ภายในห้องกลายเป็เงียบสงัด ไม่มีใครคาดคิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะโยนคำถามไปที่ฉู่ลี่โดยตรง
คราวนี้จะมีเื่สนุกให้ได้ชมแล้ว
ฉู่ลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเหมือนมีแสงส่องประกาย มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา ก่อนจะพูดว่า “ปล่อยให้เป็ไปตามฟ้าลิขิตเถอะ”
การพ่นคำสี่คำนี้ทำให้ทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกัน
ความหมายคำพูดของฉู่ลี่คือ แม้ว่าองค์ชายหกผู้นี้จะไม่ปฏิเสธฉินมู่เยว่โดยตรง ทว่าเขาก็ยอมรับมู่อวิ๋นจิ่น อย่างลับๆ
ปล่อยให้เป็ไปตามฟ้าลิขิต… ช่างเป็เหตุผลที่ดีเหลือเกิน
“หืม งานเลี้ยงน้ำชาที่ดีนี้กลายเป็เื่น่าผิดหวังเสียแล้ว ว่านซิ่วกลับวังไปซะ!” องค์หญิงห้าแสดงท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย นางทำเพียงเบือนหน้าหนี ลุกขึ้นยืนแล้วจากไปพร้อมกับสาวใช้ข้างกาย
หลังจากองค์หญิงห้าเดินออกประตูไป ฉู่ชิงยกมือขึ้นตบหลังฉู่ซิ่นที่นั่งดูเหตุการณ์อย่างสนุกสนาน “น้องชายแปด พวกเราควรไปกันได้แล้ว”
ฉู่ซิ่นพยักหน้าตอบรับทันที
เมื่อทั้งสองไปถึงประตู ฉู่ชิงกลับหลังหันมาอมยิ้มปรายตามองไปทางฉู่ชิงหยวน “ น้องเก้า เ้าไม่ไปกับพี่ชายหรือ”
ฉู่ชิงหยวน ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ตอบรับทันทีก่อนจะยิ้มหวานออกมา และกล่าวว่า “ไปกันเถอะ แน่นอนข้าต้องไปกับพี่ชายสามของข้า”
หลังจากที่ทุกคนออกไป ห้องที่คึกคักอยู่นั้น กลับเหลือเพียงมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่เพียงสองคน
ยังคงมีเสียงฝนดังมาจากนอกหน้าต่าง มู่อวิ๋นจิ่นพิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยกับฉู่ลี่ว่า“โอ้ ดูเหมือนว่าองค์ชายหกจะมีหนี้รักมากมายทีเดียว”
“ขอบคุณสำหรับคำชม” ฉู่ลี่พูดด้วยเสียงต่ำ โดยที่มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มและพูดต่อไป “ดูเหมือนว่าหลังจากที่ข้าแต่งงานกับเ้าแล้ว ้ข้าคงจะไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจได้”
“เปิ่นหวงจื่อเชื่อว่าเ้าย่อมมีวิธีการรับมือได้” ฉู่ลี่ยิ้มมุมปาก เผยแววตาเปล่งประกายเหมือนซ่อนความนัยบางอย่างไว้
อย่างน้อยตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะไม่ใช่คนใบ้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเป็ใบ้ และดูเหมือนว่าการแก้แค้นจะเป็จุดเด่นที่ดูเป็ธรรมชาติที่สุดในตัวของนาง
เพียงอย่างเดียวนี้ที่ดึงดูดความสนใจของฉู่ลี่เป็อย่างมาก
...
หลังพลบค่ำ ฝนข้างนอกยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ท้องฟ้ามืดสนิทดุจยามกลางคืน
ติงเสี่ยนเดินเข้ามาพร้อมกับนำเทียนมาเพิ่มอีกสองสามเล่มในห้องส่วนตัวนี้ ที่เดิมทีมีแสงเทียนอยู่ประปราย ทันใดนั้นในห้องก็พลันสว่างขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นต้องหรี่ตาลงเพราะแสงภายในห้องแยงตา จนคิ้วของนางขมวดเข้าหากัน
“มืดแล้ว ข้าต้องกลับก่อน” มู่อวิ๋นจิ่นทนแสงจ้าในห้องไม่ไหว จึงลุกขึ้นพูดกับฉู่ลี่เช่นนั้น
ฉู่ลี่มองไปยังมู่อวิ๋นจิ่นและพยักหน้ารับเล็กน้อย
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นออกมาจากห้องส่วนตัว นางก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เป็ผ้าไหมออกมาเช็ดดวงตาที่รู้สึกพร่ามัวจากแสงเทียน
“มีอะไรหรือเ้าคะ คุณหนู?” จื่อเซียงที่เฝ้าประตูรู้สึกงงเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเช็ดตาทันทีที่ออกมา
มู่อวิ๋นจิ่นโบกมือของตน จากนั้นจึงหันไปมอง ห้องที่ติดป้ายหมายเลขหนึ่ง และเห็นว่ายังคงมีแสงเทียนจำนวนมากส่องผ่านรอยแตกร้าวของหน้าต่าง
เมื่อเห็นสิ่งนี้นางก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบในโลกนี้ และไม่ว่าคนคน หนึ่งจะสมบูรณ์แบบแค่ไหน พวกเขาก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน
สมบูรณ์แบบ?
นางแค่กำลังชื่นชมความสมบูรณ์แบบของฉู่ลี่หรือ?
มู่อวิ๋นจิ่นใเล็กน้อยกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะเม้มริมฝีปากและลงจากชั้นสองอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินออกจากร้านอาหารก็พบว่าฝนหยุดตกพอดี มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มออกมาและพูดกับจื่อเซียงทันทีว่า “โชคดีที่ ฝนหยุดแล้ว รีบวิ่งเร็วเข้าเถอะ”
หลังจากพูดจบ นายและคนรับใช้ก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้บนชั้นสองมีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองตามร่างที่ค่อยๆ ทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อย ๆ ของมู่อวิ๋นจิ่น ติงเสี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างมองตามสายตาของฉู่ลี่ที่มองตามหลังมู่อวิ๋นจิ่นอย่างไม่ลดละ ก่อนจะเอ่ยกับฉู่ลี่ว่า
“องค์ชาย คุณหนูสามดูเป็คนที่ไม่สามารถทำลายค่ายกลได้เลย องค์ชายเชื่อจริงๆ หรือว่าคุณหนูสามจะเป็เหมือนที่อาจารย์ไฮว๋หยวนเล่าไว้ ว่านางสามารถทำลายค่ายกลและช่วยเหลือสนมหรงเฟยออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ?”
...
มู่อวิ๋นจิ่นกลับมาที่จวน เมื่อนางผ่านสวนด้านหลัง ก็เห็นซูปี้ชิงและมู่หลิงจูกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน
ทั้งสองคนไม่คาดคิดว่าจะพบมู่อวิ๋นจิ่นที่นี่ ก่อนหยุดฝีเท้าลง และมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
ป้าหลี่เองก็เดินตามหลังซูปี้ชิงเช่นกัน ใบหน้าของนางยังคงขึ้นสี เมื่อนางเห็นมู่อวิ๋นจิ่น ก็พลันถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัวราวกับหนูเห็นแมวเช่นนั้น
ซูปี้ชิงสังเกตเห็นการกระทำของป้าหลี่ที่ดูแปลกไปนางเองก็ก้มหน้างุดด้วยความไม่พอใจเช่นกัน นางจำได้ว่าไม่นานมานี้ ป้าหลี่ถูกพบในสภาพที่มือและเท้าถูกมัดไว้ในคอกสุนัขภายในจวน และมีรอยสุนัขข่วนโดยที่ไม่สามารถโต้กลับใด ๆ ได้
หลังจากพักฟื้นสองถึงสามวัน ป้าหลี่ไม่แม้แต่จะงอหรือยืดมือยืดเท้าได้สักระยะหนึ่ง เพราะมือและเท้าของนางถูกพันธนาการไว้นานเกินไป นางแทบจะยืนและเดินไม่ได้เลย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซูปี้ชิงก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจว่า ผู้หญิงเลวนั่นช่างชั่วร้ายจริง ๆ
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็มู่อวิ๋นจิ่นนี่เอง ไม่เจอกันครึ่งเดือน จนแม่คนนี้เกือบลืมไปเลยว่าเ้ามีชีวิตอยู่ในจวนด้วย” ซูปี้ชิงประชดประชัน ถึงแม้่นี้จะเสียเปรียบมู่อวิ๋นจิ่นมิน้อย แต่ทุกครั้งที่ได้พบหน้านางก็อดที่จะแขวะใส่เสียมิได้
“พวกเราก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก!” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเย้ยกลับ นางคร้านจะต่อปากต่อคำกับแม่ลูกคู่นี้เต็มที จึงเดินอ้อมไปแทน
เมื่อเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะจากไป ซูปี้ชิงก็ะโว่าแม่ไปหาเ้าที่จวนในวันนี้ และบังเอิญได้เห็นชุดชุดแต่งงานของเ้า มันช่างงดงามเลอค่าจริง ๆ !”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักไปชั่วครู่แล้วยิ้มเล็กน้อย “ใช่ อวิ๋นจิ่นเองก็คิดว่ามันดีเหมือนกัน”
“นั่นสิ ครั้งนี้จูเอ๋อร์อาจสู้เ้ามิได้” ซูปี้ชิงยิ้มเจื่อน ๆ
หลังจากได้ยินซูปี้ชิงพูดอย่างนั้น มู่อวิ๋นจิ่นเลือกที่จะไม่สนใจเพราะรำคาญที่จะต้องเปลืองน้ำลายต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย จึงเดินกลับไปที่เรือนมวลบุปผาของตน
ซูปี้ชิงจับจ้องไปที่แผ่นหลังมู่อวิ๋นจิ่นพร้อมกับเอ่ยเสียงต่ำพูดกับมู่หลิงจู “ครั้งนี้แม่พลาดไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นต้องสงสัยว่าแม่แอบทำอะไรกับชุดของนาง จนต้องกลับไปตรวจดูอย่างละเอียดเป็แน่”
“นั่นสิคะท่านแม่ แต่ก่อนนางถูกพวกเราเล่นงานไปหลายที มาตอนนี้นางดูสงสัยไปเสียทุกอย่าง ไม่แน่ว่าครั้งนี้… หากนางไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้ละก็ นางอาจจะทิ้งทั้งสองชุดไปเลย ถึงตอนนั้นก็แค่รอหัวเราะเยาะนางเท่านั้น” มู่หลิงจูยกมือป้องปากหัวเราะ
มู่อวิ๋นจิ่นกลับไปที่เรือนบุปผาภิรมย์ ทันทีที่นางเข้าไปในห้องนอน นางก็พบว่าเสื้อผ้าสองชุดที่นางใส่ไว้ในตู้ถูกโยนทิ้งบนเตียง ดวงตาของนางหรี่ลงแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย
จื่อเซียงรีบวิ่งไปทันที นางหยิบเสื้อผ้าทั้งสองชุดขึ้นมาและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะรู้สึกโล่งใจเมื่อพบว่าไม่มีความเสียหายใดๆ
“โชคดีที่ไม่มีอะไรผิดปกติ” หลังจากที่จื่อเซียงพูดจบ นางก็กล่าวต่อ “เมื่อเป็เช่นนี้ คุณหนูคิดว่าทั้งสองคนจะไม่วางยาพิษกับผ้าทออีกหรือ”
เมื่อได้ฟังจื่อเซียงพูดเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นจึงวางเสื้อผ้าลง และมองไปที่มือของตัวเองด้วยความกลัว
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเย้ยหยันก่อนจะเดินไปพับผ้าชุดสอง แล้วเก็บกลับเข้าตู้ต่อไป จากนั้นกอดอกแล้วพูดด้วยความไม่พอใจว่า
“นี่เป็กลอุบายสำหรับเด็ก และทั้งสองนั้น้าที่จะหลอกข้า”
จื่อเซียงตกตะลึง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามู่อวิ๋นจิ่นหมายถึงสิ่งใด “คุณหนู ไม่้าตรวจสอบหรือเ้าคะ”
“ยกโทษให้พวกเขาที่ไม่กล้ายุ่งกับเสื้อผ้านี้ ชุดทั้งสองนี้สั่งทำขึ้นตามความ้าของฉินไท่เฟยและ องค์หญิงเก้าหากมีอะไรผิดพลาดพวกเขาจะ ล่วงเกินทั้งฉินไท่เฟยและฉู่ชิงหยวน ผลลัพธ์ของมัน ข้าคิดว่าพวกนางคงแยกแยะได้อย่างชัดเจนกระมัง” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าว
จื่อเซียงพยักหน้า เข้าใจเพียงครึ่งเดียว จากนั้นนางก็ทำหน้ามุ่ย “คุณหนู วันนี้พวกนางฉวยโอกาสที่คุณหนูไม่อยู่เข้ามาในเรือน รื้อค้นสิ่งของตามอำเภอใจจนเละเทะหมดเลยเ้าค่ะ”
“ปล่อยพวกนางไป เหลือเวลาอีกแค่สิบวันเท่านั้น” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างไร้ความหมาย แต่ั์ตาของนางแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
...
วันต่อมามู่อวิ๋นจิ่นตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วไปที่ห้องโถงด้านหน้าเพื่อรับประทานอาหารเช้ากับอัครเสนาบดีมู่และคนอื่น ๆ
ที่โต๊ะอาหาร มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งเคยชินกับการนอนดึกก็หาวออกมาหวอดใหญ่ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ซูปี้ชิงที่กำลังกินขนมและเห็นฉากนี้ ก็มองไปยังมู่อวิ๋นจิ่น “เมื่อคืนนี้อวิ๋นจิ่น พักผ่อนไม่ดีหรือ? ทำไมหน้าตาเ้าถึงดูเหนื่อยล้าอย่างนี้”
“ใช่น่ะสิ ต้องขอบคุณท่านแม่อย่างมาก ตลอดทั้งคืนแทบไม่ได้ข่มตาหลับเลย” มู่อวิ๋นจิ่นตอบกลับเสียงเรียบ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูมองหน้ากัน แววตาฉายแววความสุขออกมาอย่างเห็นได้ชัด ต้องขอบคุณมู่อวิ๋นจิ่น ในที่สุดก็ถึงคราวที่พวกนางต้องเอาคืนบ้างแล้ว
มู่หลิงจูชำเลืองมองมู่อวิ๋นจิ่น และเหตุการณ์ที่วัด สุ่ยอวิ๋นในวันนั้นก็ปรากฏขึ้นในหัวของนาง ไม่รู้ว่าด้านไทเฮาจะจัดการไปถึงขั้นไหนแล้ว
ในระหว่างที่ซูปี้ชิง มู่หลิงจู และมู่อวิ๋นจิ่นกำลังลับฝีปากกันอยู่ ผู้ดูแลจวน ได้รีบวิ่งผ่านประตูเข้ามาอย่างรีบร้อนก่อนหยุดทำความเคารพด้านข้างมู่หลิงจู “องค์ชายสี่ส่งคนมาบอกว่าวันนี้คุณหนูสี่ ได้รับเชิญให้ไปล่องทะเลสาบที่นอกเมืองขอรับ”
“องค์ชายสี่?” เมื่อได้ยินดังนั้นอัครเสนาบดีมู่และซูปี้ชิงก็ใเล็กน้อย
พ่อบ้านพยักหน้า “ใช่ขอรับ เป็องค์ชายสี่จริง ๆ”
หลังจากที่พ่อบ้านจากไป ซูปี้ชิงยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนมองไปที่อัครเสนาบดีมู่ซึ่งมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย และพูดว่า “ดูเหมือนว่าองค์ชายสี่จะสนใจในตัวจูเอ๋อร์”
อัครเสนาบดีมู่พยักหน้า แต่ใบหน้าเขานั้นยากที่จะเข้าใจ
ทุกคนต่างทราบกันดี ราชสำนักในตอนนี้แบ่งออกเป็สองฝ่ายระหว่างเจิ้งไทเฮาและฉินไท่เฟย ส่วนองค์ชายสี่กับองค์ชายหกเองก็แบ่งเป็สองฝ่ายเช่นกัน
ตอนนี้ลูกสาวของเขากำลังแต่งงานกับเ้าชายสองคน ในฐานะอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน เขาควรอยู่ในสถานการณ์ที่เป็กลาง แต่ตอนนี้ข้าเกรงว่าการเป็กลางจะไม่ง่ายนัก
ด้วยองค์ชายสี่และองค์ชายหกนั้นเป็ปัญหาหลักที่สำคัญ
ซูปี้ชิงดูเหมือนจะอ่านความคิดความอ่านของอัครเสนาบดีมู่อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงพูดยิ้ม ๆ “ท่านพี่ ใกล้ถึงเวลาเดินทางไปว่าราชการที่ท้องพระโรงแล้วเ้าค่ะ”
อัครเสนาบดีมู่พยักหน้าด้วยท่าทางสง่างาม จากนั้นวางชามและตะเกียบในมือลง ก่อนจัดชุดข้าราชการให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไป
...
หลังจากอัครเสนาบดีมู่จากไป ซูปี้ชิงก็มองไปยังมู่หลิงจูและเห็นว่าท่าทีของมู่หลิงจูนั้นดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย นางจึงพูดกึ่งยิ้มว่า“จูเอ๋อร์กลับไปเตรียมตัวให้พร้อม”
“เ้าค่ะ” มู่หลิงจูพยักหน้าโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองใบหน้าของซูปี้ชิง ก่อนที่นางจะลุกขึ้นเดินไปยังสวนหลังบ้าน
เมื่อเห็นมู่หลิงจูจากไปโดยไม่สนใจ มู่อวิ๋นจิ่นก็หัวเราะเสียงเบาและละเมียดละไมทานซุปเห็ดหูหนูขาวอย่างช้า ๆ “น้องสาวของข้าดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่”
“มีความสุขหรือไม่นั้น หาใช่ต้องเสพสุขในตอนนี้หรอก แต่อยู่ที่ว่าใครกันที่จะหัวเราะได้เป็คนสุดท้ายต่างหาก” ซูปี้ชิงเผยยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ที่ท่านแม่พูดก็มีเหตุผล” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าและยืดหลังตรง “องค์ชายสี่มีจิตใจที่แน่วแน่เสียจริง รู้ทั้งรู้ว่าน้องสาวของข้าหลงรักองค์ชายหก ก็ยังนัดหมายให้น้องสาวมาล่องทะเลสาบอีก มิทราบว่าองค์ชายสี่คิดทำเื่ใดกันแน่นะเ้าคะ
“หรือเพียงเพราะว่าจูเอ๋อร์ ได้ชื่อว่าเป็ผู้หญิงที่มีพร์ที่สุดในอาณาจักรซีหยวน ผู้มีเกียรติส่วนใหญ่จึงมาขอแต่งงาน ดังนั้นข้าจึงไม่จำเป็ต้องให้เ้ามากังวลเกี่ยวกับเื่นี้” ซูปี้ชิงประชดประชัน
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่ได้ยุ่ง ข้าแค่เป็ห่วงน้องสาวของข้า”
สิ้นคำของมู่อวิ๋นจิ่น ก็เห็นมู่หลิงจูที่เปลี่ยนชุดออกมาพร้อมกับส่งแววตาและสีหน้าบูดบึ้งทักทายผู้เป็แม่ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับหงเซียสาวใช้ของนาง