หลินเฟิงจ้องมองเมิ่งฉิงอย่างประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่านางจะเปิดปากพูดออกมา
ลุงหวังมีสีหน้ามึนงง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวว่า “เดิมทีเ้ากับเขาก็เป็พวกเดียวกัน ทำไมต้องใส่ร้ายป้ายสี ความแข็งแกร่งของพวกเ้าจะสามารถสังหารใครตอนไหนก็ได้ ทำไมต้องหาเหตุผลมากมายขนาดนี้ด้วยเล่า”
“เ้าอยากตายขนาดนั้นเลยหรือ?” หลินเฟิงกล่าวเสียงเย็น แต่กลับยังคงถูกตาเฒ่าเ้าเล่ห์กล่าวหา
“หึ ตาเฒ่าเช่นข้าจะทำอะไรได้อีกล่ะ นอกจากร้องขอความตายจากเด็กหนุ่มที่กำลังดูถูกคนชราเช่นเ้า?” ลุงหวังกล่าวอย่างเ็า
“อย่าห่วง พวกข้ามีเหตุผลเพียงพอสำหรับการตายของเ้า”
เมิ่งฉิงเริ่มพูดและกล่าวว่า “หลินเฟิง ค้นตัวและตรวจสอบเขา บนตัวของเขาจะต้องมีอะไรแน่ๆ มันมีกลิ่นอายแปลกๆ และปลดปล่อยกลิ่นอายได้อย่างทรงพลัง ถ้าเป็คนที่ช่างสังเกตสักหน่อย แม้จะอยู่ห่างไกลก็สามารถรู้สึกได้”
“หืม?” แววตาของหลินเฟิงดูประหลาดขณะมองไปที่เมิ่งฉิง จากนั้นสายตาก็มองไปที่ลุงหวังทันที ถ้าที่เมิ่งฉิงพูดมาเป็ความจริง นั่นก็เห็นได้ชัดเลยว่าลุงหวังใช้วิธีนี้เพื่อส่งข่าวออกไป
ทันใดนั้นสีหน้าของลุงหวังได้เปลี่ยนไป
“ฮ่าๆ งั้นข้าต้องตรวจสอบเขาจริงๆ ซะแล้ว” หลินเฟิงจ้องไปที่ลุงหวังขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ไร้สาระ อยากฆ่าก็ฆ่าเลยสิ ทำไมต้องทำให้ข้าอับอายเช่นนี้ ข้าก็แค่ตาเฒ่าที่อ่อนแอ ในเมื่อจะตายแล้วยังต้องได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้อีก” ลุงหวังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เ้าไม่จำเป็ต้องใช้วิธีนี้หรอก เพราะมันยิ่งทำให้คนรังเกียจมากขึ้น ถ้าหลินเฟิงไม่พบอะไร ข้าก็ยินดีที่จะตาย” เมิ่งฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ความสงบนั่นเต็มไปด้วยความมั่นใจที่แข็งแกร่งเป็อย่างมาก
หลินเฟิงมองเมิ่งฉิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้าไม่พบอะไร ก็ใช้ชีวิตของข้าก็เกินพอแล้ว”
เมื่อพูดจบ ร่างกายของหลินเฟิงตอนนั้นดูสั่นเล็กน้อย จากนั้นเดินไปหาลุงหวัง และเริ่มค้นตัวทันที โดยไม่ให้ลุงหวังได้เตรียมตัวเลยสักนิด
มือของหลินเฟิงเริ่มค้นไปที่ตัวของลุงหวัง สักพักมือของหลินเฟิงได้ัักับกระเป๋าสีดำเล็กๆ ใบหนึ่ง เมื่อหลินเฟิงเปิดดูจึงพบขวดเล็กๆ ที่ปิดสนิท
“เ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม?”
หลินเฟิงกล่าวเยาะเย้ย ขณะมองไปที่ลุงหวังที่กำลังตัวสั่นอยู่
ต้วนเฟิงและจิ้งหยุนกำลังมองไปที่ลุงหวังด้วยสายตาแข็งทื่อ ราวกับถูกแช่แข็ง ตอนนี้พวกเขา้าคำอธิบายจากลุงหวังเป็อย่างมาก
“นายน้อย ข้าได้รับใช้และติดตามเ้านายมาตลอดั้แ่ข้ายังเป็รุ่นเยาว์ ต่อมาก็ได้รับใช้และติดตามท่านพ่อของนายน้อย จนถึงตอนนี้ได้ติดตามท่าน มาั้แ่ท่านยังเล็ก ่เวลาแห่งความรักและห่วงใยเช่นนี้ นายน้อยยังจำได้อยู่หรือไม่?”
ลุงหวังมองไปที่ต้วนเฟิง ขณะกล่าวด้วยความรักและซาบซึ้งใจ
“แน่นอนว่าข้าจำได้ แต่… เพราะเหตุใดกัน?”
ตอนนี้ร่างกายของต้วนเฟิงกำลังสั่นเทา เขาหวังว่าลุงหวังจะปฏิเสธและหาเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ แต่น่าเสียดายที่ลุงหวังกลับไม่เป็อย่างที่คิดไว้
“ในเมื่อนายน้อยจำได้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก นายน้อย… ท่าน้าให้ข้ามีชีวิตอยู่ ข้าก็จะอยู่ต่อ แต่ถ้าอยากให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย”
เมื่อต้วนเฟิงได้ยินที่ลุงหวังพูด หัวใจของเขาก็สั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง
แต่อุณหภูมิในร่างกายของหลินเฟิงในตอนนี้เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ทำไมตาเฒ่าคนนี้ถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้ ถึงกับทำให้บรรยากาศในเวลานี้ต้องอึมครึมเช่นนี้
“ข้าและเมิ่งฉิงได้ใช้ชีวิตเดิมพันกับการค้นหาตัวเ้า แต่เ้าพยายามสรรหาคำพูดมาบรรยาย คิดว่าเพียงไม่กี่ประโยคจะสามารถลบล้างความผิดได้งั้นหรือ?” คำพูดของหลินเฟิงเยือกเย็น จนทำให้ลุงหวังถึงกับสั่นสะท้าน
“หลินเฟิง เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเ้า ทำไมเ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย” ลุงหวังกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่เกี่ยว?” หลินเฟิงกล่าวขณะดึงดาบยาวออกมา ทำให้ลุงหวังสั่นเทาไปด้วยความกลัว
“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้เ้าปรารถนาที่จะตายหรอกหรือ? ตอนนี้ก็มีหลักฐานที่ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ทำไมเ้ากลับไม่พูดคำว่า ‘ตาย’ ออกมาเลยล่ะ เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร? แล้วคิดว่าจะมีคนมาหลงกลเ้าหรือไง?”
ลุงหวังรู้สึกได้ถึงจิตสังหารของหลินเฟิง จึงทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
“นายน้อย” ลุงหวังหวังว่าต้วนเฟิงจะสามารถช่วยเขาได้
“ไม่จำเป็ต้องอ้อนวอนเขา แม้ว่าต้วนเฟิงจะปล่อยเ้าไป แต่ข้าก็จะฆ่าเ้า หากปล่อยเ้าไปชีวิตขององครักษ์เ่าั้ที่เ้าพรากไปก็จะสูญเปล่า แล้วชีวิตของพวกเขาล่ะใครจะเป็คนจ่าย?”
เมื่อหลินเฟิงพูดจบ เขาก็ตวัดดาบฟันทันที จากนั้นเืของลุงหวังก็ได้สาดกระเซ็นไปในอากาศ คนใจดำอำมหิตและปลิ้นปล้อนเช่นนี้ จะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร?
“เฮ้อ...”
ต้วนเฟิงถอนหายใจขณะมีแววตาที่เ็ป และหันไปกล่าวกับหลินเฟิงว่า “พี่หลินเฟิง ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็ไร เ้าเองก็ถูกเขาหลอก” หลินเฟิงไม่ได้ตำหนิหรือโทษต้วนเฟิง เขายังเป็แค่เด็กอายุ 14 - 15 ปีเท่านั้น และลุงหวังก็เป็คนที่ใกล้ชิดเขาที่สุด เพราะฉะนั้นการที่ต้วนเฟิงเชื่อใจเขาก็ถือเป็เื่ปกติ
“ขอบคุณท่านพี่หลินเฟิง หวังว่าคราวนี้พี่จะไม่ปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางไปกับพวกเรา”
ต้วนเฟิงยิ้มให้หลินเฟิง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเขาอาจจะยังไม่ลืมไป เพราะรอยยิ้มของเขายังคงมีร่องรอยของความโศกเศร้าให้เห็นอยู่
จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางไปยังเมืองหลวง เพียงแค่ชั่วพริบตาก็เหลือแค่หลินเฟิง จิ้งหยุน ต้วนเฟิงและเมิ่งฉิง นี่เป็ครั้งแรกที่ได้รับรู้ว่าโลกภายนอกนั้นมันโหดร้ายเป็อย่างมาก
สิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาโศกเศร้านั่นก็คือ ผู้คนเ่าั้ที่พยายามสังหารเขา เป็ถึงกองกำลังของอาณาจักรเสวี่ยเยว่
“อืม...” หลินเฟิงพยักหน้า จากนั้นกล่าวกับต้วนเฟิงว่า “ตอนนี้เ้ายัง้าจะก้าวไปข้างหน้าต่อ?”
“ในเมื่อพวกเราได้ออกมาแล้ว ก็ไม่จำเป็ต้องหนี” ั์ตาของต้วนเฟิงฉายแววความขมขื่นออกมาเล็กน้อย และจู่ๆ แววตาก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกจึงกล่าวว่า “พี่หลินเฟิง ท่านไม่จำเป็ต้องเดินทางไปกับพวกเราก็ได้”
“เส้นทางสู่เมืองหลวง ควรจะมีมากกว่าหนึ่งเส้นทาง พวกเราก็จะได้เปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น ทำไมต้องเอาใจใส่มากขนาดนี้กันล่ะ”
หลินเฟิงรู้ว่าสิ่งที่ต้วนเฟิงกำลังคิดคืออะไร เขาจึงส่ายหน้า
“หืม ข้าเคยเห็นแผนที่ และรู้อีกว่ายังมีอีกหลายเส้นทางที่สามารถไปยังเมืองหลวงได้ ข้าจะคุมรถม้าไปเอง” จิ้งหยุนกล่าว
ต้วนเฟิงครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นเขาก็พยักหน้า “งั้นต้องรบกวนพี่จิ้งหยุนแล้ว”
ทั้งสี่คนเดินตรงไปที่รถม้า โดยมีจิ้งหยุนเป็คนคุมม้า และอีกสามคนก็นั่งในรถม้า
“ต้วนเฟิง ข้ามีเื่หนึ่งที่อยากจะถามเ้า” หลินเฟิงมีข้อสงสัย จึงได้กล่าวถามต้วนเฟิง
“พี่หลินเฟิงโปรดถามมาได้เลย”
“ลุงหวัง ตอนที่เขาใส่ร้ายข้า และได้เอ่ยถึงองค์ชายเทียนหลาง และองค์ชายเทียนหลางได้ส่งคนมาเพื่อสังหารเ้า แล้วเ้าเกี่ยวข้องกับองค์ชายเทียนหลางอย่างไรและทำไมถึงต้องทำเช่นนี้?”
เมื่อต้วนเฟิงได้ยินคำถามของหลินเฟิง ทำให้เขายิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง ถ้าเป็ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองก็ไม่กล้าที่จะเชื่อว่า เขาและองค์ชายเทียนหลางมีสถานะที่เชื่อมโยงกัน
“ถ้าไม่สะดวกที่จะพูด ก็ช่างมันเถอะ” หลินเฟิงกล่าว
“เป็เพราะพี่หลินเฟิงช่วยไว้ข้าถึงได้มีชีวิตอยู่ อย่าได้เกรงใจข้าเลย” ต้วนเฟิงกล่าวขณะส่ายหัว จากนั้นก็กล่าวว่า “เพียงแต่เื่นี้มันซับซ้อนนิดหน่อย ถ้าต้องพูดเื่ตระกูลของข้า”
“สกุลข้าคือต้วน พี่หลินเฟิงก็รู้ อย่างไรก็ตามพี่อาจไม่จะรู้ยังชัดเจนดี ตระกูลต้วนของข้าเป็ตระกูลเชื้อพระวงศ์ จึงกล่าวได้ว่าข้าเป็คนของราชวงศ์นั่นเอง”
“แต่เพราะบรรพบุรุษได้ทำเื่ผิดพลาด จึงถูกเนรเทศไปยังเมืองหยุนหยางและก็ไม่แตกต่างอะไรจากคนธรรมดา”
ต้วนเฟิงเริ่มพูดอย่างช้าๆ ขณะที่เล่าเื่เกี่ยวกับเขา หลินเฟิงก็ได้ฟังอย่างเงียบๆ หลินเฟิงไม่คิดว่าต้วนเฟิงจะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเชื้อพระวงศ์
“พี่หลินเฟิง ท่านน่าจะรู้ว่าตระกูลต้วน ทำไมถึงกลายเป็ตระกูลเชื้อพระวงศ์ที่ยอดเยี่ยมแห่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่”
“เพราะความแข็งแกร่งอันทรงพลัง ถึงได้กลายเป็ตระกูลที่สุดยอดแห่งอาณาจักรเสวี่ยเยว่” หลินเฟิงตอบ
“แต่ว่าอาณาจักรเสวี่ยเยว่ไม่รู้ว่า ทำไมตระกูลต้วนถึงสามารถรุ่งเรืองมาได้นานขนาดนี้?”
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เพราะคำถามที่เขาถามไปไม่ได้คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ หลินเฟิงนั้นถูกตระกูลและนิกายปฏิเสธมาตลอด อย่างไรก็ตามตระกูลต้วนกลับได้ปกครองอาณาจักร หรือกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นทรงพลังที่สุดในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ และไม่เคยมีใครกล้าต่อกรกับพวกเขา
“จิติญญา!” จู่ๆ หลินเฟิงก็พึมพำออกมา จิติญญาน่าจะสืบทอดมาจากสายเื ถ้าบรรพบุรุษมีจิติญญาที่แข็งแกร่ง พวกเขาอาจจะได้รับสืบทอดมา
“ใช่แล้ว มันเป็จิติญญา หรือพูดง่ายๆ ก็คือจิติญญาทางสายเื” ต้วนเฟิงตอบกลับขณะพยักหน้า
“จิติญญาทางสายเื? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” หลินเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินเื่จิติญญาทางสายเืมาก่อนเลยจริงๆ
“พี่หลินเฟิง จิติญญาทางสายเืนั้นหายากมาก แม้แต่อาณาจักรเทียนหลงและอาณาจักรเสวี่ยเยว่ก็เป็สิ่งที่หาได้ยาก ท่านไม่เคยได้ยินซึ่งก็ถือว่าเป็เื่ปกติ” ต้วนเฟิงอธิบาย อาณาจักรเทียนหลงนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด และเป็อาณาจักรมหาอำนาจ นอกจากนี้อาณาจักรเสวี่ยเยว่ก็เป็หนึ่งในอาณาจักรของอาณาจักรเทียนหลง
แต่ที่ต้วนเฟิงกล่าวมา คือผู้จิติญญาทางสายเื แม้แต่ในอาณาจักรเทียนหลงก็เป็สิ่งที่หาได้ยาก
“ว่ากันว่า หากผู้ฝึกยุทธ์บรรลุขอบเขตพลังในระดับสูง เืจะสร้างสายเืขึ้นมา และกลายเป็พลังทางสายเื จิติญญากับพร์ของเขาจะถูกส่งผ่านทางพลังสายเืไปให้กับคนรุ่นหลัง และไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่น คนรุ่นหลังก็จะสามารถได้รับมรดกเป็จิติญญากับพร์ของบรรพบุรุษ เพียงแต่ว่าบางคนสืบทอดพลังทางสายเืมาอย่างเบาบาง ทำให้พร์อ่อนแอ แต่บางคนที่สืบทอดพลังทางสายเืมาอย่างเข้มข้น พร์ของเขาจะน่ากลัวมาก นอกจากนี้การสืบทอดพลังทางสายเืก็มีกฎเกณฑ์ไม่น้อย บางทีคนเป็บุตรจะได้รับพลังทางสายเืไม่มาก แต่รุ่นหลานถัดจากบรรพบุรุษเป็ร้อยๆ ปี กลับได้รับพลังทางสายเืที่เข้มข้น”
“ผู้สืบทอดจิติญญาทางสายเื พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงกลัวขนาดไหนกัน” หลินเฟิงบ่นพึมพำ
“มันเป็ความจริงที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก เส้นทางแห่งการบ่มเพาะมันกว้างเกินไป ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ที่จิติญญาทางสายเืจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์แบบไหนกัน”
ต้วนเฟิงกล่าวขณะยิ้มอย่างขมขื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ความแข็งแกร่งของเขามันอ่อนแอเกินไป
“พี่หลินเฟิง ข้าพูดไปเยอะขนาดนี้ท่านคงจะเดาออกได้แล้วแหละ ตระกูลเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ และบรรพบุรุษของตระกูลต้วนก็ไม่เคยมีใครบ่มเพาะจิติญญาทางสายเืได้ ถึงแม้จะมีพร์และจิติญญาของตระกูลต้วนก็ตาม”
