"ตอนบิดาของอูหลันฮวาจากไป นางเพิ่งสิบขวบ หากไม่พึ่งพาลุงก็คงอยู่ไม่รอด นอกเสียจากอูหลันฟางจะแต่งเขยเข้าบ้าน ต่อไปมีบุตรก็ให้ใช้สกุลของฝ่ายหญิง บ้านกับที่นาถึงจะยังเป็ของนาง" ซีมู่เซียงอธิบาย
เซวียเสี่ยวหรั่นค่อยได้สติกลับมาหลังตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง
นี่คือยุคสมัยที่บุรุษเป็ใหญ่สตรีต่ำต้อย ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ก่อนออกเรือนพึ่งพาบิดาและพี่ชาย หลังออกเรือนพึ่งพาสามี สามีตายหรือถูกหย่าก็ไร้ที่พึ่งพิง สูญสิ้นหลักประกันของชีวิต
เหมือนเช่นอูหลันฮวา บิดามารดาเสียชีวิตั้แ่นางยังอายุน้อย จำเป็ต้องพึ่งพาครอบครัวของผู้เป็ลุงเพื่อความอยู่รอด ต่อให้ถูกโขกสับ คนนอกก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมากนัก
เซวียเสี่ยวหรั่นพลันรู้สึกได้ถึงวิกฤติทันใด
ดูเหมือนว่าจะตัวเธอเองจะคิดอะไรเรียบง่ายเกินไป
ถ้าวันหน้าเหลียนเซวียนจากไปแล้ว เธอตัวคนเดียวพ่วงด้วยลิงอีกหนึ่งตัวจะอยู่รอดในสังคมที่ยกย่องบุรุษเหยียดสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร หากไม่อาจสร้างครอบครัวเองได้ละก็ ต่อให้เธอจะซื้อสำมะโนครัว แต่ที่นี่เธอไร้พ่อขาดแม่และไม่มีสามี จะสามารถตั้งครอบครัวอยู่เองคนเดียวได้อย่างไร
หญิงสาวอายุน้อยหน้าตานับว่าสะสวย คิดจะใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่ไร้เดียงสาเกินไปหน่อยหรือ
อารมณ์ดีที่มีอยู่เดิมพลันเหือดหาย
หมดกัน หนทางภายหน้าจะเดินต่อไปอย่างไร เซวียเสี่ยวหรั่นเกิดความกังวล
หรือว่าจะหาผู้ชายสักคนแต่งงานออกไป?
แต่เธอเพิ่งจะสิบแปดเองนะ เซวียเสี่ยวหรั่นโอดครวญ
เอ๋... ไม่ใช่สิ สิบเก้าแล้วต่างหาก
แต่สิบเก้าก็ยังน้อยอยู่ดี หากเป็ยุคปัจจุบันเธอยังเป็แค่นักเรียนเท่านั้นเอง
ทำไมต้องคิดถึงเื่แต่งงานแล้วล่ะ น่าขัดใจจริงๆ เลย
ขณะที่เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังร่ำร้องในใจ ซีมู่เซียงก็กระตุกแขนเสื้อเธอ ชี้ไปที่เรือนหลังใหญ่แล้วกล่าวว่า "ต้าเหนียงจื่อ ดูสิ นั่นบ้านข้าเอง"
ต้าเหนียงจื่อ? เซวียเสี่ยวหรั่นนึกขึ้นได้ จริงด้วยสิ ตอนนี้เธอก็มีสถานะออกเรือนแล้วนี่นา
ไหนเลยจะต้องใคร่ครวญเื่แต่งงานอีก เมื่อตอนนี้สถานะก็เอื้ออำนวยอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องทิ้งของง่ายไปเอาของยากด้วยล่ะ
รอหลังจากเหลียนเซวียนไปแล้ว เธอก็คิดหาวิธีซื้อทะเบียนสำมะโนครัวสองฉบับ ปลอมเป็หญิงออกเรือนแล้วต่อไป หากมีคนถามว่าสามีไปไหน ก็แค่บอกว่าไปทำการค้า ทู่ซี้สักสองสามปีคงไม่มีปัญหา ส่วนเื่ในวันหน้าเอาไว้ค่อยวางแผนใหม่อีกที
พอมีแผนการนี้ในใจ เซวียเสี่ยวหรั่นก็อารมณ์ดีขึ้น
"น้องมู่เซียง เรือนของเ้าหลังใหญ่จังเลยนะ"
"ครอบครัวข้าคนเยอะน่ะ" ซีมู่เซียงอมยิ้ม "เข้าไปนั่งบ้านข้าก่อนเถอะ บิดาข้าก็อยู่ข้างใน"
"ไม่ล่ะๆ วันนี้รับหน้าที่ออกมาจับจ่ายซื้อของ ต้องซื้อให้ครบก่อน เอาไว้วันหน้าค่อยไปเยี่ยมเยียนบ้านเ้าแล้วกัน"
ก่อนหน้านี้พูดอยู่เสมอว่าจะเชิญพวกเขามากินข้าวที่บ้าน นี่ผ่านมาหลายวันแล้ว บ้านของเธอก็ยังไม่พร้อมเสียที เอาไว้จัดการธุระให้เสร็จเรียบร้อยก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า
ซีมู่เซียงพยักหน้า ไม่รบเร้า เสื้อผ้าของสองสามีภรรยาสกุลเหลียนยังเหลืออีกครึ่งที่ตัดไม่เสร็จ ยิ่งไปกว่านั้นเื่เรียนถักอาภรณ์ก็ยังไม่ลุล่วง
ในใจยังวิตกกังวลอยู่บ้าง
หลังฝนหยุด คนบนท้องถนนเริ่มหนาตา
มีคนเข้ามาทักทายซีมู่เซียงอยู่เป็ระยะ บางคนยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองเซวียเสี่ยวหรั่นพลางหันไปกระซิบกระซาบกัน
ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนที่มาจากภายนอกอย่างเธอ
เื่คนแปลกหน้าสองคนย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเดิมของครอบครัวซีหย่วน คนในหมู่บ้านทุกคนต่างรู้
ซีต้าเฉียงเตือนทุกคนว่าห้ามไปรบกวนพวกเขาตามอำเภอใจ มีแค่คนที่บ้านเขากับคนสกุลอูที่เข้าไปทำความรู้จัก
แต่แน่นอนว่าคนอยากรู้อยากเห็นย่อมมีมาก และมีคนแล่นไปแอบสอดส่องอีก
แต่ที่พวกเขาหวาดกลัวก็คือ ซีหย่วนกับซีมู่เซิงบอกว่าบุรุษผู้มายืมที่นั่นเป็สถานที่พักฟื้น คือยอดฝีมือในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์
ซีติ้งปากเสียไปยั่วโทสะผู้อื่น เลยถูกมีดบินตัดผมจนหัวโล้นไปแถบหนึ่ง
ดังนั้นขอทุกคนอย่าไปหาเื่ หากเกิดเื่ขึ้นผู้ใดก็ช่วยพวกเขาไม่ได้
ทุกคนเห็นศีรษะเลี่ยนเตียนของซีติ้งแล้วก็รู้สึกหนาว หากต่ำกว่านั้นอีกแค่หนึ่งชุ่น ที่จะขาดก็คงไม่ใช่แค่เส้นผม แต่เป็ชะตาชีวิต
ซีติ้งถูกคนมุงดูโมโหแทบตาย แต่กลับจนใจไม่รู้จะทำอย่างไร จำต้องเอาผมด้านข้างมาปิดส่วนที่โล้นไว้ และภาวนาของให้ผมใหม่ขึ้นโดยเร็ว มิเช่นนั้นคงไม่กล้าออกมาแม้แต่ประตูบ้าน
"มู่เซียง ต้าเหนียงจื่อ พวกเ้ามากันได้อย่างไร"
ด้านหลังของกลุ่มคนปรากฏใบหน้าอ่อนเยาว์ที่คุ้นเคยกันดี ซีหย่วนวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"ต้าเหนียงจื่อออกมาซื้อของเพิ่มเติม พี่หย่วน วันนี้ไม่ขึ้นเขาหรือเ้าคะ" ซีมู่เซียงคุ้นเคยกับเขาเป็อย่างดี
บ้านของซีหย่วนที่ดินน้อย พอถึงใบไม้ผลิไถพรวนเสร็จ ปรกติจะขึ้นเขาไปวางกับดักล่าสัตว์ ไม่ก็เก็บสมุนไพรมาขายหารายได้
"ก็เพราะฝนตกไม่ใช่หรือไร ข้ากำลังเตรียมไปเก็บเห็ดหลังฝนอยู่พอดี มู่เซียง เ้าจะไปด้วยกันไหม?"
เห็ดหลังฝนฤดูใบไม้ผลิมีมากราวกับขนวัว แม้ไม่ได้ราคามากนัก แต่ก็เป็หนทางสร้างรายได้อย่างหนึ่ง
ซีมู่เซียงส่ายหน้า "งานที่บ้านของต้าเหนียงจื่อยังทำไม่เสร็จเลย พวกท่านไปเถอะ"
ซีหย่วนเกาศีรษะ มองเซวียเสี่ยวหรั่นในอาภรณ์ชุดใหม่ ยิ้มกล่าวว่า "หลางจวินของท่านดีขึ้นหรือยังขอรับ"
"ดีขึ้นมากแล้ว ดื่มยาที่พวกเ้าอุตส่าห์ซื้อมาให้ อาการที่คอก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกสักสองสามวัน พวกเราขอเชิญท่านเ้าไปกินข้าว ถึงเวลาต้องมาให้ได้นะ" เซวียเสี่ยวหรั่นพูดออกไปอีกครั้ง
ซีหย่วนรีบพยักหน้า "ขอรับๆ ต้องไปแน่นอน"
ทั้งสามสนทนากันอยู่ริมทาง คนที่มามุงดูก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เซวียเสี่ยวหรั่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เธอไม่ใช่อาเหลยสักหน่อย พวกเขาจะมามุงดูอะไรกัน
"นั่นคงเป็ต้าเหนียงจื่อที่พักอยู่บ้านเดิมของครอบครัวซีหย่วนกระมัง ได้ยินมาว่าสามีของนางเป็คนฆ่าหมีดำตัวนั้น"
"ก็ใช่น่ะสิ คนเดียวสามารถล้มหมีดำได้ แต่ก็ถูกมันทำร้ายาเ็สาหัส ดังนั้นก็เลยมาอาศัยหมู่บ้านของเราเป็ที่พักฟื้น"
"ครอบครัวของพวกเขาโชคดีเป็บ้า อาศัยแรงแค่นิดเดียว ได้เงินส่วนแบ่งจากหมีตัวนั้นมาตั้งครึ่งหนึ่ง"
"นั่นก็เป็เพราะว่าบิดาของผู้อื่นโชคดี เ้าอย่าขี้อิจฉาไปหน่อยเลย"
"ข้าอิจฉาที่ไหน แค่มาชมความครึกครื้นบ้างไม่ได้หรือ ดูต้าเหนียงจื่อที่มาจากข้างนอกคนนั้นสิ หน้าตาจิ้มลิ้มนัก"
"ทั้งขาวทั้งสวย หน้าตาของมู่เซียงเดิมทีก็ว่าไม่เลวแล้วนะ พอมายืนข้างผู้อื่นเท่านั้น ถึงกับหมองไปเยอะเลย"
เสียงซุบซิบไม่ขาดสายแว่วผ่านเข้าหาในหู เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เดินไปที่ไหนก็มีแต่คนอยากรู้อยากเห็นคอยติดตาม
การชมความครึกครื้นเป็เื่หนึ่ง ถูกคนจับตามองจนน่ารำคาญก็เป็อีกเื่หนึ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นลากพวกซีมู่เซียงไปที่แผงขายของจิปาถะหน้าหมู่บ้าน
ที่นั่นมีของเก่าขายมากมาย เซวียเสี่ยวหรั่นเลือกอยู่พักหนึ่งก็ได้ของมาไม่น้อย
กระดาษหน้าต่างบางบานก็ขาดแล้ว ต้องซื้อแผ่นใหม่ไปซ่อมเสริม
เข็มด้าย กรรไกร ค้อน กระจาด ตะกร้าล้างผัก ของจุกจิกเหล่านี้ ในบ้านยังขาดทั้งนั้น
เข็มกับด้ายที่ใช้อยู่ตอนนี้ ล้วนเป็ของที่ซีมู่เซียงเตรียมมา
ถ้วยบ้วนปากก็ใช้ถ้วยดื่มน้ำแทนกันอยู่ ดังนั้นต้องซื้อเพิ่มอีกหนึ่งคู่
พอย้อนนึกถึงว่าอีกสองวันจะต้องเลี้ยงแขก จานชามตะเกียบในบ้านเดิมทีก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว จะไปยืมชามกับตะเกียบของผู้อื่นก็เสียหน้าแย่
ในที่สุดก็ซื้อจานเพิ่มสี่ใบ ชามน้ำแกงสองใบ ถ้วยกระเบื้องอีกสิบใบ กับตะเกียบสิบคู่
เซวียเสี่ยวหรั่นยกนิ้วขึ้นมานับจำนวนคน ตัดเ้าซีติ้งน่ารังเกียจผู้นั้นออกไป คนอื่นรวมๆ กันแล้วก็น่าจะไม่เกินสิบคน
ของเหล่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ซีมู่เซียงกับซีหย่วนต่างสบตากัน เพื่อเลี้ยงแขกครั้งเดียว ต้องซื้อถ้วยชามและตะเกียบมากมายขนาดนี้
ต้าเหนียงจื่อสกุลเหลียนช่างมือเติบยิ่งนัก
