มหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้า ไม่ได้เซ่นสังเวยฟ้าแต่ประการใด แต่พลังงานทั้งหมดล้วนถูกส่งเข้าภายในจิติญญาแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียน เส้นชีพจรทั้งหมดของจู้เชียนเชียนล้วนมีพลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาของจ้านอู๋มิ่งคอยปกป้องอยู่ ไม่หวั่นเกรงพลังอันรุนแรงบ้าคลั่งนี้แต่ประการใด แต่ค่ายกลจิติญญาที่คล้ายหลุมดำในจิติญญาแห่งชีวิตกลับเริ่มเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงแล้ว
พลังงานที่ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ดูดเข้ามารุนแรงเกินไป คลุ้มคลั่งเกินไป ในเวลานี้มีมหาจักรพรรดิาหลายคนดับสูญแล้ว และจักรพรรดิาเสียชีวิตแล้วกว่าสิบคน และยอดฝีมือของตระกูลโหยวเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี เริ่มล่าถอยไปทางด้านนอก สิ่งใดที่ทำไม่ได้ ไม่มีผู้ใด้าต่อสู้จนเสียชีวิต กล่าวถึงที่สุดแล้วการต่อสู้ครั้งนี้แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ทราบเช่นกันว่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองท่านคิดอย่างไร สองคนกลับหาญกล้าต่อสู้กับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทั้งกลุ่ม เวลานี้ดูสภาพแล้วก็ใกล้จะจบสิ้นแล้วเช่นกัน หากยังไม่หนีอีก จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เ่าั้ หลังจากจัดการกับบรรพบุรุษผู้เฒ่าแล้ว พวกเราก็จะถูกบดขยี้ดับสิ้นอย่างง่ายดายทีละคนเหมือนเช่นมดปลวก
คนของตระกูลโหยวเริ่มหลบหนี กลุ่มอำนาจในเมืองวันสิ้นโลกที่ตามตระกูลโหยวก็เริ่มหลบหนีแล้วเช่นกัน แต่ศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายและตระกูลจู้ไม่คิดจะละเว้นคนเหล่านี้อย่างง่ายๆ เวลานี้กลิ่นอายิญญาร้ายในค่ายกลใหญ่กระจายอยู่ คนจำนวนมากเข่นฆ่าจนเืเข้าตาแล้ว จะกล้าปล่อยให้คนหลบหนีได้อย่างไร
การต่อสู้อย่างสับสนวุ่นวายรอบนี้ ราชันาไม่ทราบตายไปมากน้อยเท่าไร กลิ่นอายมรณะ โชคชะตา ธาตุแห่งชีวิตและจิติญญา ทั้งหมดล้วนถูกค่ายกลใหญ่กลืนกินและผันแปรเป็พลังงานคลุ้มคลั่งรุนแรง
“อ๊ะ……” จ้านอู๋มิ่งรู้สึกได้ถึงคลื่นที่กระเพื่อมผันผวนอย่างรุนแรงคราหนึ่งบนนภากาศ คล้ายดั่งมีดาวดวงหนึ่งะเิขึ้นบนท้องฟ้า
“บัดซบ ใช้วิธีการโหดร้ายขนาดนี้เลยหรือ” จ้านอู๋มิ่งพูดไม่ออกจริงๆ เนื่องเพราะพลันเขาพบว่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลโหยว กลับเลือกะเิตัวเองในนาทีสุดท้าย
บรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองคนะเิตัวเองพร้อมกัน พลังอันรุนแรงงานนั้นแทบจะผลาญฟ้าทำลายดินเลยทีเดียว ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองคนนี้ กลับเลือกวิธีการน่าสะพรึงกลัวและน่าเศร้าเช่นนี้ จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แทบทั้งกลุ่ม ล้วนคร่ำครวญล่าถอยอย่างน่าสังเวช ถึงแม้พวกเขาจะได้พบสิ่งผิดปกติแต่แรกนานแล้ว แต่ความเร็วที่พวกเขาหลบหนี จะเทียบกับผลกระทบของการะเิตัวเองได้อย่างไร
บรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ที่ปิดล้อมโจมตี สองบรรพบุรุษผู้เฒ่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ตระกูลโหยวถูกพลังรุนแรงกระแทกใส่ พากันร่วงลงสู่น่านน้ำมหาสมุทรระหว่างเกาะ เหมือนกับนกปีกหักก็มิปาน และยอดฝีมือของสำนักนิกายต่างๆ ตลอดจนชนชั้นสูงของตระกูลจู้และโหยวสองตระกูล บนสมรภูมิรบกระดูกขาวด้านล่าง ได้รับผลกระทบแทบจะไม่แตกต่างกัน าเ็ล้มตายเสียชีวิตทีเดียวกว่าครึ่ง คนเหล่านี้ไร้พลังที่สามารถต้านทานแม้แต่น้อย กลายเป็เศษเืเนื้อกระจายเป็ชิ้นๆ
จ้านอู๋มิ่งก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุบานปลายใหญ่โตถึงขนาดนี้ ยามนี้เขาไม่อาจอยู่เฉยนิ่งดูดายโดยไม่เกี่ยวข้องแล้ว ถึงแม้ภายใต้ิญญาชั่วร้ายของค่ายกลใหญ่ที่สกัดปิดกั้นไว้เหมือนสายธาราก็มิปาน พลังโจมตีจากการะเิตัวเองของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ถูกลดทอนลงไปมากแล้ว แต่ก็ไม่ใช่พลังที่เขาและศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานจะทนทานได้เช่นกัน
“ชางอวี่…” จ้านอู๋มิ่งคำรามเสียงต่ำคราหนึ่ง
เปลวเพลิงสีเหลืองจางๆ สายหนึ่งแผ่ขยายตัวออกมาจากด้านข้างจ้านอู๋มิ่งทันที กางออกเป็ฝาครอบเปลวเพลิงขนาดใหญ่มหึมาหลังหนึ่ง ไม่เพียงแต่ครอบจ้านอู๋มิ่งไว้ภายใน รวมทั้งเหล่าบรรดาศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานก็ถูกครอบไว้ภายในเช่นกัน
“ตูมมม……” ส่วนยอด้าของฝาครอบเปลวเพลิงสั่นะเืคราหนึ่ง ยุบเว้าลงมาข้างในก่อนแล้วจึงค่อยดีดกลับออกไปอีกครั้ง
บรรดาคนที่อยู่ภายในฝาครอบเปลวเพลิง แค่รู้สึกว่าหูแว่วเสียงดังอึงอลคราหนึ่ง ถูกพลังโจมตีสายนี้กระแทกจนหน้ามืดตาลายขึ้นมา รอจนทั้งหมดตั้งสติขึ้นมาได้อีกครั้ง ฝาครอบเปลวเพลิงที่ปรากฏขึ้นกะทันหัน ก็อันตรธานหายไปจนไร้ร่องรอยอีกครั้ง ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่ศิษย์สำนักทุกคนกลับทราบชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอนและโล่ป้องกันภัยนี้ก็ขยายมาจากทางด้านจ้านอู๋มิ่ง มิฉะนั้นศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉาน อย่างน้อยครึ่งหนึ่งต้องเสียชีวิตในสมรภูมิกระดูกขาวแห่งนี้แล้ว
“อา…” จู้เชียนเชียนกระอักพ่นโลหิตดำออกมาคำหนึ่งกะทันหัน พลันร่างกายทั้งตัวบวมขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าลมขยายออกก็มิปาน จิติญญากับธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาของสองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ รวมกับคนที่เสียชีวิตทันทีมีจำนวนมากมายขนาดนั้น ค่ายกลใหญ่รวบรวมขึ้นในทันใด และหลังจากนั้นอัดทั้งหมดเข้าไปในร่างกายจู้เชียนเชียน พลังมหาศาลน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ ต่อให้เป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง ก็เกรงว่าเส้นชีพจรทั้งหมดพังทลายลงทันทีเช่นกัน……ไม่ต้องพูดถึงจู้เชียนเชียนที่เป็เพียงหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง ผู้ไม่เคยฝึกฌานมีฐานบ่มเพาะมาก่อน จะสามารถทนทานต่อแรงกระแทกน่าสะพรึงกลัวนี้ได้อย่างไร หากมิใช่เพราะพลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาของจ้านอู๋มิ่ง ที่เหนือกว่าพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ทั้งหมดในแผ่นดินนี้จนสุดกู่ จึงสามารถปกป้องคุ้มครองเส้นชีพจรไว้ได้ทั้งหมด แต่ร่างกายกลับแทบจะะเิออก
จ้านอู๋มิ่งตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง เขาประเมินพลังที่มาจากค่ายกลใหญ่นี้ต่ำไป หากจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เสียชีวิตทีละคน เขายังสามารถควบคุมความแข็งแกร่งของพลังในร่างกายของจู้เชียนเชียนได้อยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่เพียงแค่จิติญญากับธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาทั้งหมดของสองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยังมีจิติญญากับธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาของคนนับร้อยถูกผันแปรเป็พลังพร้อมกัน ในนั้นมหาจักรพรรดิาและจักรพรรดิารวมอยู่อีกไม่น้อย……
จ้านอู๋มิ่งรีบวางมือบนกระหม่อมของจู้เชียนเชียน พลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาดูดซับอย่างฉับพลัน พลันกระแสวนโกลาหลในตันเถียนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมตลอดมา เหมือนถูกกระตุ้นและโคจรหมุนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พลังงานที่เหมือนมหาคลื่นั์มหึมาก็มิปาน ถูกดูดซับโดยตันเถียนแล้วบดเป็เสี่ยงๆ แตกกระจายออกเข้าไปอยู่ภายในทุกอณูของร่างกายจ้านอู๋มิ่ง
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าช่องว่างในทุกอณูที่เป็เอกเทศในร่างกายตน ดูดซับกลืนกินพลังงานที่คล้ายดั่งมหาคลื่นั์มหึมา เช่นฟองน้ำที่หิวโหยก็ปาน
ทันใดนั้น จ้านอู๋มิ่งพบว่าจิติญญาแห่งชีวิตของตนเชื่อมโยงเข้ากับจิติญญาแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียนอย่างกะทันหัน เขารู้สึกว่าค่ายกลิญญาที่เป็กระแสวนเช่นหลุมดำ ภายในจิติญญาแห่งชีวิตจู้เชียนเชียนะเิเสียงดัง "ตูม" แตกออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทันที
พลังงานดั่งมหาคลื่นั์สายนี้รุนแรงยิ่งจนสุดเปรียบปาน แม้แต่ค่ายกลิญญาที่กลืนกินดุจดั่งถ้ำไร้ก้นก็มิปาน ภายในจิติญญาแห่งชีวิตจู้เชียนเชียนก็ทนทานการโจมตีอันรุนแรงคลุ้มคลั่งนี้ไม่ได้เช่นกัน ท่ามกลางความมืดมิด จ้านอู๋มิ่งรู้สึกถึงเสียงร้องโหยหวนยาวนาน ดังแว่วมาจากสถานที่อันแสนไกล โชคชะตาที่เชื่อมโยงผูกติดอยู่กับจู้เชียนเชียนในระยะห่างไกลก็ขาดสะบั้นลงอย่างกะทันหัน และพลังมหาศาลน่าสะพรึงกลัวที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างจู้เชียนเชียน กลับพุ่งทะยานเข้าไปในธาตุแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียน
ร่างจู้เชียนเชียนสะท้านคราหนึ่ง ค่อยๆ ลอยขึ้นมาเหนือพื้น จ้านอู๋มิ่งรู้สึกอย่างชัดเจนว่าธาตุแห่งชีวิตของนางได้รับการเสริมเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง ภายใต้จิติญญาแห่งชีวิตที่ได้รับการหล่อเลี้ยงกลับคืนมา การดูดซับเอาจิติญญากับธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตา ส่งผลให้ดวงชะตานางรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ควรทราบว่าเมื่อครู่การะเิตัวเองของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือระดับราชันาขึ้นไปเสียชีวิตอย่างน้อยหลายร้อยคน โชคชะตาตลอดชีวิตของคนเหล่านี้ที่ผันแปร แทบจะเหมือนกับสายธารแห่งโชคชะตาสายยาวๆ สายหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองคน แทบจะ่ชิงชะตาฟ้าทลายนภาเป็เทพเ้าเลยทีเดียว แต่ในตอนนี้ดวงชะตาของพวกเขาล้วนกลายเป็สารหล่อเลี้ยงของจู้เชียนเชียนไปแล้ว ความบกพร่องในจิติญญาแห่งชีวิตของนางไม่เพียงสมบูรณ์ขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น ยังยกระดับขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
เดิมดวงชะตาของจู้เชียนเชียนคือธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาหนึ่ง น่าเสียดายที่ธาตุแห่งชีวิตนางหมดสิ้นจนเหลือน้อยนิดแล้ว ถึงแม้จะมีเก้าธาตุแห่งชีวิต แต่ผลที่มีต่อร่างกายเหมือนเช่นเทียนไขท่ามกลางสายลม อ่อนแอจนตรวจสอบไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็สาเหตุให้ชีวิตมีอายุขัยเหลือไม่มาก แต่พลังสายนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ธาตุแห่งชีวิตนางกลับคืนมาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ยังส่งผลทำให้ดวงชะตานางรุ่งโรจน์ขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ธาตุแห่งชีวิตสาม โชคชะตาสอง……ธาตุแห่งชีวิตสี่ โชคชะตาสอง……ธาตุแห่งชีวิตห้า โชคชะตาสาม……ธาตุแห่งชีวิตหก โชคชะตาสาม……ธาตุแห่งชีวิตเจ็ด โชคชะตาสี่……ธาตุแห่งชีวิตแปด โชคชะตาห้า……ธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาห้า……” ธาตุแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียนได้รับการเติมเต็มโดยสมบูรณ์แล้ว และโชคชะตาของนางก็กำลังยกระดับดีมากขึ้นเรื่อยๆ
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าฐานบ่มเพาะของตนไม่สามารถควบคุมได้อีกครั้ง “ราชันาหนึ่งดาว ราชันาสองดาว ราชันาสี่ดาว ราชันาห้าดาว……” ภายใต้สถานการณ์ที่น่าตื่นตะลึงจนปากอ้าตาค้างของบรรดาคนจากสำนักนิกายต่างๆ ฐานการบ่มเพาะของจ้านอู๋มิ่งพุ่งพรวดบรรลุขอบเขตราชันาสูงสุด ราวกับม้าพยศหลุดบังเหียนก็มิปาน หลังจากนั้นก็ลดลงมาถึงระดับราชันาหนึ่งดาว ท่ามกลางสายตาทุกคนที่อึ้งงัน สุดท้ายหวนกลับคืนปรมาจารย์นักยุทธ์สูงสุดอีกครั้ง แต่ว่าเวลานี้ทุกคนรู้สึกได้ว่าสภาวะพลังของจ้านอู๋มิ่งไม่ใช่พลังที่พวกเขาสามารถต้านทานได้โดยสิ้นเชิง ในสายตาของพวกเขา ถึงแม้จ้านอู๋มิ่งจะมีฐานบ่มเพาะระดับปรมาจารย์นักยุทธ์สูงสุดเช่นเดิม แต่เป็เหมือนเช่นสัตว์อสูรเทพยดาโดยกำเนิดตัวหนึ่ง มีกลิ่นอายอันสูงส่งอย่างหาที่เปรียบมิได้
จ้านอู๋มิ่งทราบว่าระดับปรมาจารย์นักยุทธ์สูงสุดของตนเวลานี้ แต่ในร่างกายไม่ใช่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ธรรมดาอีกต่อไป แต่ผันแปรเป็พลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาทั้งหมดแล้ว เป็พลังแก่นแท้จิติญญาอันสูงส่งที่อยู่เหนือพลังใดๆ ในแผ่นดินแห่งนี้โดยสิ้นเชิง ด้วยฐานบ่มเพาะของเขา ไม่อาจใช้ระดับขอบเขตในอาณาจักรของแผ่นดินนี้มาชี้วัดได้อีกต่อไป ฉะนั้นในสายตาของคนอื่น รู้สึกแต่ว่าระดับขอบเขตชีวิตจ้านอู๋มิ่งนั้นสูงล้ำกว่าพวกเขามาก มีความกดดันที่ทำให้พวกเขารู้สึกครั่นคร้ามชนิดหนึ่ง
จิติญญาแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียนเชื่อมโยงกับจ้านอู๋มิ่ง ััรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายจ้านอู๋มิ่ง พลันภายในร่างกายก็แผ่พลังเหนือธรรมชาติแปลกประหลาดสายหนึ่งออกมาเช่นกัน นางรู้สึกว่าพลังสายนี้กำลังเปลี่ยนแปลงสมรรถภาพร่างกายนางอย่างบ้าคลั่ง และคัมภีร์เคล็ดวิชาลับทักษะการต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วนในห้วงคำนึงของนาง เวลานี้พากันหลั่งไหลเข้ามา เหมือนแหวกเมฆาออก มองเห็นดวงตะวันก็มิปาน เคล็ดวิชาที่ในอดีตไม่สามารถฝึกฝนบ่มเพาะได้ พลันสามารถหยั่งรู้กระจ่างขึ้นมาในทันใด
ฉินจงและศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานทั้งหมดปากอ้าตาค้างอีกครั้ง มองดูจู้เชียนเชียนบ่มเพาะพลังจากระดับนักยุทธ์หนึ่งดาว บรรลุระดับนักยุทธ์เก้าดาวอย่างรวดเร็วดุจวิหคเหินบินด้นเมฆาก็มิปาน หลังจากนั้นสำเร็จเป็ยอดยุทธ์ แล้วทะลวงด่านสู่ยอดยุทธ์เก้าดาว จวบจนบรรลุระดับอาจารย์นักยุทธ์หนึ่งดาวในทันที เหมือนลูกธนูหลุดจากแล่ง……
“์ วันนี้ข้าได้เห็นตัวประหลาดแบบไหนกัน…” ่เวลาที่ฉินจงตบท้ายทอยนั่นเอง ฐานบ่มเพาะของจู้เชียนเชียนบรรลุอาจารย์นักยุทธ์หนึ่งดาวเรียบร้อยแล้ว และระดับการบ่มเพาะของนางดูเหมือนจะไม่มีทีท่าจะหยุดลง ทะลวงด่านบรรลุถึงระดับอาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวอย่างรวดเร็วอีกแล้ว
บรรดาศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉาน ล้วนตะลึงงันจนสามารถยัดปลาเข้าไปตัวหนึ่ง พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จ้านอู๋มิ่งและจู้เชียนเชียนกำลังเล่นกลอะไรอยู่ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือเอาแต่ตบท้ายทอยและะโว่า “ภาพลวงตา ภาพลวงตา…ทั้งหมดนี้เป็เพียงภาพลวงตา…” เนื่องเพราะพวกเขาพบว่าเวลานี้จู้เชียนเชียนได้บรรลุระดับปรมาจารย์นักยุทธ์หนึ่งดาวแล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ความเร็วในการทะลวงด่านยังคงไม่ลดลง ปรมาจารย์นักยุทธ์สองดาว ปรมาจารย์นักยุทธ์สามดาว……ปรมาจารย์นักยุทธ์ห้าดาว…
“์ อย่าได้เป็แบบนี้ได้หรือไม่ ต่อไปพวกเรานักฝึกฌานบ่มเพาะจะมีชีวิตอยู่กันได้อย่างไรกัน…” มีคนคร่ำครวญขึ้น
สนามต่อสู้ที่อยู่ไกลแสนวุ่นวาย คนจำนวนน้อยที่ตั้งสติคืนมาได้จากผลกระทบของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ะเิตัวเองเมื่อครู่นี้ แต่พวกเขามองไม่เห็นว่าจ้านอู๋มิ่งและจู้เชียนเชียนกำลังทำอะไรอยู่ คนของสำนักบริบาลเดรัจฉานจงใจปิดกั้นพื้นที่บริเวณนี้เนิ่นนานแล้ว นี่เป็การปกป้องเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาสามารถทำให้จ้านอู๋มิ่งได้
โม่ฉางชุนและเยว่หลิงซานตลอดจนเสวียนเสวียนจื่อเองก็ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน แต่ว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างไกล ด้วยฐานบ่มเพาะของพวกเขา เดิมก็ลึกซึ้งสูงส่งกว่าสองบรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลโหยวอยู่แล้ว กลับไม่ได้รับาเ็แต่อย่างใด แต่ว่ากลับเป็การสร้างโอกาสทำให้โม่ฉางชุนสามารถหลบหนีได้แล้ว
ที่โม่ฉางชุนกำลังรออยู่ก็คือโอกาสอันนี้ จิตสมาธิของสองบรรพบุรุษเฒ่า แทบจะถูกเขาควบคุมโดยสิ้นเชิงแล้ว และที่สองคนนั้นะเิตัวเองก็เป็การลอบลงมือของโม่ฉางชุนเช่นกัน ดังนั้น ถึงแม้เขาเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน แต่ว่ามีการเตรียมพร้อมไว้ก่อนนานแล้ว เวลาชั่วขณะที่กลุ่มจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ถูกทะลวงกระจายออก เขาขยับท่าร่างวูบคราหนึ่งก็ฝ่าออกจากวงล้อมไปแล้ว เขากระจ่างแจ้งยิ่งว่าหากรอจนกระทั่งสองบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวเสียชีวิตหรือจู้ฉางชิงเสียชีวิต เช่นนั้นก็จะถูกจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมโจมตีเพิ่มขึ้นอีกหลายคน แม้ว่าเขาจะหยิ่งผยองและสำคัญตน ก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่อขนาดนี้เช่นกัน ในสถานการณ์เช่นนั้นเกรงว่าเขาจะถูกเหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์บดขยี้เสียชีวิต
ความขุ่นข้องหงุดหงิดในใจของโม่ฉางชุนก็สุดจะบรรยายเช่นกัน หลายร้อยปีมานี้คอยแอบหล่อเลี้ยงพลังอำนาจตลอดมา จวบจนกระทั่งสามารถควบคุมจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองคนของตระกูลโหยวได้อย่างยากลำบากแสนเข็ญ อาศัยโชคชะตาของตระกูลโหยวและตระกูลจู้ ทำให้ฐานบ่มเพาะของตนรุดหน้าอย่างรวดเร็ว สามารถทะลวงสู่ระดับขอบเขตจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเนิ่นนานแล้ว แต่ว่าเล่นงานผู้อื่นมาตลอดชีวิต ครั้งนี้กลับถูกผู้อื่นเล่นงานเข้าให้แล้ว อีกทั้งมีร้อยปากก็ยากอธิบาย ยามที่เขาได้เห็นค่ายกลขนาดใหญ่อันแยบยลในสมรภูมิกระดูกขาวนี้ เขาก็ทราบทันทีว่าตนถูกผู้อื่นเล่นงานเข้าให้แล้ว เนื่องเพราะั้แ่เริ่มแรกปลายหอกของจ้านอู๋มิ่งก็พุ่งเป้ามาทางเขาโดยตรง ค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้เขาไม่เชื่อว่าจ้านอู๋มิ่งจะสามารถก่อตั้งได้เอง กล่าวถึงที่สุดแล้วฐานบ่มเพาะของจ้านอู๋มิ่งเขายังไม่เห็นอยู่ในสายตา
โม่ฉางชุนคิดไม่ถึงคนที่เล่นงานตนคือผู้ใดกันแน่ แต่หลังจากจู้ฉางชิงถูกชี้ตัวออกมา เขาทราบว่าสุดท้ายตนเองก็จะถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เขามิอาจไม่ปรากฏตัวเพื่อจากไป เผชิญหน้ากับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนี้ ต่อให้คิดหนีก็ไม่ใช่เื่ง่ายๆ ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยหมากที่เตรียมไว้แต่แรกเนิ่นนานแล้วออกมา ให้สองบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยวและจู้ฉางชิงลงมือในทันใด เขาปลูกฝังผนึกต้องห้ามในจิติญญาแห่งชีวิตของหลายคนนี้เนิ่นนานแล้ว วันใดถูกกระตุ้นให้ทำงาน ก็สามารถควบคุมความคิดหลายคนนี้ได้ในชั่วพริบตา แต่ว่าค่ายกลใหญ่ผายลมสุนัขนี้ส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขา และเสวียนเสวียนจื่อกลับฝึกท่าร่างย้ายร่างเงามายาที่เร็วที่สุดในใต้หล้าสำเร็จ ตำนานเล่าขานท่าร่างนี้ฝึกถึงระดับขอบเขตสูงสุด สามารถเคลื่อนย้ายร่างทะลวงผ่านอากาศในชั่วพริบตา แน่นอนบนแผ่นดินแห่งนี้ แทบจะยังไม่มีผู้ใดสามารถทำได้
“ข้าเคยพูดแล้ว พวกเ้าขัดขวางข้าไม่ได้!” โม่ฉางชุนแค่นหัวเราะเ็าคำหนึ่ง ขยับท่าร่างหนีออกจากวงล้อมต่อสู้ เหินบินมุ่งหน้าไปทางรอบนอกค่ายกลใหญ่ แต่ว่าเขายังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ปกคลุมท้องฟ้าและบดบังดวงอาทิตย์ แทบจะปิดผนึกตลอดเส้นทางข้างหน้าไว้จนหมด
“โม่ฉางชุน เ้าดีใจเร็วเกินไปหน่อยแล้ว!” เสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งมาจากกลางนภากาศอย่างสบายๆ
“ตูมมม…” ร่างของโม่ฉางชุนที่เพิ่งจะพุ่งออกจากค่ายกลใหญ่ ถูกโจมตีใส่จนกระเด็นย้อนกลับมา ตกลงมาในกลางวงล้อมของหลายคนอีกครั้ง
“จู้ชิงขวง!” โม่ฉางชุนอุทานเสียงใ!
