เซี่ยเจิงไม่ได้เอ่ยคำใดขึ้นมา ทำเพียงแค่จ้องมองชวีเสี่ยวปอ แต่เห็นได้ชัดว่าลูกกระเดือกของเขากำลังขยับไปมา สุดท้ายก็โพล่งออกมาคำหนึ่งว่า : “ชายชั่ว”
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ”
“นายว่าใครฮะ !” ชวีเสี่ยวปอเตะกระเป๋านักเรียนไปทีหนึ่ง ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้ขวางทางอะไร แต่การกระทำนี้เป็เพียงแค่การระบายความโกรธของเขาเท่านั้น
“ฉันว่า...แค่กๆ แค่กๆ แค่กๆ ” เซี่ยเจิงไอขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่ง
“......” ความโกรธที่กำลังจะพุ่งสูงขึ้นราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นอ่างหนึ่งจนดับลงไปในชั่วพริบตา ชวีเสี่ยวปอมองดูเซี่ยเจิงที่ไอจนสั่นไปทั้งตัว เขาไม่้ากล่าวโทษอะไรกับเซี่ยเจิงแล้ว ทำเพียงแค่พูดขึ้นมาว่า : “นายเป็แบบนี้ไม่ไหวแน่ ให้ฉันพานายไปโรงบาลเถอะ? ”
“ไปมาแล้ว ฉีดยาแล้วด้วย” เซี่ยเจิงกระแอมไอ พร้อมทั้งดึงมือออกมาจากผ้าห่มแล้วยื่นไปให้ชวีเสี่ยวปอดู บนฝ่ามือของเขามีรอยช้ำสีเขียวจุดเล็กๆ อยู่จุดหนึ่ง “เฮ้ รินน้ำให้ฉันแก้วหนึ่ง ขอบคุณ” ดูเหมือนว่าเซี่ยเจิงจะตั้งใจ เขาจงใจกัดฟันเน้นคำว่าขอบคุณสองคำนี้ออกมาเป็พิเศษ ราวกับ้าแสดงความเกรงใจโดยที่ไม่ได้จำเป็ออกมา “เอาน้ำร้อนนะ”
“รู้แล้ว” ชวีเสี่ยวปอตอบรับ พร้อมกันนั้นลุกขึ้นเดินออกไป เขาเดินวนอยู่ด้านนอกรอบหนึ่ง แล้วพบว่าแก้วเซรามิกใบที่เซี่ยเจิงใช้ประจำไม่อยู่แล้ว ชวีเสี่ยวปอเองก็ี้เีถามเช่นกัน เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งในมือของเขาก็ถือแก้วพลาสติกใบหนึ่งที่ยังคงมีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ และคงจะเป็เพราะรินเต็มแก้วเกินไปหน่อย ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามาจึงดูระมัดระวังเป็พิเศษ เขาไม่ได้ส่งแก้วน้ำให้เซี่ยเจิงโดยตรง แต่กลับวางเอาไว้ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะ จากนั้นก็หันหน้าไปพูดว่า “มันร้อนอยู่ เดี๋ยวค่อยดื่ม”
ทั้งๆ ที่เป็คำพูดแสดงความห่วงใย แต่กลับพูดขึ้นมาเหมือนเขากำลังโกรธอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยเจิงตอบรับขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังแก้วน้ำ แล้วพูดขึ้นมาเสียงดังว่า : “นายใช้แก้วบ้วนปากเทน้ำให้ฉันเหรอ? ”
“แล้วนายจะดื่มไม่ดื่ม !” ชวีเสี่ยวปอเบิกตากว้างจ้องเขา พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง
เซี่ยเจิงคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผ่านไปหลายวินาทีถึงอ้าปากพูดขึ้นมาว่า : “นายมานั่งตรงนี้”
ชวีเสี่ยวปอมองเขายื่นมาตบลงบนที่ว่างข้างเตียง ลังเลอยู่พักหนึ่งแต่ก็ยังเดินเข้าไป
ทันทีที่นั่งลง ทันใดนั้นเซี่ยเจิงที่กำลังนอนอยู่จู่ๆ ก็ดันตัวลุกขึ้นมา เอื้อมมือไปบีบแก้มชวีเสี่ยวปอหนึ่งที จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างอวดดีเล็กน้อยว่า : “เ้าซาลาเปาน้อยใจแคบ”
ชวีเสี่ยวปอ : “...เซี่ยเจิงนายอยากตายหรือไง? ”
มันช่างแตกต่างกับสภาพอันอ่อนแอเมื่อครู่เสียจริง เซี่ยเจิงที่บีบเขาไปหนึ่งทีนั้นใช้แรงไม่น้อยเลย ชวีเสี่ยวปอเองก็รู้สึกได้ว่าตำแหน่งที่โดนเซี่ยเจิงบีบเข้าไป นอกจากจะเจ็บแล้ว ทั้งยังรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอีกด้วย
“ตกลงนายป่วยจริงหรือเปล่าฮะ !” ชวีเสี่ยวปอผลักเซี่ยเจิงคืนกลับไปทีหนึ่ง
“ฉัน...แค่กๆ ...ป่วยอยู่นะ” เซี่ยเจิงเอนตัวนอนลงไปบนเตียงอีกครั้งตามแรงผลัก พร้อมทั้งพูดขึ้นมาอย่างอ่อนแรงว่า : “นายรังแกคนป่วย? ยังมีมนุษยธรรมอยู่ไหม”
บางทีนี่อาจจะเรียกว่าการแสดง
ชวีเสี่ยวปอเบิกดวงตารับชมการกระทำอันหน้าไม่อายนี้ของเซี่ยเจิงจนจบ เขารู้สึกว่าตัวเองต้องออกไปซื้อสมุดเล่มเล็กมาบันทึกการกระทำเช่นนี้ของเซี่ยเจิงเอาไว้ เพื่อเอาออกมาชื่นชมในวันหน้า ตายไปก็เก็บเอาไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลัง “สรรเสริญ”
ทั้งสองคนจ้องกันอยู่เช่นนี้นานนับนาที จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอหยิบแก้วบ้วนปากขึ้นมาจากโต๊ะแล้วยื่นไปให้เซี่ยเจิง “ดื่มสิ น่าจะไม่ค่อยร้อนแล้ว”
“มือฉันไม่มีแรง” ในขณะที่พูดเซี่ยเจิงก็มุดตัวเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง
“นายหมายความว่าไง? ” ชวีเสี่ยวปอเลิกคิ้วขึ้น
“ฉันหิวน้ำ” เซี่ยเจิงเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง “จริงๆ นะ”
“คุณชาย !” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันกรอด “จะให้ฉันป้อนนายใช่ไหม? ”
“ทำท่าทางให้น่ารักหน่อยสิ” เซี่ยเจิงหรี่ตาลง “น้ำเสียงแบบนี้ของนายไม่เหมือนจะป้อนน้ำฉัน แต่เหมือนจะสาดน้ำใส่ฉันมากกว่า”
“แค่สาดยังเบาไปด้วยซ้ำ” ถึงแม้ว่าจะพูดออกมาเช่นนั้น ชวีเสี่ยวปอก็ยังยื่นแก้วน้ำไปใกล้กับริมฝีปากของเซี่ยเจิง ในชีวิตของเขาไม่เคยดูแลใครแบบนี้มาก่อน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจึงดูระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด และด้วยท่าทางเช่นนี้ ชวีเสี่ยวปอก็เลยรู้สึกว่าตัวเขามี...ความอ่อนโยนเล็กน้อยที่ไม่ควรจะมีขึ้นมาในเวลานี้เลย
ไม่ควรจะเป็อย่างนี้สิ
ชวีเสี่ยวปอซักถามตัวเองอย่างอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า นี่ก็คือการที่เขายอมอดทนอดกลั้นกับเซี่ยเจิงอย่างไม่มีขีดจำกัด !
แต่เซี่ยเจิงกลับมีความสุขมาก เขาจิบน้ำเข้าไปสองอึก คงจะดื่มจนรู้สึกสบายใจแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงได้ยินเขาทำเสียงจิ๊ปากขึ้นมา
“รสชาติของยาสีฟันเต็มปากเลย” เซี่ยเจิงยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทีหนึ่ง
“ดื่มก็ดื่มไปแล้ว ยังจะมาเื่มากอีก” ความจริงชวีเสี่ยวปอก็อยากหัวเราะออกมาอยู่เหมือนกัน แต่ในหัวกลับบอกเขาว่าต้องเ็าให้ถึงที่สุด เพราะนี่เป็คาแรกเตอร์ของเขาในวันนี้ เขาต้องคีบลุคเอาไว้
“แก้วใบนั้นแตกไปแล้ว” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา “เมื่อคืนเป็ไข้จนไม่ได้สติ พอลุกขึ้นมาดื่มน้ำเลยถือเอาไว้ไม่อยู่”
“อ่อ” สีหน้าของชวีเสี่ยวปอไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่ภายในหัวใจของเขากลับกระตุกสั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง... เมื่อวานเป็ไข้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
จู่ๆ เซี่ยเจิงก็หัวเราะขึ้นมาคนเดียว ไม่รู้ว่าทำไมเสียงหัวเราะอันแหบแห้งที่เปล่งออกมาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของเซี่ยเจิงในตอนนี้เหมือนกับเสียงไก่โอ๊กที่โดนบีบ เมื่อมองไปมองมาอยู่สักพัก ชวีเสี่ยวปอก็อดไม่ได้ที่จะมีความคิดที่อยากจะหยิกคอของเซี่ยเจิงไปทีหนึ่ง
“เฮ้” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา “เราสองคนควรคุยกันหน่อยไหม”
นี่เขา...กำลังจะสารภาพแล้วเหรอ?
คำว่าสารภาพคำนี้น่าสนใจมากเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะพึมพำขึ้นมาในใจคนเดียว แต่เมื่อใช้คำนี้กับเซี่ยเจิงแล้วกลับรู้สึกเหมือนว่าเป็การทำให้เขายอมรับผิดเพื่อต้องโทษอย่างไรอย่างนั้น
ยอมรับการตัดสินอย่างยุติธรรมซะ! เซี่ยเสี่ยวเจิง!
“คุยอะไร” ชวีเสี่ยวปอหักนิ้วไปมาจนเกิดเสียงดัง
“จิ๊” เซี่ยเจิงเหลือบมองไปทีหนึ่ง “ท่าทางแบบนี้ฉันรู้สึกว่านายกำลังจะต่อยฉันมากกว่า”
“ก็ไม่แน่ ฉันอยากทำอยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอผ่อนแรงลง สะบัดแขน พลางพูดออกไปเสียงต่ำว่า : “นายจะคุยยังไง”
“เื่นี้ฉันคิดวิเคราะห์ดูแล้ว” เซี่ยเจิงนวดหว่างคิ้ว เพื่อตั้งสติ “นายคิดว่าฉันมีความสัมพันธ์อะไรกับคนคนนั้นใช่หรือเปล่า”
ให้...ตายเถอะ
ตรงไปตรงมากแบบนี้เลยเหรอเนี่ย?
การพูดคุยกันในรูปแบบนี้ชวีเสี่ยวปอไม่เคยคิดมาก่อนเลย เขานึกว่ายังไงเซี่ยเจิงก็ต้องตอบโต้กลับมาอย่างอ้อมค้อมนุ่มนวล อย่างน้อยก็ต้องปูเื่ขึ้นมาก่อน สำหรับการเกริ่นเื่อะไรทำนองนี้ ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกราวกับว่าหนามที่ทิ่มแทงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนร่างกายของเขา กำลังถูกใครบางคนค่อยๆ ดึงออกมาอย่างเชื่องช้า
ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าควรตอบไปว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”
“เขาสนใจฉันจริงๆ นั่นแหละ” ในขณะที่พูดเซี่ยเจิงก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใต้หมอนออกมา จากนั้นจึงปัดเลื่อนไปอย่างเชื่องช้า โดยไม่ได้ละสายตาไปมองสีหน้าของชวีเสี่ยวปอ
“......” ในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอกำลังรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง เขาอยากที่จะฟังเซี่ยเจิงอธิบายต่อไป แต่ก็ไม่อยากฟังรายละเอียดอันเป็รูปเป็ร่างของเื่นี้ ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างแย่ซะจริงๆ
“ดูท่าแล้วน่าจะพูดถูก” เซี่ยเจิงยื่นโทรศัพท์ไปให้เขา ชวีเสี่ยวปอก็รับมาโดยอัตโนมัติ บนหน้าจอเป็ประวัติการสนทนาของเซี่ยเจิงกับใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก ชวีเสี่ยวปอเลื่อนดูไปสองสามที แล้วก็เหมือนจะเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว
เป็เถ้าแก่ร้านเหล้า
บทสนทนาก็พูดคุยกันง่ายๆ
ข้อความคร่าวๆ คือเซี่ยเจิงลาออกจากงานพาร์ทไทม์ในร้านเหล้านี้แล้ว และถึงแม้ว่าเถ้าแก่หน้าหนวดจะรู้สึกประหลาดใจ ทั้งยังรู้สึกไม่อยากให้ออก หลังจากพูดหว่านล้อมอยู่หลายประโยค เซี่ยเจิงก็ยังคงปฏิเสธอยู่เช่นเดิม เถ้าแก่จึงทำได้เพียงพูดขึ้นมาว่าวันหลังถ้าเซี่ยเจิงว่างก็มาที่ร้านได้ตลอด ถือว่ามาหาเพื่อนใหม่ก็ได้
“นี่นาย...ลาออกแล้ว? ” ชวีเสี่ยวปอมองดูโทรศัพท์อยู่หลายครั้ง หลังจากยืนยันให้แน่ใจอีกรอบก็พบว่านี่เป็บทสนทนาในคืนวันศุกร์