บทที่ 41 เ้าหนูเ้าเล่ห์
การที่หลัวเจินไม่ตกรางวัลให้ ทำให้ฉินชูรู้สึกเสียเปรียบยิ่งนัก แต่ไป๋อวี้ หลินเจิงและเอ้อพั่งต่างพากันดีใจ เพราะฉินชูจะได้อยู่ที่หอศิษย์รับใช้ต่อ
เมื่อมาถึงหอศิษย์รับใช้ ฉินชูก็มาที่เรือนของพวกไป๋อวี้ “ข้ายั่วโมโหปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาหลักจนโกรธเข้าแล้ว เวลาพวกเ้าออกไปไหนมาไหนก็จงระวังตัว พวกนั้นทำได้ทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการ”
จากนั้นฉินชูก็นำกระบี่ของหลินชาง มู่เหย่และอู๋เฉิง รวมถึงเข็มขัดมิติเก็บของสองสามเส้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ “พวกเ้าเอาไปแบ่งกันใช้”
“ขอบคุณครับลูกพี่” ไป๋อวี้ หลินเจิงและเอ้อพั่งพยักหน้า
“เอ้อพั่ง ข้าบอกตามตรง เ้าอ่อนสุดในบรรดาพวกเรา แต่ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร เพราะความมุมานะย่อมชดเชยความเขลา ขอแค่พยายาม เ้าจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน” ก่อนจากไป ฉินชูกำชับเอ้อพั่งเอาไว้ พวกหลินเจิงเคยเป็ถึงศิษย์สายนอกมาก่อน จึงมีศักยภาพค่อนข้างสูงเป็ทุนเดิน ส่วนไป๋อวี้เป็ศิษย์รับใช้เพราะจำวันผิด ศักยภาพของเขาเหนือกว่าเอ้อพั่งแน่นอน ดีไม่ดีเหนือกว่าพวกหลินเจิงอีกด้วยซ้ำ
เอ้อพั่งประสานมือคารวะฉินชู เขารู้ตัวเองดี แต่เขาเชื่อว่าตัวเองทำได้ ขนาดฉินชูยังเริ่มต้นฝึกจากวิชากระบี่พื้นฐานที่สุดแสนจะธรรมดาจนประสบความสำเร็จได้เลย
หลังจากกลับมาถึงผาหินตัด ฉินชูก็ฝึกวิชากระบี่ ขัดเกลาตบะและบ่มเพาะพลังปราณต่อ เขารอคอยวันที่ตัวเองจะสามารถปลดปล่อยพลังปราณออกมานอกร่างกายได้ ตบะของเขาในตอนนี้อยู่ที่ขั้นหนิงหยวนระดับแปด ไม่นานจะบรรลุระดับเก้า ขยับเข้าใกล้ขั้นที่สามเจินหยวนมากขึ้น
ตอนที่ฉินชูฝึกตน เหลยอินก็ได้เดินทางมาที่ศาลาหลังหนึ่งด้านหลังตำหนักหลักของยอดเขาชิงจู๋
“ไฉนศิษย์น้องเหลยตามมาถึงที่นี่ ฉินชูไม่ได้ทำอะไรลูกศิษย์จากยอดเขาเชียนหลัวไม่ใช่หรือ”
“ศิษย์พี่หลัว ฉินชูบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงแล้วใช่หรือไม่” เหลยอินถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่ได้บ่มชาชั้นเลิศเอาไว้ ศิษย์น้องสนใจลองดื่มดูหรือไม่เล่า” หลัวเจินเปิดฝากาน้ำชา แล้วหยิบใบชาที่บ่มเอาไว้ใส่ลงไป
เหลยอินนั่งลง “ขอศิษย์พี่โปรดอย่านอกเื่ จิติญญารวมเป็หนึ่ง เล็งโจมตีจุดอ่อนและจุดบอดโดยเฉพาะ นั่นคือพลังของวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงใช่หรือไม่ กระบวนท่ากระบี่พื้นฐานฉับไวเช่นนั้น นั่นเป็ผลของการฝึกจากเคล็ดวิชากระบี่กายสิทธิ์ของท่านผู้เฒ่าาุโโม่ไม่ใช่หรือ”
“มีเื่บางเื่ที่ศิษย์ไม่อยากกล่าวถึง” หลัวเจินพยายามเลี่ยงคำถามของเหลยอิน
“มิน่า วันนั้นศิษย์จึงถูกศิษย์พี่เข้ามาขัดจังหวะตอนที่มาหาฉินชู ที่แท้เขามีคุณสมบัติชั้นเลิศที่คุ้มค่าพอจะบ่มเพาะขัดเกลา แต่ศิษย์พี่จงระวัง ในเมื่อศิษย์น้องมองออก พวกซูซานเหอกับจางจี้ก็ต้องมองออกเช่นกัน” เหลยอินพูดกับหลัวเจินด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลยอิน ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวเจินก็ฉายแววเยียบเย็นออกมา “เื่เล็กน้อยที่ผ่านไปแล้ว ศิษย์พี่ไม่อยากถือสาพวกเขาหรอก แต่ครั้งนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ ขืนพวกเขาล้ำเส้นไปมากกว่านี้ ศิษย์พี่จะไม่ทนอีกต่อไป”
“หลายปีมานี้ ทางยอดเขาหลักกดขี่ยอดเขาลูกอื่นเกินไปจริงๆ เพียงแต่ทางยอดเขาลูกอื่นไม่อยากมีปัญหากับพวกพ้องสำนักเดียวกัน แต่ตอนนี้ความบาดหมางของยอดเขาชิงจู๋กับยอดเขาหลักกำลังเริ่มคุกรุ่นและความรุนแรงคงทวีขึ้นในไม่ช้า” เหลยอินพูดขึ้น
“ศิษย์พี่รู้ จึงไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับพวกนั้นไปมากกว่านี้ ศิษย์น้องอาจไม่รู้ ก่อนหน้านี้ซูซานเหอได้ส่งผู้คุมกฎมาจับฉินชูไปขังที่คุกบนยอดเขาหลัก พวกเรารู้ดีว่าฉินชูลงมือเหี้ยมโหด แต่เขาทำอย่างมีขอบเขตและไม่เคยละเมิดกฎของสำนัก แต่ซูซานเหอเอาแต่ยกตนข่มไพร่ กลายเป็ว่าตอนนี้ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ใช้อำนาจอวดเบ่ง พวกลูกศิษย์บนยอดเขาหลักก็พลอยติดนิสัยเสียแบบนี้ไปกันหมด ต้นเหตุของเื่ทั้งหมดเป็เพราะมีลูกศิษย์จากยอดเขาหลักคนหนึ่งส่งคนมาก่อกวนที่หอศิษย์รับใช้ของยอดเขาชิงจู๋โดยไม่สนใจสายตาคนอื่น” หลัวเจินระบายความในใจออกมาอย่างหมดเปลือก
เหลยอินถอนหายใจ “หากพวกผู้ใหญ่ไม่ทำตัวยโสโอหังเป็เยี่ยงอย่าง เหล่าลูกศิษย์จะกล้าทำตัวไร้กฎแบบนี้หรือ การที่เ้าลูกศิษย์ที่ชื่ออู๋เฉิงนั่นถูกฆ่าตายคาลานประลอง ทั้งหมดเป็เพราะคิดว่าคนจากยอดเขาหลักสูงส่งกว่าใคร จะทำอะไรก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่ายอดเขาชิงจู๋ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
“แล้วเื่โบราณสถานชิงหวาง ศิษย์น้องคัดเลือกลูกศิษย์แล้วหรือยัง ทางฝั่งของยอดเขาชิงจู๋ได้เริ่มเตรียมตัวไปบ้างแล้ว” หลัวเจินเปลี่ยนประเด็น
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว มีหลิวเสวี่ยเป็หัวหน้านำกองกำลัง มีสมาชิกสี่คนก็พอ ถ้าส่งไปมากกว่านี้จะเปลืองทรัพยากรเปล่าๆ” เหลยอินเอ่ย
“ศิษย์คิดว่าจะให้ฉินชูเป็หัวหน้านำกองกำลังของยอดเขาชิงจู๋ โดยปล่อยให้เขาเลือกสมาชิกอีกสองสามคนด้วยตัวเอง หลังจากเข้าไปในโบราณสถาน ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองแล้ว” หลัวเจินถอนหายใจอย่างเป็กังวล การส่งฉินชูเข้าไปในโบราณสถานชิงหวางนับเป็เื่ที่อันตรายมากใน่เวลานี้ แต่คนหนุ่มจำเป็ต้องขัดเกลาหนักขึ้น
“เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวศิษย์น้องจะไปคุยกับฉินชู ศิษย์น้องอยากให้กองกำลังจากยอดเขาชิงจู๋และยอดเขาเชียนหลัวดูแลซึ่งกันและกัน” เหลยอินพูดขึ้น
หลัวเจินพยักหน้า เขาหวังว่าฉินชูจะได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน
ครั้นเหลยอินมาถึงผาหินตัด ฉินชูยังคงเข้าฌานบ่มเพาะพลังปราณอยู่
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู จึงหยุดลงและเดินไปเปิดประตู
ฉินชูแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเหลยอิน “ท่านาุโเหลย...ศิษย์แค่ประลองวัดฝีมือกับลูกศิษย์จากยอดเขาเชียนหลัว ท่านคงไม่คิดจะมาหาเื่ศิษย์ถึงหน้าประตูบ้านหรอกกระมัง”
“ไฉนถึงคิดกับข้าเช่นนี้ ข้าแค่แวะมาเยี่ยมเ้าไม่ได้หรือ” เหลยอินมองเหยียดฉินชู นางเริ่มแปลกใจ ไฉนเ้าหนูซื่อบื้ออย่างฉินชูถึงบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงได้ สำนักชิงหยุนก่อตั้งมาเป็เวลาช้านาน แต่มีเพียงสองคนที่บรรลุขั้นเจี้ยนหลิงได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็ถึงท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนัก
“เช่นนั้นย่อมได้! ที่นี่ไม่มีชาชั้นเลิศ มีเพียงน้ำร้อนสำหรับต้อนรับ” ฉินชูเดินไปจุดไฟพลางเอ่ย
“ฉินชู ข้าจำเป็ต้องขอบใจที่เ้าเมตตาลูกศิษย์จากยอดเขาเชียนหลัวหรือไม่” เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้หวายหน้ากระท่อมไม้ เหลยอินก็มองฉินชูที่กำลังต้มน้ำอยู่พลางเอ่ยถาม
“ท่านาุโอย่าพูดเช่นนี้เลยขอรับ การที่ศิษย์ลงมือฆ่าลูกศิษย์จากยอดเขาหลักก็เพราะพวกเขาเสื่อมทรามและเป็ฝ่ายคิดจะฆ่าข้าก่อน ส่วนลูกศิษย์จากยอดเขาเชียนหลัว เป็เพียงการต่อสู้วัดฝีมือเท่านั้น เกรงว่าใช้คำว่า ‘เมตตา’ คงไม่ค่อยเหมาะสมนัก” เมื่อไฟติด ฉินชูตั้งกาน้ำพร้อมตอบคำถามเหลยอิน
“เ้าเป็คนอย่างไรกันแน่” เหลยอินมองพินิจฉินชู นางรู้สึกว่าฉินชูในตอนนี้มีนิสัยไม่เหมือนกับที่คนนอกมอง
ฉินชูหันไปมองทางหอคัมภีร์พลางยิ้มขื่น “อันที่จริง ศิษย์ก็อยากรู้ว่าตัวเองเป็ใครเช่นกัน”
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก!” เหลยอินถลึงตาใส่ฉินชู นางคิดว่าเขาไม่้าพูด แต่หารู้ไม่ว่าเขาก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของตัวเอง
เหลยอินเริ่มพูดคุยกับฉินชูถึงเื่ลูกศิษย์จากยอดเขาเชียนหลัวที่จะเข้าไปในโบราณสถานชิงหวาง มีหลิวเสวี่ยเป็หัวหน้าและหวังว่าพวกเขาทั้งสองจะช่วยดูแลซึ่งกันและกัน
“แค่ดูแลซึ่งกันและกันเฉยๆ ก็ย่อมได้ แต่ว่า...ท่านาุโเห็นหรือไม่ว่าศิษย์เป็เพียงศิษย์รับใช้ผู้ยากจน ไม่มีโอสถหรือชุดเกราะป้องกันตัวใดๆ” ฉินชูตอบสนองในทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเพราะ้าผลประโยชน์
เหลยอินมองพินิจฉินชูอีกรอบอย่างจนปัญญา แข็งแกร่งก็จริง แต่หนังหน้ากลับหนาเกินคาด
เหลยอินลุกขึ้น จากนั้นก็ควักโอสถวางลงบนเก้าอี้สองสามขวด “นี่เป็โอสถถอนพิษกับโอสถสมานแผล เ้านี่มันเ้าเล่ห์เสียจริง”
และแล้วเหลยอินก็จากไป นางรู้สึกว่าขืนอยู่ต่ออีกสักพัก คงถูกฉินชูปอกลอกอีกเรื่อยๆ แน่ ช่างหน้าด้านเสียจริง คนที่กล้าขอนั่นของนี่ผู้อื่นซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ ดูเหมือนว่าทั้งสำนักจะมีฉินชูแค่คนเดียว