หลี่เฟิ่งเหมยเป็คนนิสัยใจร้อน
เมื่อตกลงว่าจะร่วมลงทุนกับเซี่ยเสี่ยวหลานใจทั้งดวงของเธอก็บินไปซางตูแล้ว
บ้านย่าอวี๋ไม่้าผู้เช่าใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานจำเป็ต้องเสาะหาบ้านเพื่อพักพิงแทนลุงและครอบครัวอยู่แล้วธุระนี้เธอได้ไหว้วานภรรยาของหูหย่งไฉ เพราะอีกฝ่ายสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ห่างไกลกันเกินไป บ้านชั้นเดียวหรือตึกก็ได้ค่ะ”
ภรรยาหูหย่งไฉใจหายมาก “นี่พวกเธอจะย้ายมาอยู่ในเมืองกันหมดเลยหรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับอย่างถ่อมตน “ชีวิตในชนบทไม่ง่ายเลยทำงานเลี้ยงชีพในซางตูอาจจะสบายขึ้นบ้าง”
เมื่อมีทรัพย์สินถึงกล้ากระเสือกกระสน ในมือของทั้งหลิวหย่งและเซี่ยเสี่ยวหลานต่างกำเงินเอาไว้มิเช่นนั้นใครจะกล้าละทิ้งที่ดินของครอบครัวไม่สนใจดูแลกระเตงคนทั้งบ้านเข้าเมืองกัน? ชีวิตของคนเมืองไม่ได้ผลิตและจำหน่ายได้เองเหมือนคนชนบทของใช้จำเป็ทุกประเภทล้วนต้องจ่ายเงินซื้อ นั่งกินนอนกินย่อมอยู่ได้ไม่นานบังคับให้คนในเมืองทำได้เพียงไปหาเงินอย่างไม่คิดชีวิตเท่านั้น
‘แรงงานอพยพ [1] ’ คำนี้ยังไม่แพร่หลายผู้ใช้แรงงานซึ่งมีจำนวนน้อยมากก็ออกเดินทางไปทางใต้กันหมดธุรกิจส่วนตัวในซางตูยังคงเปิดโดยคนในเมืองมากกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งถือว่าเป็เกษตรกรที่เข้าเมืองมาหาเลี้ยงชีพกลุ่มแรกในยุค 80
ภรรยาของหูหย่งไฉอิจฉาในความเด็ดเดี่ยวของครอบครัวเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่มากทีเดียวเวลานี้มีเกษตรกรที่กล้าทิ้งผืนดินของตนเข้าเมืองดำรงชีวิตไม่มากนัก
ธุรกิจอิสระทำเงินได้ไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยพบกรรมกรคนไหนทิ้งการงานแล้วไปตั้งแผงลอยมาก่อน
ธุรกิจส่วนตัวนั้นน่าอายขนาดไหน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความลำบากและความเสี่ยงต่อการขาดทุนต่างจากคนได้รับเงินเดือนที่มีความมั่นคงในทุกสถานการณ์ ชีวิตไร้ซึ่งความกังวลและมีความสุขสบายบางหน่วยงานเงินเดือนอาจไม่มากเท่าไร แต่สวัสดิการดีเหลือเกิน! รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ั้แ่ที่อยู่อาศัยไปจนถึงค่าเล่าเรียนของลูกหลานในครอบครัวโรงเรียนสำหรับบุคลากร [2] สามารถศึกษาได้ั้แ่อนุบาลจนถึงมัธยมปลายหน่วยงานที่ดูแลชีวิตของพนักงานจนสะดวกสบายเช่นนี้ ทำให้พวกพนักงานเกิดความเฉื่อยชาต่อมาจึงเกิดการยกเลิกจ้างงานอย่างกว้างขวางชามข้าวเหล็กในวันวานจึงต้องเริ่มใหม่ั้แ่ต้น
การเริ่มค้าขายเร่เล็กๆ น้อยๆ อีกครั้งในวัยกลางคนน่าปวดใจยิ่งกว่าความกระตือรือร้นออกมาแสวงหาความสำเร็จอย่างหลิวหย่งเสียอีก
แน่นอนว่าขณะนี้ภรรยาของหูหย่งไฉยังมองการณ์ไม่ไกลถึงขนาดนั้นเธอเอ่ยปากยกย่องสองสามคำ แต่หากจะให้เธอปล่อยการงานอันมั่นคงไปทำธุรกิจอิสระน่ะหรือ?
หาเหาใส่หัวชัดๆ !
สุดท้ายบ้านที่หาให้หลิวหย่งได้นั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านย่าอวี๋เป็ห้องชุดในอาคาร หอพักสังกัดองค์การบริหารทางรถไฟซางตู
ทุกคนขาดแคลนที่อยู่อาศัยกันทั้งนั้นถ้ายังนำบ้านออกมาปล่อยเช่าได้ หมายความว่าต้องมีเครือข่ายทางสังคมของตนเองแน่นอนเซี่ยเสี่ยวหลานได้ไปดูบ้านเช่าด้วยตัวเอง สุขาสาธารณะใช้ร่วมกันทั้งชั้นห้องครัวแบบแยกเดี่ยว ห้องนอนรวมกับห้องรับแขกกลายเป็ห้องขนาดย่อมจะบอกว่าหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขกก็ไม่ได้ แต่เป็ ‘หนึ่งห้องครึ่ง’ แบบมาตรฐาน แปลนบ้านในยุค 80 แตกต่างกับอาคารพาณิชย์ในอนาคตโดยสิ้นเชิงองค์ประกอบบ้านปี 80 คือห้องรับแขกขนาดเล็กและห้องนอนขนาดใหญ่ห้องรับแขกก็เป็สถานที่สำหรับรับประทานอาหารด้วย ไม่เหมือนอาคารอยู่อาศัยในอนาคตที่แต่ละห้องนอนมีขนาดเล็กห้องรับแขกกว้างขวางถึงจะดูโอ่อ่าสง่างาม
ค่าเช่าบ้านหนึ่งเดือนเพียง 15 หยวน เ้าของบ้านคร้านจะมาทวงทุกๆเดือน จึงคาดหวังว่าจะได้รับค่าเช่าบ้านเป็ระยะเวลาจำนวนหนึ่งปี
เซี่ยเสี่ยวหลานยัง้าหาบ้านอีกสักหน่อย มีห้องนอนแค่หนึ่งห้องครอบครัวลุงมีกันสามคนคงอยู่ได้ไม่สะดวกสบายนัก
หลี่เฟิ่งเหมยกลับพอใจมาก “ห้องรับแขกวางเตียงเล็กไว้สักหลังก็ได้แล้ว!”
ภรรยาหูหย่งไฉแปลกใจ “ถ้าอย่างนั้นก็นอนในห้องเดียวกันเลยสิในห้องนอนใหญ่รูดม่านเสียหน่อยก็นอนได้แล้ว บ้านคุณยังมีเด็กผู้ชายตัวน้อยอยู่ด้วยนะ”
ครอบครัวใครไม่เบียดกันอาศัยบ้าง เพียงแต่ที่อยู่อาศัยของซางตูยังเพียงพอ หากเป็ในสถานที่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้นั้นมีกระทั่งคนทั้งครอบครัวเบียดเสียดในห้องนอนเดียวสมาชิกทุกเพศทุกวัยนอนเตียงรวมขนาดใหญ่ด้วยกันด้วยซ้ำ
แถมตอนนี้บ้านช่องช่างหายากเหลือเกิน อีกทั้งในหน่วยงานอย่างองค์การทางรถไฟนี้เมื่อคนหนุ่มสาวเข้าทำงานย่อมได้รับการจัดสรรหอพัก ตอนนี้ถึงได้มีบ้านว่างสำหรับปล่อยให้เช่าหากไม่รีบตกลง เงินค่าเช่า 15 หยวนต่อหนึ่งเดือนคงไม่สามารถเรียกว่าย่อมเยาได้เพราะมีครอบครัวซึ่งขาดแคลนที่พักอาศัย้าอยู่เสมอ
เื่เรียนชั่วคราวของเทาเทาก็รีบเร่งจัดการ ต้องขอบคุณ ‘ไฉ่เตี๋ย’ ที่โจวเฉิงเหลือไว้ ของแบบนี้ส่งเป็ของขวัญดูมีหน้ามีตาเป็อย่างยิ่งหูหย่งไฉช่วยเป็ธุระแนะนำคนให้ หลิวหย่งก็ตอบแทนโดยการมอบบุหรี่จำนวนหลายคอตตอนอีกทั้งเลี้ยงอาหารที่ภัตตาคารรัฐ ก็สามารถจัดการขั้นตอนขอเรียนชั่วคราวในโรงเรียนประถมใกล้เคียงได้เรียบร้อย
ทะเบียนบ้านชนบทแล้วอย่างไร ไม่อนุญาตคนชนบทมีเงินหรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยเลี้ยงหมูไว้สองตัว จึงเชิญคนฆ่าสัตว์ในหมู่บ้านมาเชือดชาวบ้านชีจิ่งล้วนรู้สึกประหลาดใจ
“ยังไม่ทันข้ามปี บ้านหย่งจื่อก็เชือดหมูแล้วหรือ?”
“หมูสองตัวบ้านเขาเลี้ยงกากน้ำมันไม่น้อย ส่งเชือดก่อนก็สมบูรณ์ดีน้ำหนักมากกว่า 180 ชั่งทั้งหมดสินะ?”
“เสียดายออกนะ เลี้ยงอีกสักสองเดือน คงจะหนักถึง 200 ชั่ง!”
หมูตัวใหญ่ 200 ชั่งพบได้ไม่บ่อยหมูที่ไม่ได้กินอาหารขุนจะเติบโตช้า มีเพียงหมูขนาด 200 ชั่งที่สามารถให้ไขมันหนาสามนิ้วมือได้ เนื้อหมูหนึ่งชิ้นแบบนั้นแม่บ้านดูแลงานครัวครอบครัวไหนก็หาซื้อได้ แต่จะภูมิใจไปนานเลยทีเดียว
ชาวบ้านจำนวนหนึ่งให้ความช่วยเหลือ มัดขาทั้งสี่ของหมูไว้ยกไปบนม้านั่งยาวจับให้มั่น คนฆ่าสัตว์ผู้ชำนาญแทงเข้าบริเวณคอมีดเดียวตอนเข้ามีดวาวตอนออกมีดแดง ในอ่างบรรจุน้ำสะอาดกับเกลือ เืหมูอุ่นพุ่งลงในอ่างทิ้งไว้สักพักก็ค่อยๆ แข็งตัวกลายเป็ก้อนเืหมู
เืหมูสดใหม่เป็ของดีทางเหนือนิยมตุ๋นไส้กรอกเืและผักดองเข้าด้วยกันวิธีรับประทานที่มีชื่อเสียงในเสฉวนคือซุปเืไส้ทางอันชิ่งนี้จะผัดรับประทานกับต้นหอม
รอจนเืหมูไหลหมดจด ถึงใช้น้ำร้อนลวกหนังถอนขน
คนฆ่าสัตว์พาผู้ช่วยมาด้วย จึงจัดการหมูหนึ่งตัวได้อย่างรวดเร็ว หมูของบ้านหลิวไม่ถึงสองร้อยชั่งแต่ก็ห่างกันไม่มากเท่าไร
เนื้อหมูสีแดง ไขมันขาวผ่อง ผู้คนที่มามุงดูอดน้ำลายสอไม่ได้
“เนื้อหมูบ้านหย่งจื่อขายหรือไม่?”
คนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น หลิวหย่งไม่มีทางขายราคาสูงให้ทุกคนนานครั้งที่บนโต๊ะอาหารจะมีเนื้อสัตว์บ้าง แบ่งเนื้อให้สักสองชั่งกลับบ้านเพื่อคลายความหิวโหย
“ขายสิ ทำไมจะไม่ขาย!”
เดิมทีหลิวหย่ง้าขายหมูสองตัวทิ้ง ทว่าหลี่เฟิ่งเหมยบอกว่าไม่คุ้มค่าและอีกอย่างตนเองต้องเหลือเนื้อสัตว์ไว้รับประทานเสียหน่อยดังนั้นจึงเชือดหมูทั้งสองตัวจนหมด หลงเหลือเท่าไรควรให้ใครก็ให้เนื้อจำนวนส่วนเกินก็ขายไป พยายามสร้างมูลค่าของหมูสองตัวใหญ่ที่เลี้ยงมาด้วยความเหนื่อยยากอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เชือดหมูแล้ว คนในหมู่บ้านชีจิ่งถึงรับรู้ที่แท้หลิวหย่งจะพาภรรยาและลูกย้ายไปอยู่ในเมือง
“ก็เพื่อการศึกษาของเ้าตัวแสบที่บ้านนั่นแหละ!”
หลิวหย่งกล่าวเช่นนี้ คนในหมู่บ้านเชื่อครึ่งหนึ่งอีกครึ่งสงสัย
ร่ำรวยแล้วหรือ?
ไร่นาของครอบครัวยังไม่สนใจเลยส่งต่อให้ครอบครัวอื่นไปเพาะปลูกแทนเสียดื้อๆ
หลิวหย่งยังไม่ได้ร่ำรวยจริงๆ แต่หลิวหย่งคาดหวังว่าจะร่ำรวยให้ได้ถ้าไม่จากสถานที่ล้าหลังไป เขาจะพึ่งพาสิ่งใดให้ร่ำรวยเล่า!
จัดการหมูและสัตว์ปีกในบ้านเสร็จสิ้น หลิวหย่งกับครอบครัวนำเนื้อหมูบางส่วนและสัมภาระย้ายไปยังซางตูวันนั้นที่หลิวหย่งเดินทางไป ลูกสะใภ้คนโตของเฉินวั่งต๋ากระวนกระวายใจเหลือเกิน
“บ้านหลิวเหลาะแหละมากเกินไปแล้ว!”
หาเงินได้แค่เล็กน้อย ไม่มีใครจะขอยืมเสียหน่อยถึงกับต้องย้ายไปอาศัยในเมือง?
เช่าบ้านสักแห่งไม่ยุ่งยาก อย่างในเมืองนั้นไม่ต้องจ่ายเงินซื้อแต่เมื่อถึงเวลาส่งผลผลิตและค่าบำรุงของปีหน้า ก็ไม่รู้ว่าบ้านหลิวจะควักเงินจำนวนนี้จ่ายได้หรือไม่
“ปู่เฉินชิ่งเขาบอกว่าจะแบ่งไร่นาให้สองแม่ลูก คนเขาย้ายไปเมืองมณฑลแล้วยังรักใคร่ในที่ดินทำกินนี่อยู่ไหม?”
เฉินเหล่าต้ารู้สึกรำคาญ “เธอยุ่งขนาดนั้นทำไมกันเล่าเธอดึงคุณพ่อเราลงมาแล้วไปเป็หัวหน้าหมู่บ้านเองไหม?”
สะใภ้ใหญ่เฉินกลอกตา
ที่เธอมักกังวลอยู่เรื่อย มิใช่เพื่อเก็บกวาดดูแลทุกสิ่งในบ้านนี้แทนหรือ? พอบ้านหลิวทำเงินได้มากแล้ว สะใภ้ใหญ่เฉินก็นึกถึงโทรเลขฉบับหนานั่นนึกถึงจดหมายแนะนำที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำเื่ขอไปหยางเฉิงจึงสงสัยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้คู่หมายแสนดีสักคนเข้า คนมีเงินไม่ใช่หลิวหย่งอาจจะเป็เซี่ยเสี่ยวหลาน พอหนึ่งคนกลายเป็เซียน ไก่กับสุนัขยังได้ขึ้นสววรค์ [3] ด้วยกัน แม้แต่ครอบครัวลุงก็พลอยได้รับการสนับสนุนไปด้วย
เกลียดที่เ้าเด็กแสบบ้านหลิวเป็คนหลอกยากหลอกเย็นนักกินลูกกวาดไม่ใช่น้อยๆ ถามว่าพี่สาวเขาไปทำอะไรที่หยางเฉิงดันไม่ตอบอะไรเลยสักอย่างเดียว
เฮอะ ความสามารถแสร้งซื่อบื้อนี่ส่งต่อกันในครอบครัวโดยแท้
เมื่อก่อนสะใภ้ใหญ่เฉินหวังดีต่อบ้านหลิวรวมถึงเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาพอสมควรไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เริ่มเปลี่ยนแปลงทัศนคติ อาจจะเพราะแรกเริ่มเดิมทีเธอคือลูกสะใภ้ของหัวหน้าหมู่บ้านคุณสมบัติของเฉินชิ่งโดดเด่นมากในละแวกใกล้เคียง เธอจึงเลือกเฟ้นคนรักให้เฉินชิ่งด้วยมาตรฐานที่สูงคนเราเมื่ออยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าถึงจะมีความสงสารและความเห็นอกเห็นใจได้ ทว่าในชั่วพริบตาเซี่ยเสี่ยวหลานพัฒนาจากคนน่าสงสารไปสู่คนที่ไม่้าความช่วยเหลือจากใครยอดเยี่ยมกว่าเฉินชิ่งด้วยซ้ำ ความสงสารเล็กน้อยนั้นของสะใภ้ใหญ่เฉินจึงสูญเสียความสมดุลไป
----------------------------------------
ขณะที่หลิวหย่งหอบผ้าหอบผ่อนพาภรรยากับลูกเข้าเมือง โจวเฉิงผู้อยู่ห่างไกลถึงปักกิ่งได้รายงานตัวอย่างเป็ทางการ
พอเขามาถึงปักกิ่ง แม้แต่สินค้ายังวานคังเหว่ยไปจัดการ ส่วนตนเองเร่งส่งโทรเลขให้เซี่ยเสี่ยวหลานหนึ่งฉบับจากนั้นเขาก็ถูกเรียกตัวกลับหน่วยงานแล้ว
“โอ้ โจวเฉิงของพวกเรายอมกลับมาแล้ว”
เชิงอรรถ
[1]农民工 แรงงานอพยพ หมายถึง แรงงานที่เดิมทีเป็คนในชนบทมีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบท เมื่อเข้าเมืองจึงทำงานใช้แรงงานตามภาคอุตสาหกรรมหลังจากนั้นส่งรายได้กลับไปให้ครอบครัว
[2]子弟学校 โรงเรียนสำหรับบุคลากร หมายถึงโรงเรียนที่บางหน่วยงานก่อตั้งขึ้นเองและรับลูกหลานของพนักงานในหน่วยงานเข้าเรียนเนื่องจากบางหน่วยงานอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนมากผู้ปกครองไม่สะดวกส่งลูกหลานไปเรียนยังที่ห่างไกล
[3]一人得道鸡犬升天 หนึ่งคนกลายเป็เซียน ไก่กับสุนัขยังได้ขึ้น์ หมายถึงบรรลุกลายเป็เทพ ไก่กับสุนัขในบ้านก็ได้ขึ้น์ตามไปด้วย ใช้เปรียบเปรยว่าเมื่อคนคนหนึ่งได้รับอำนาจ คนอื่นที่เกี่ยวข้องก็ได้รับผลดีไปด้วยเช่นกัน
