งตื่นจากฝัน ตะเกียกตะกายหาอากาศที่แท้จริงจนน้ำในอ่างกลายเป็คลื่นกระเด็นออกนอกอ่าง และตกลงบนพื้นกระเบื้องห้องน้ำ เอเดนอ้าปากกว้างกอบโกยอากาศให้ตัวเองยังมีชีวิตรอด และสำลักน้ำจนไอหลายต่อหลายครั้งจนใบหน้าเปลี่ยนเป็สีแดงเข้ม
เอเดนหอบหายใจทางปาก เพราะจมูกของเขาแทบใช้งานไม่ได้ เขาเอนศีรษะพิงขอบอ่างอีกครั้งแล้วมองดวงไฟบนเพดานห้องน้ำด้วยความสับสนในความช่องว่างระหว่างความเป็และความตาย เอเดนไม่สามารถตัดสินความรู้สึกได้ว่าเขายินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือเสียใจที่ตื่นขึ้นมา
ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลกริฟฟิน เดินเข้าห้องทำงานชั้นหนึ่งของวิลเลียม กริฟฟินผู้เป็พ่อในเวลาสี่โมงเย็น ชายร่างสูงไม่ต่างจากเอเดนในชุดสูทเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วเหลือบตามองลูกชายเพียงเสี้ยววินาที แล้วก้มหน้ามองโมเดลจำลองตึกสูงของบริษัทที่ตั้งอยู่กลางห้องต่อพร้อมใบหน้าจริงจัง คิ้วของวิลเลียมขมวดมาชนกัน และคั่นกลางด้วยรอยย่นลึก
“แม่บอกว่าพ่อมีเื่จะคุยกับผม”
“ใช่” วิลเลียมยิ่งตั้งใจจ้องโมเดลตัวอย่างหนักขึ้น สายตามองที่ชั้นบนสุด ก่อนจะชี้ปลายนิ้วตาม “พรุ่งนี้แกต้องเริ่มงานที่นี่ ตำแหน่งรองประธาน”
“ผมไม่อยากทำ” เอเดนสวนทันควัน
“แกไม่มีสิทธิ์เลือก ฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำ ฉันทนรอแกเรียนต่อมามากพอแล้ว” พ่อของเอเดนเริ่มโมโห เืจะสูบฉีดขึ้นหน้าของเขาอย่างรวดเร็วเมื่อต้องเถียงกับลูกชาย
“แต่ผมไม่ได้เกิดมาบ้าเงินบ้าอำนาจแบบพ่อ ถ้าชอบนักก็ทำไปคนเดียวเถอะ”
“แกคิดว่าแกเป็ใคร! ถ้าไม่ทำตามที่ฉันสั่งแล้วคนอย่างแกจะทำอะไรเองได้! แกมันโง่เอเดน มีเงินล้นฟ้าให้แกใช้ทั้งชีวิตไม่หมด มีตำแหน่งสูงและอำนาจอยู่ในมือแต่ไม่รีบคว้า ไหน บอกหน่อยสิ ถ้าไม่ทำตามที่ฉันสั่ง แล้วแกจะเอาสมองเน่า ๆ ของแกไปทำอะไรได้!”
ดวงตาสีเฮเซลจ้องมองพ่อที่กำลังโกรธจัดจนเืขึ้นหน้า ราวกับมีเปลวไฟลุกในห้องทำงานแห่งนี้ และเผาไหม้กองเอกสาร รวมถึงตู้เซฟใส่เอกสารลับล้ำค่าของวิลเลียม กริฟฟิน เขารู้สึกสนุกที่คิดภาพแบบนั้นในหัวและหวังในใจว่าอยากให้มันเกิดขึ้นจริง เอเดนกำหมัดแน่นสะกดอารมณ์ของตนเองที่โกรธจัดไม่ต่างกัน แต่คนอายุน้อยกว่าอย่างเขายังสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าคนแก่ ๆ ที่บอกว่าตัวเองมีประสบการณ์อย่างพ่อหลายเท่า
เอเดนแสยะยิ้ม แล้วหัวเราะในลำคอ
“ทำแบบนี้ละมั้งครับ”
วิลเลียม กริฟฟินเลิกคิ้วสูงจนเห็นเส้นรอยย่นหลายเส้นที่หน้าผากอย่างสงสัย เอเดนล้วงซิปโป้ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาพร้อมกับจุดไฟ เขาโยนมันใส่โมเดลตึกบริษัทกริฟฟินด้วยรอยยิ้ม มันลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะส่วนฐานเป็ไม้กับกระดาษแข็งที่เป็เชื้อเพลิงชั้นดี
แล้วหันหลังเดินออกไป ท่ามกลางเสียงร้องะโของวิลเลียม กริฟฟินที่กำลังพยายามดับไฟ
เอเดนออกจากคฤหาสน์กริฟฟินทันทีก่อนที่จะมีใครจับเขาขังไว้ในห้องใดสักห้องหนึ่งของคฤหาสน์ ท้องฟ้าหลังฝนยังคงไม่สดใสและมีแต่สีเทา เขาขี่รถจักรยานยนต์ผ่านถนนออกนอกเมืองด้วยอุณหภูมิอากาศที่ต่ำลงจนความหนาวเย็นผ่านเสื้อหนังและกางเกงยีนเข้ามาบาดผิวกาย เอเดนอ้าปากเล็กน้อยเพื่อให้หายใจสะดวกในสภาพอากาศย่ำแย่เช่นนี้ และไอโขลกหลายครั้งแต่ไม่คิดจะจอดรถ
เส้นทางนอกเมืองเงียบสงบ มีรถวิ่งผ่านเอเดนเพียงแค่ไม่ถึงห้าคัน เขามุ่งหน้าต่อไปจนกระทั่งถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่พื้นถนนยังคงเปียกแฉะจากน้ำฝน เม็ดฝนที่ตกกระทบทำให้ใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนเป็สีน้ำตาลเหลืองร่วงหล่นเต็มพื้นคอนกรีตสีดำก่อนจะถึงเวลาของมัน
เขาจอดรถจักรยานยนต์ที่หน้าบ้านพักคนชราคามีเลีย ซึ่งเป็บ้านไม้สูงสามชั้นทาสีฟ้าหม่น ที่นี่คือที่พึ่งเดียวของเอเดนเมื่อเขา้าใครสักคน หัวใจที่วูบโหวงว่างเปล่าทำให้เขาอยากมาที่นี่ อย่างน้อยก็เพื่อพบกับคุณยายลิลลี่ อดีตแม่นมของเอเดนที่เลี้ยงดูเขามาั้แ่เป็ทารกจนเข้าสู่วัยรุ่น ผู้เป็ต้นเหตุที่ทำให้เอเดนแตกต่างจากพ่ออย่างสิ้นเชิง
ลิลลี่ไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูเอเดน หรือคอยรับใช้อยู่ในคฤหาสน์กริฟฟินอีก เพราะถูกแม่ของเอเดนไล่ออกอย่างโหดร้ายทั้งที่เธออายุมาก เนื่องจากพ่อกับแม่ของเอเดนเชื่อว่าที่เอเดนเริ่มขัดคำสั่งของพวกเขาเป็เพราะเธอคอยเป่าหู ลิลลี่ย้ายมาอยู่ที่บ้านพักแห่งนี้ด้วยเงินติดตัวไม่มากนัก เอเดนใช้เวลาตามหาเธออยู่นานจนในที่สุดก็พบ แล้วแวะเวียนมาหาเธอเสมอ
นอกจากคุณยายลิลลี่ที่รักและเอ็นดูเอเดนราวลูกหลานแท้ ๆ เขายังเป็ขวัญใจของคุณตาชาร์ลี ผู้มีร่างผอมแห้งผมสีขาวทั้งหัว คุณตาวอร์คเกอร์จมูกปลายงุ้มเครายาวสีขาวมีหน้าท้องใหญ่เหมือนซานตาคลอส คุณยายเอ็มม่าผู้าุโร่างผอมบางที่มักถักผมสีขาวโพลนของเธอเป็เปียเดี่ยวแล้วปัดไว้ที่ไหล่ซ้าย และคุณยายเคเรนหญิงร่างท้วมผมแซมขาวปากเล็กแต่ชอบพูดรัวจนแทบฟังไม่ทัน พวกเขาต่างเอ็นดูเอเดนและเห็นเขาเป็หนุ่มน้อยช่างอ้อน เมื่อใดที่เอเดนมาเยี่ยมบ้านคามีเลียที่หดหู่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นความตายแห่งนี้จะสดใสขึ้นมา
แต่ในวันนี้บ้านพักคนชราคามีเลียกลับเงียบสนิทอย่างน่าประหลาดใจ เอเดนมองซ้ายมองขวาตามหาคุณยายลิลลี่ที่มักนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้บุนวมในห้องสมุดแต่ก็ไม่พบ
“คุณยายลิลลี่ครับ! ผมมาเยี่ยม”
“พวกเราอยู่ทางนี้เอเดน”
เอเดนเดินตามเสียงตอบรับของคุณยายลิลลี่ไปที่ห้องนั่งเล่นรวมใหญ่ และน่าแปลกใจที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ แยกย้ายกันนั่งคนละมุมของห้องโถง จับจองเก้าอี้คนละตัวด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและกังวลจนสังเกตได้ เอเดนกวาดตามองทุก ๆ คนในห้อง ลองนับจำนวนและพบว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้
“ทำไมถึงมารวมตัวกันอย่างนี้ล่ะครับ แล้วคุณยายเอ็มม่าล่ะ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างเคย เพราะแค่เอเดนก้าวเท้ามาที่นี่ ความขมขื่นของชีวิตก็สามารถละทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วยิ้มร่าเริงแจกจ่ายอารมณ์สดใสให้ทุกคนได้
แต่ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครตามคำถามของเขา แม้จะเอ่ยด้วยเสียงที่มั่นใจว่าทุกคนจะได้ยิน ยกเว้นคุณตาชาร์ลีที่เริ่มหูตึง คุณยายลิลลี่เงยหน้ามองเอเดนเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก้มหน้าก้มตาถอนหายใจเสียงดัง ดูหนังสือสูตรอาหารที่หน้านั้นมีแต่ภาพพายเบอร์รี่บนตัก
เอเดนกวาดตามองคุณยายเคเรน ผู้ที่ห้ามให้ตัวเองหยุดพูดยากที่สุด แต่เธอกลับหลบตาเขาแล้วหันหลังให้ เขาจึงมองไปที่คุณตาวอร์คเกอร์ แต่ชายชราก้มหน้าหนีแล้วลูบเคราสีขาวของตัวเองอย่างเคร่งเครียด เอเดนจึงไม่มีทางเลือก เขามองผู้ช่วยของผู้ดูแลบ้านพักซึ่งเป็ชายหนุ่มอายุน้อยที่เขาไม่เคยเห็นหน้า และกำลังนั่งหลับสัปหงกอยู่ที่โต๊ะทำงานเล็ก ๆ มุมห้อง
“นี่ คุณ” เอเดนเคาะโต๊ะเสียงดังเพื่อปลุกให้อีกฝ่ายตื่น
“ครับ!” ผู้ช่วยสะดุ้งขานรับเป็เสียงะโ แล้วเงยหน้ามองเอเดนพร้อมขมวดคิ้ว
“คุณยายเอ็มม่าไปไหน” ดวงตาชายหนุ่มกวาดมองรอบห้อง แล้วกวาดมองเหม่อที่ผนังราวกับกำลังนึก
“คุณยายเอ็มม่า คนที่ผมสีขาวและถักเปีย”
“อ๋อ คุณยายคนนั้น เมื่อเช้านี้เธอลื่นล้มในห้องน้ำครับ ผู้ดูแลพาเธอไปที่โรงพยาบาลั้แ่เช้าแล้วยังไม่ติดต่อกลับมา!”
เอเดนใเบิกตากว้าง เหล่าคุณตาคุณยายคนอื่น ๆ ในห้องบ้างก็ถอนหายใจเสียงดัง บ้างก็ครางในคออย่างคนหงุดหงิดอารมณ์เสีย บ้างก็ตบหน้าผากตนเองเมื่อได้ยินคำตอบของผู้ช่วยแม้พวกเขารู้เื่นั้นก่อนหน้านี้แล้ว แต่ได้ยินกี่ทีก็พาความเครียดและกลิ่นความตายมาหาพวกเขาทุกครั้งจนต้องระบายออกมาเป็อะไรสักอย่างหนึ่ง
คุณยายเอ็มม่าอายุมากที่สุดในบ้านพักแห่งนี้ เธอเริ่มเดินไม่ไหวแต่ยืนยันว่าจะทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยตัวเอง ทั้งการเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ หรือลุกขึ้นเดินไปหยิบของ เอเดนจึงยิ่งโมโหและเริ่มโวยวายกับผู้ช่วย
“ไม่มีคนดูแลเลยเหรอ พวกคุณปล่อยให้คุณยายเอ็มม่าเข้าห้องน้ำเองเหรอ!”
“คือผม ไม่… ผมไม่ทราบ”
“ถึงเธอจะบอกว่า้าทำเอง แต่เธออายุ 89 เดินก็แทบจะไม่ไหวแล้ว ยังปล่อยให้เข้าห้องน้ำเองเนี่ยนะ!” ชายผู้ช่วยตัวสั่น ไม่กล้าเอ่ยข้อแก้ตัวที่ตนเองเป็จิตอาสาเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อตอนสาย
“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
“ผมไม่—”
“ไปหาคำตอบมา ฉันจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะพาทุกคนไปที่นั่นด้วย”
“แต่ผู้ดูแลบอกว่า… ห้ามให้… ให้ใครไปที่นั่น”
“พูดอะไรเหลวไหล!” เอเดนกัดฟัน ดวงตาจ้องชายผู้ช่วยจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวหดเล็กลง
“ทุก ๆ คนควรรีบไปหาเธอตอนนี้ ถ้าช้ากว่านี้เธออาจตายไปแล้วก็ได้”
คำพูดของเอเดนกลับทำให้ภายในห้องเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ ชายผู้ช่วยนิ่งราวน้ำแข็ง มีเพียงดวงตาที่เหลือบมองเหล่าคนชราที่นั่งตามมุมต่าง ๆ เอเดนจึงหันมองพวกเขา
ทุกคนต่างจ้องมองเอเดนด้วยแววตาของความโกรธ เพราะเอเดนพูดคำต้องห้ามที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยง และวิ่งหนีมันด้วยขาอ่อนแรงกับข้อเข่าเสื่อมโทรมมาตลอดั้แ่เหยียบบ้านคามีเลีย เมื่อเช้าที่คุณยายเอ็มม่าลื่นล้มในห้องน้ำโดยไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงร้องกรี๊ดใ กลิ่นความตายก็คละคลุ้งในบ้านสีฟ้าหม่นแห่งนี้มากกว่าวันไหน ๆ การมาเยี่ยมเยียนของเอเดน และเอ่ยคำพูดไม่น่าฟังสำหรับพวกเขาจึงไม่ใช่เื่น่ายินดี
คุณยายเคเรนมองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึงและสะบัดหน้าหนีราวไม่อยากมองอีก คุณตาวอร์คเกอร์มองเอเดนด้วยดวงตาที่สั่นระริก มืออวบกำเครายาวของตัวเองแน่น คุณตาชาร์ลีที่หูตึงยังได้ยินคำคำนั้นจากปากเอเดนเพราะเขาะโเสียงดังก็มองเอเดนตาขวางเช่นกัน เขากวาดตามองไปที่คนสุดท้าย คนที่เอเดนรักที่สุด และหวังให้เป็ที่พึ่งของเขา
แต่ดวงตาที่เคยมองเอเดนด้วยความรักใคร่ ความอบอุ่นอ่อนโยนที่แผ่จากตัวเธอ และมอบอ้อมกอดปลอบประโลมจิตใจให้เขาั้แ่แบเบาะ ตอนนี้มันกลับหายไปจนไม่เหลือร่องรอยเดิม คุณยายลิลลี่มองเอเดนด้วยความโกรธจัด และก้มมองหนังสือหน้าเดิมที่ตัก ปากเธอเม้มเป็เส้นตรงราวรับไม่ได้กับสิ่งที่เอเดนพูดและจะไม่มีวันให้อภัย
แม้แต่คนที่เอเดนรักที่สุด และเชื่อมั่นว่าจะรักเขาไม่ว่าเขาจะเป็อะไรกลับมองเขาเช่นนี้ เอเดนก็ไม่มีเหตุผลที่จะยืนอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้ว ทุกสายตาที่จ้องมองเขาเต็มไปด้วยความโกรธและรังเกียจ เขาไม่อาจทนอยู่ที่นี่เพื่อทำร้ายจิตใจบอบช้ำเป็ทุนเดิมของตนเองได้อีกต่อไป
เอเดนเดินออกจากบ้านคามีเลีย คว้าเสื้อแจ็กเกตหนังที่พาดไว้บนรถมาสวมลวก ๆ และไม่คิดจะสวมถุงมือเพราะอยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาไม่นึกอยากสวมหมวกกันน็อกด้วยซ้ำ
“มนุษย์หลีกหนีความตายไม่ได้หรอก”
เสียงแหลมดังขึ้นเป็ประโยคแปลกประหลาด เอเดนจึงชะงักมือที่กำลังสตาร์ทเครื่องยนต์ และหันมองที่มาของเสียงนั้น หญิงสาวตัวสูงผมตรงยาวถึงเอวสีดำสนิทเ้าของเสียงเดินออกมาจากหลังต้นไม้ เธอสวมชุดกระโปรงยาวผ้าลูกไม้สีดำสนิทไม่ต่างจากผมของเธอ ดวงตาของเธอเฉี่ยวชั้นเดียว มีจุดเล็กสีดำหลายจุดบนใบหน้า ปากมีสีทับทิม
“สักวันหนึ่งคุณยายเอ็มม่าจะต้องตาย เธอพูดถูกแล้ว พวกเขาต่างหากที่พยายามหนีความจริง”
“แอบฟังแบบนี้ไม่คิดว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทอยู่เหรอ” อารมณ์โมโหของเอเดนยังไม่ลดลง เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แล้วพูดจาแปลก ๆ กับเขา
“ฮ่า ๆ” แต่เธอกลับไม่ทุกข์ร้อนแล้วหัวเราะด้วยเสียงเล็กแหลม “ยังหงุดหงิดอยู่สินะ”
หญิงผมยาวสีดำเดินเข้ามาในเขตบ้านคามีเลีย ชุดกระโปรงยาวลากพื้นเปื้อนดินชื้นในแปลงปลูกผักเล็ก ๆ ที่มีผักสดสีเขียว แต่ไม่มีใครคิดจะเก็บหรือดูแลต่อใบจึงเริ่มเหี่ยว เธอก้มลงดึงต้นมันขึ้นมา มองรากและโคนต้นที่กำลังเน่าแล้วหัวเราะอีกครั้ง
“ถ้าหงุดหงิด…” เธอมองหนอนตัวอ้วนที่กำลังกินผักสีเขียวด้วยแววตาเป็ประกาย ก่อนจะเหลือบมองเอเดน
“ทำไมไม่ลองขับรถเร็ว ๆ ดูล่ะ”
เอเดนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ พลางคิดว่าการยืนฟังคนแปลกหน้าที่พูดจาแปลก ๆ เช่นนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด เขาสวมหมวกกันน็อกเต็มใบแล้วสตาร์ทรถ ก่อนจะวิ่งตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เพียงแค่คิดว่าอยากไปให้ไกลจากเมืองบ้านเกิดที่มีแต่พวกคลั่งอำนาจเท่านั้น
ฟ้าครึ้มเต็มไปด้วยเมฆสีเทาไม่สดใสเริ่มมืดลงกว่าเดิม อุณหภูมิก็ต่ำลงเช่นกัน เสื้อแจ็กเกตหนังที่ไม่ได้รูดซิปจึงปลิวตามลม มือเปลือยเปล่าสองข้างไม่ได้สวมถุงมือััความเย็นเฉียบถึงกระดูกจนมันชาไร้ความรู้สึก เอเดนยังคงทรมานทุกครั้งที่หายใจทางจมูก เพราะแทบไม่มีอากาศผ่านเข้าไปได้เลย
กระทั่งฝนเริ่มโปรยปรายลงมาในที่สุด เอเดนชะลอความเร็วให้ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย และมุ่งหน้าเดินทางอย่างไร้จุดหมายบนถนนว่างเปล่าที่รอบข้างเป็ทุ่งหญ้าสั้นแห้ง ๆ สุดลูกหูลูกตา แล้วมีเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีสายไฟฟ้าแรงสูงตั้งเป็แนวบนพื้นหญ้า
ฝนตกหนักเรื่อย ๆ บดบังเส้นทาง และขวางกั้นการมองเห็น เอเดนกำลังชะลอความเร็วอีกขั้นก่อนผ่านสี่แยกข้างหน้าไป และมีรถบรรทุกคันใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาจากแยกทางซ้ายมือ เอเดนตั้งใจจะเบรกให้รถคันใหญ่ที่วิ่งด้วยความเร็วไปก่อน แต่มือทั้งสองข้างกลับแข็งชาเพราะความหนาวเย็นจึงแทบไม่ขยับ
หัวใจของเอเดนเต้นระรัวในอก เขาเหลือบมองรถบรรทุกที่กำลังวิ่งมาและไม่คิดจะเบรกให้เขาอย่างแน่นอน แต่มือของเขาก็ขยับไม่ได้ราวกับไม่ใช่ร่างกายของตนเอง
เขาจึงเริ่มกะระยะทางและความเร็ว เอเดนมั่นใจว่าถ้าหากเขาไม่หยุดรถตอนนี้ รถจักรยานยนต์กับรถบรรทุกคันใหญ่จะที่กลางสี่แยกพอดี หัวใจของเขาจึงยิ่งสั่นไหวอย่างรุนแรง พร้อมลำคอแห้งแล้งเพราะกอบโกยอากาศเข้าไปแทนจมูก
เอเดนคิดว่าไม่มีทางรอด
เขาจึงมุ่งหน้าต่อไป
เอเดนบังคับให้มือของตนเองบิดคันเร่งสุดแรง
เขาพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จนอีกไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่เขาจะถึงสี่แยก พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกดังลั่นที่เริ่มใกล้เข้ามา
ดวงตาสีเฮเซลหรี่ลงจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ด้วยหัวใจเต้นระรัวกับความกลัว และกลิ่นความตายที่ชัดเจน
สายลมรุนแรงจากรถบรรทุกแล่นผ่านข้างหลัง พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ ทำให้เอเดนเบิกตากว้างกว่าเดิม มือที่แข็งทื่อกลับมาใช้งานได้อีกครั้งเขาจึงชะลอความเร็วจนรถจอดนิ่งบนถนนที่มีสายฝนโปรยปรายใต้ท้องฟ้าสีเทา
เอเดนวาดขาลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อกเต็มใบออกจากหัวแล้วทรุดตัวลงนั่งพิงรถจักรยานยนต์คันใหญ่ของตัวเองราวคนหมดแรง ดวงตาสีเฮเซลมองสี่แยกที่ตนเองเพิ่งขับผ่านมา แต่สายฝนบดบังจนมองเห็นเพียงภาพเลือนราง กลิ่นความตายยังคงคละคลุ้งอยู่รอบตัวของเขา และความหนาวเหน็บที่เข้าโจมตีจนริมฝีปากซีดไร้เืเริ่มสั่น
เอเดนรู้สึกราวกับตนเองเพิ่งหนีความตายพ้น
โจไซอาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เพราะเก็บตัวอยู่ในห้องนอนที่ข้าวของหายไปทั้งหมด เหลือเพียงผนังและพื้นสีขาวโล่ง ที่ยังเหมือนเดิมคือกลุ่มหมอกลอยอยู่บนเพดาน ซึ่งมันลอยตัวต่ำจนแทบเอื้อมมือแตะได้ และกลายเป็สีเทาเข้มราวกับควันไหม้ ห้องนอนของโจไซอาเป็เช่นนี้เพราะเ้าของบันดาลมันขึ้นมาด้วยตัวเอง
ร่างเพรียวบางที่ผอมแห้ง ผิวสีซีดเซียวไม่สดใสนั่งอยู่ที่มุมห้อง กอดเข่าร้องไห้สลับกับเหม่อลอย คิดว่าผ่านไปเป็ปีหลังจากได้เจอเอเดนครั้งสุดท้าย แต่เพิ่งผ่านไปแค่ห้าวันเท่านั้น มือเรียวยกขึ้นปิดปากเริ่มไออย่างรุนแรงอีกครั้ง มืออีกข้างกุมหน้าท้องเอาไว้จากความเ็ปทุกครั้งที่ไอ และรู้สึกถึงของเหลวที่เปรอะเปื้อนฝ่ามือ เขาจึงปล่อยมือออกแล้วจ้องมองเืสีแดงสดนิ่ง
“ลูกรัก” เสียงอบอุ่นของเทพแห่งความผูกพันดังขั้น ผู้เป็พ่อกวาดตามองรอบห้องนอนที่น่าหดหู่ของลูกแล้วแตะมือกับผนังสีขาวเพื่อเปลี่ยนให้มันเป็ห้องนอนที่มีเตียงกับข้าวของเครื่องใช้ตามเดิม
เทพแห่งความผูกพันนั่งลงเคียงข้างลูกชายหัวแก้วหัวแหวนช้า ๆ หยิบผ้าสีขาวสะอาดเช็ดเืที่เลอะตามมุมปากกับคางเรียวของโจไซอา และเช็ดบนฝ่ามือข้างขวาจนผ้าสีขาวละเลงด้วยสีแดงสดไม่เหลือพื้นที่ว่าง
“ลูกไม่ควรอยู่ในห้องสีขาวโพลนน่าหดหู่เช่นนั้น”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนล่องลอยไม่เหลือเค้าความสุขสดใสอย่างที่ผู้เป็พ่อปรารถนาให้ลูกเป็ โจไซอามองพ่อนิ่ง แล้วเงยหน้ามองกลุ่มหมอกแห่งอารมณ์ที่ไม่ต่างจากเมฆฝนก้อนใหญ่ พร้อมจะเทสายฝนลงมา
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เมื่อหมอกยังเป็สีเทาเช่นนี้” เสียงของโจไซอาแหบแห้ง และเจ็บราวมีมีดกรีดที่ลำคอทุกครั้งที่พูด
เทพแห่งความผูกพันพรูลมหายใจ นั่งกับพื้นเอนหลังพิงกำแพงข้างโจไซอา ดึงร่างผ่ายผอมซบไหล่แล้วลูบแขนหนังหุ้มกระดูกแ่เบา
“พ่อมีเื่จำเป็ต้องบอกลูกโจซี่”
“เกี่ยวกับเอเดนหรือเปล่า”
โจไซอาเงยหน้ามองพ่อด้วยแววตาที่มีความหวังอีกครั้งแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม และดวงตายิ่งเป็ประกายกระตือรือร้นขึ้นอีกเมื่อพ่อพยักหน้า แต่ข่าวที่เทพแห่งความผูกพันต้องบอกลูกชายไม่ใช่เื่น่ายินดี เขาจึงลำบากใจ
“อายุขัยของเอเดน กริฟฟินสั้นลงเร็วมาก พ่อคิดว่าเขาอาจเหลือเวลาอีกไม่ถึง 5 วัน”
ความหวังที่ก่อเกิดในแววตาแตกสลายอย่างรวดเร็ว น้ำตาอำนาจทำลายล้างเอ่อขอบตาสีแดงช้ำ แม้โจไซอาร้องไห้จนคิดว่าคงไม่มีน้ำตาหลงเหลือในร่างกายอีกแล้ว แต่มันกลับไหลออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้จุดสิ้นสุด ร่างกายสั่นอย่างน่าสงสารจนพ่อต้องกอดเอาไว้แน่น
“ไม่ ท่านพ่อ…” โจไซอาผละกอด ยกมือปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วเอ่ยเสียงมุ่งมั่น
“ลูกจะไปหาเทพแห่งความตาย”
“โจซี่ ร่างกายของลูก—”
“ลูกรู้ดีว่าโรคนี้เป็อย่างไรท่านพ่อ ลูกจะมีแรงอีกเฮือกหนึ่งเพียงพอให้เดินทางไปที่นั่น”
“ลูกแน่ใจหรือว่าเทพแห่งความตายจะช่วยลูก”
“ลูกไม่สน ลูกจะทำทุกวิถีทางให้เอเดนมีชีวิตอยู่”
เขาลุกขึ้นเดินด้วยขาผ่ายผอมทั้งสองข้างของตนเอง โจไซอามุ่งมั่นและแน่วแน่ว่าจะต้องขอร้องอ้อนวอนให้เทพแห่งความตายช่วยต่ออายุขัยให้เอเดน ไม่สนว่าเธอไม่เป็มิตรกับเทพองค์อื่น และเคยมีอดีตที่ไม่ลงรอยกับเขาเมื่อหลายปีก่อน
ความรักของโจไซอาทำร้ายให้เขาเ็ป
และผลักดันให้โจไซอายอมแลกทุกอย่างเพื่อเอเดนพร้อมกัน
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้