เกรงว่าชาตินี้เยี่ยนฟางหวาคงต้องตายภายใต้อำนาจและอิทธิพลแล้ว
เมื่อหญิงรับใช้รีบรุดไป เยี่ยนเจาเจาก็เขี่ยพู่บนเบาะเล่นพลางคิดชั่วร้ายไปด้วย
หญิงรับใช้ไม่รู้ว่าคุณหนูห้าผู้น่ารักอ่อนหวานคิดสิ่งใดอยู่ นางรู้เพียงว่าเยี่ยนเจาเจาไม่ได้พูดเท็จ
นางบอกว่าจะไม่รอพาเยี่ยนฟางหวาเข้าวัง เื่นี้ไม่มีทางโกหกแน่
เยี่ยนเจาเจาได้ยินเสียงหอบหายใจของหญิงรับใช้ค่อยๆ ห่างออกไปก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ เจาเจาคิดว่าเยี่ยนฟางหวาใช่ว่าจะชอบเหลียงอิน นางแค่ชอบตำแหน่งเหนือคนนับหมื่นก็เท่านั้น
เหลียงอินกับเยี่ยนฟางหวาช่างเหมาะสมกันจริงๆ คนหนึ่งอยากเป็ฮ่องเต้ อีกคนอยากเป็ฮองเฮา
ทว่าสำหรับเยี่ยนเจาเจาแล้ว ตำแหน่งฮองเฮาก็มิได้น่านัก ชาติก่อนนางอยากเป็ฮองเฮาเพียงเพราะเห็นแก่คนอย่างเหลียงอิน เดิมทีฮองเฮาก็เป็แค่ของแถมจากความปรารถนาในตัวเหลียงอินเท่านั้น
ส่วนในชาตินี้ นางี้เีแม้กระทั่งจะปรายตามองเหลียงอินด้วยซ้ำ
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เยี่ยนเจาเจาก็เผลอมองหนานิเหอที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง พี่ชายรองของนางดูดีมาก เหตุใดนางจึงไม่มองพี่ชายรองที่รูปงามดั่งบุปผา แล้วค่อยไปมองคนเลวอย่างเหลียงอินกันนะ?
พี่ชายรองที่ “รูปงามดั่งบุปผา” ไม่รู้ว่าเหตุใดญาติผู้น้องของตนจึงมองเขาเช่นนี้
ญาติผู้น้องคนเล็กนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับเขามาก่อน แต่นางก็ไม่เคยพึ่งพาเขาขนาดนี้
พี่ชายรองไม่เข้าใจ จึงคิดเพียงว่ามีคนฉวยโอกาสตอนตนไม่อยู่มารังแกแม่หนูผู้น่าสงสารเข้า
เขานึกว่าเจาเจาไม่ได้รับความเป็ธรรมจึงหันไปมองนาง คาดไม่ถึงว่านางจะยิ้มตาโค้งมีเสน่ห์ ส่งลักยิ้มเล็กตรงมุมปากอ่อนหวานเกินต้านทานมาให้แทน
“พี่ชายรอง วันนี้ท่านพ่อให้ท่านคัดกวีอะไรหรือเ้าคะ?”
ไม่รู้ว่าหนานิเหอคิดสิ่งใดอยู่ เขาถึงได้หยิบม้วนตำราออกมาจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้นางผ่านหน้าต่างเล็ก
เมื่อนางรับไปอ่านก็พบว่านี่มิใช่ตำราจัดพิมพ์ แต่เป็ม้วนผ้าไหมสีขาวที่เข้าเล่มเอง ข้างหน้าเขียนกวีไว้หลายบท ซึ่งล้วนเป็ลายมือของหนานิเหอทั้งหมด
กวีที่เขาคัดลอกมาข้างต้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง ทว่ามีบทหนึ่งที่สะดุดตาเยี่ยนเจาเจา
ดาราพร่างพราวพาตพาพัด เรือนเลื่อมพรายชั่วตราตรึง
กายไร้ปีกบินเคียงคู่ จิตปฏิพัทธ์สื่อถึงกัน
นอกจากกวีบทนี้จะสะดุดตานางแล้ว ตำราหน้านี้ยังทับดอกไม้แห้งไว้ดอกหนึ่ง เป็ดอกซิ่งฮวา[1]
ซิ่งฮวาดอกนั้นโดนหน้าตำรากดจนแบน แม้ไม่มีความชุ่มชื้นหลงเหลืออีกแล้ว แต่กลับหลีกหนีชะตากรรมเน่าเปื่อยสลายเป็ดินได้พ้น
กลีบดอกซิ่งฮวาที่เดิมเป็สีขาวบริสุทธิ์ ตอนนี้เพียงเปลี่ยนเป็สีเหลืองเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่ามันจะถูกทับกับผ้าไหมขาว แต่กลับไม่มีรอยยับสักนิด เห็นได้ชัดว่าเ้าของทะนุถนอมมันเพียงใด
เจาเจารู้สึกว่าดอกซิ่งฮวาค่อนข้างคุ้นตา ทว่าที่นางประหลาดใจยิ่งกว่าคือกวีบทนี้
มันทั้งซาบซึ้งกินใจและทุกข์ระทมยิ่งนัก โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ดาราพร่างพราวพาตพาพัด”
ชาติก่อนเหลียงอินมักเอ่ยท่อนหลังตอนหลอกลวงนาง แต่ไม่ว่าเขาจะพูด “กายไร้ปีกบินเคียงคู่” กวนใจนางแค่ไหน เยี่ยนเจาเจากลับยังรู้สึกรักเพียงท่อน “ดาราพร่างพราวพาตพาพัด” มากที่สุด
กวีบทก่อนหน้าไม่ได้จดเวลา แต่บทนี้กลับจดไว้ ซึ่งเป็่เทศกาลโคมไฟเมื่อปีที่แล้ว
ณ คืน 15 ค่ำ ท่ามกลางเสียงฉินและกลองบรรเลง โคมไฟบนท้องถนนส่องสว่างราวกลางวัน
เยี่ยนเจาเจานึกออกแล้ว
่ตรุษจีนปีนั้น เดิมทีจะต้องฉลองด้วยกันทั้งครอบครัว แต่น่าเสียดายที่มีาเกิดขึ้น องค์หญิงจึงต้องรีบจากไป เมื่อถึงวันเทศกาลโคมไฟ เยี่ยนเหิงก็ถูกงานเลี้ยงรั้งอยู่ในวัง ส่วนเจาเจาไม่ได้ไปเพราะป่วย
ความจริงเจาเจาก็ไม่ได้ป่วยหนักอะไร แค่มีน้ำมูกเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเยี่ยนเหิงไม่สนใจว่าอาการของนางจะเล็กน้อยเพียงใด อย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อยให้เจาเจาลำบากเด็ดขาด อีกทั้งมารยาทของงานเลี้ยงในวังก็ยุ่งยากซับซ้อน จึงให้นางอยู่ทานบัวลอยดอกซิ่งฮวาที่เรือนอย่างสบายๆ ดีกว่า
เมื่อเยี่ยนเจาเจาอยู่คนเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่าย เลยชวนหนานิเหอออกจากจวนไปดูโคมไฟด้วยกัน
โคมไฟชาวบ้านย่อมงดงามละเอียดลออไม่เท่าของจวนเยี่ยนอยู่แล้ว แต่ชนะตรงบรรยากาศคึกคักเปี่ยมชีวิตชีวา และเมื่อได้ยินเสียงคนหัวเราะข้างหู ก็คล้ายกับว่าชีวิตไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
อีกทั้งเยี่ยนเจาเจายังกลัวหนานิเหอจะคิดถึงท่านพ่อท่านแม่จนรู้สึกชีวิตไร้สีสันด้วย
ผลลัพธ์ย่อมคาดเดาได้ หากหนานิเหอมีความสามารถเด็ดดวงดาวหรือคว้าดวงจันทร์ เกรงว่าเพียงญาติผู้น้องขมวดคิ้ว เขาก็จะลากท้องฟ้ายามค่ำคืนทั้งผืนลงมาให้นางเป็แน่
ทั้งสองจึงได้ย่องออกจากจวนดังใจหวัง
เมืองเซียงเฉิงงดงามตระการตายิ่งนัก แม่น้ำชิงเหอที่หล่อเลี้ยงชาวเมืองเซียงเฉิงนับไม่ถ้วนในยามนี้ประดับประดาไปด้วยตะเกียงนับพันั้แ่เหนือจรดปลาย เด็กหนุ่มพาเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่าเดินผ่านฝูงชน พลางมองดูความครึกครื้นของโลกมนุษย์กันเต็มสองตา
เยี่ยนเจาเจาจำได้ว่าทั้งที่ตอนแรกตนเองอยากให้หนานิเหอมีความสุข สุดท้ายกลับเป็นางที่เล่นสนุกอยู่คนเดียว
หนานิเหอซื้อของที่นางอยากได้มาให้มากมาย ทั้งยังเอาใจจนเยี่ยนเจาเจายิ้มหัวเราะตลอดทาง นางจึงหักกิ่งดอกซิ่งฮวาข้างถนนมอบให้เขาในตอนขากลับ
ซิ่งฮวาดอกนั้นที่นางเพิ่งจะจำได้หลังผ่านไปสองชาติภพ ยามนี้มาคั่นอยู่กลางหน้าตำราเล่มนี้ ก่อนจะร่วงใส่ปลายนิ้วของเยี่ยนเจาเจาจนเห็นบทกวีที่ทับอยู่ข้างใต้ ซึ่งเป็วลีงดงามไม่ต่างจากคนผู้นั้น
ดาราพร่างพราวพาตพาพัด
ดวงดาวในค่ำคืนนั้นเป็อย่างไรเยี่ยนเจาเจาก็จำไม่ได้แล้ว นางจำได้เพียงดวงตาของหนานิเหอที่เจิดจ้าดุจดวงดาวเติมเต็มใจนาง
เยี่ยนเจาเจาใจเต้นตึกตัก นางพยายามระงับอารมณ์สับสนอลหม่านของตน พลางถามหนานิเหอด้วยรอยยิ้มระรื่น “เหตุใดพี่รองจึงคัดกวีบทนี้หรือเ้าคะ?”
หนานิเหอทอดสายตาไปยังดอกซิ่งฮวาในมือนาง เจือความคะนึงหาที่คนนอกมองไม่ออก
เขาหยิบพู่กันขนสีน้ำตาลขนาดเล็กที่พกติดตัวออกมา ก่อนจะเขียนลงบนหน้ากระดาษเปล่าว่า “คืนนั้นโดนท่านลุงจับได้ ท่านลุงให้ข้าเขียนบันทึกการเดินทาง แต่ข้าี้เีเขียนจึงคัดอันนี้แทน”
ท่านลุงคือเยี่ยนเหิงนั่นเอง
เยี่ยนเจาเจาคิดว่าคงเป็จริงดังที่เขากล่าว หนานิเหอเป็สุภาพบุรุษเที่ยงตรงเช่นนี้ จะมีลูกเล่นแพรวพราวได้อย่างไร คิดได้ดังนั้นนางจึงห่อตำราส่งกลับคืนให้เขา
นางเมินความรู้สึกผิดหวังและความรู้สึกแอบยินดีเล็กๆ ที่ตีกันอยู่ในหัวใจออกไปทันใด และเริ่มคำนวณว่าเยี่ยนฟางหวาต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่กว่าจะมาถึงตรงนี้
แน่นอนว่าเยี่ยนฟางหวาไม่ได้ผิดไปจากความคาดหวังของเยี่ยนเจาเจาเลยสักนิด ปกตินางมักจะเยื้องย่างอ่อนโยน แต่ยามนี้กลับวิ่งเร็วยิ่งกว่าหญิงรับใช้สองคนเสียอีก
อีกทั้งเยี่ยนฟางหวายังแต่งตัวละเมียดละไมดังคาด เมื่อมองไกลๆ ก็ราวกับดอกไม้ที่กำลังจะบานสะพรั่ง
เพียงแต่ดอกไม้ดอกนี้เต็มไปด้วยเหงื่อ และดวงตาก็ฟาดฟันจนแทบจะฉีกร่างของเจาเจาออกมากิน
เยี่ยนฟางหวาปรายตามองเยี่ยนเจาเจาจากระยะไกล เห็นนางเอนพิงเกี้ยวเสมือนไร้กระดูกอยู่ในขบวนเสด็จองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในเมืองเซียงเฉิง ที่ต่อให้เป็แบบครึ่งขบวน เยี่ยนฟางหวาก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ดี
แต่เยี่ยนฟางหวาไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับนาง จึงหันกลับไปจะขึ้นเกี้ยวที่เตรียมไว้สำหรับตน แต่คาดไม่ถึงว่าซ้ายขวากลับโล่งว่าง นอกจากเกี้ยวหลวงของเยี่ยนเจาเจากับเกี้ยวของหนานิเหอก็ไม่มีเกี้ยวอื่นใดอีก
จะให้นางทำอย่างไร? หรือต้องเดินไปวังหลวง!
สีหน้ายามนี้ของเยี่ยนฟางหวาช่างน่ามองเสียจริง เยี่ยนเจาเจาชื่นชมอยู่พักหนึ่งจึงค่อยกวักมือเรียกอย่างมีเมตตา “พี่หญิงใหญ่ มานั่งเ้าค่ะ”
เยี่ยนฟางหวาสงสัยว่าตนเองอาจจะหูฝาดไป จิตใต้สำนึกของนางไม่คิดเลยว่าเยี่ยนเจาเจาจะให้ตนนั่งเกี้ยวหลวงไปด้วย แม้นางจะเคยจินตนาการมาหลายครั้ง แต่ไม่คาดว่าจะได้ขึ้นจริงๆ
“หากท่านไม่มา ข้าไปก่อนนะเ้าคะ”
เยี่ยนเจาเจายิ้มเ้าเล่ห์ เยี่ยนฟางหวาจึงตัดสินใจยกกระโปรงขึ้นเกี้ยวหลวง
เชิงอรรถ
[1] ซิ่งฮวา หมายถึง ดอกแอปริคอต