“ข้า้าพบท่านแม่ ช่วยไปแจ้งให้ที”
ป้าหลี่ได้ฟังคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น ความหงุดหงิดก็พลุ่งพล่านก่อนจะตอบกลับเสียงแข็งกร้าว “ฮูหยินกำลังพักผ่อน อีกสักพักคุณหนูสามค่อยมาเถอะเ้าค่ะ”
“เ้าจะเข้าไปแจ้งหรือจะไม่ไป? คราวหน้าข้าจะไปบอกฉินไท่เฟยว่าเ้ารังแกข้า ฉินไท่เฟยบอกข้าว่าอีกไม่กี่วันให้เข้าวัง” มู่อวิ๋นจิ่นจงใจอ้างถึงฉินไท่เฟย เหลือบมองป้าหลี่อย่างยั่วยุ
ป้าหลี่ชะงักนิ่งมองที่มู่อวิ๋นจิ่น ความขุ่นเคืองในใจไม่สามารถปุทุออกมาได้ นางจึงทำได้เพียงก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ ‘นางเด็กเหลือขอคนนี้คิดจะเกาะขาฉินไท่เฟยสินะ’
ตอนนี้ยังทำท่าทีหยิ่งผยองอีก
แต่ฉินไท่เฟยนั้นมิได้เป็ศัตรูกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็เดินเข้าไปเพื่อแจ้งเ้านาย
ไม่นานนักป้าหลี่ก็กลับออกมา เหลือบตามองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “ฮูหยินอยู่ด้านในสวน เข้าไปได้”
เมื่อเข้าไปด้านในหอแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินมุ่งไปทางสวน เดินมาได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เจอซูปี้ชิงที่ศีรษะถูกพันด้วยผ้า เหลือไว้เพียงดวงตาเท่านั้น กำลังนั่งอยู่ในศาลา
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นดังนั้น มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเต่าร้างนั่นจะทำให้ซูปี้ชิงได้รับความทรมานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ท่านแม่” มู่อวิ๋นจิ่นเรียกซูปี้ชิง
ซูปี้ชิงหันมามองที่มู่อวิ๋นจิ่น แต่ชั่วครู่เดียวก็เลื่อนสายตาหนีไป ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “เหตุใดเ้าไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ที่เรือนมวลบุปผาของเ้า มาหาข้าทำไม?”
“อวิ๋นจิ่นมาเพื่อมอบของล้ำค่าให้กับท่านแม่เ้าค่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม และยื่นขวดกระเบื้องลายครามที่เว่ยหานเฉี่ยวมอบให้แก่ซูปี้ชิง ราวกับว่ามันเป็สมบัติล้ำค่า
ซูปี้ชิงเหลือบตามองขวดกระเบื้องตรงหน้าอย่างรังเกียจ นางไม่คิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะสามารถมีสิ่งของที่มีราคาเช่นนี้ได้ นางทำเพียงแค่เอ่ยถาม “สิ่งนี้คืออะไร?”
“เป็ของที่ใช้เพื่อประทินโฉม ว่ากันว่ามันสามารถลบริ้วรอยได้ ข้าซื้อมันมาเป็พิเศษเพื่อเป็เกียรติแก่ท่านแม่เ้าค่ะ” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างเริงร่า
ซูปี้ชิงได้ยินเช่นนั้น สายตาก็พลันเหลือบมองขวดกระเบื้องอีกครา ก่อนจะค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมาเบา ๆ จากนั้นจึงดึงจุกไม้ออกด้วยความสงสัย ก่อนจะสูดดมมันเข้าไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูปี้ชิงก็ขยิบตาอย่างแรง ยกมือขึ้นปาขวดกระเบื้องลงบนพื้นโดยไม่ลังเล ขวดกระเบื้องแตกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสดงถึงความโกรธเกรี้ยวของซูปี้ชิงอย่างดี
“นางสารเลว! เ้าได้สิ่งนี้มาจากไหน เ้ากำลังพยายามจะฆ่าข้างั้นหรือ?” ซูปี้ชิงลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะะโใส่มู่อวิ๋นจิ่น อย่างแรง และยกมือขึ้นเตรียมจะตบนาง
มู่อวิ๋นจิ่นถอยครูดไปหนึ่งก้าว เอี้ยวตัวหลบฝ่ามือของซูปี้ชิง จากนั้นนางขบริมฝีปากแน่น แสร้งทำเป็ตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านเป็อะไรไปหรือเ้าคะ? เหตุใดถึงโกรธมากถึงเพียงนี้?”
“เ้าเอามาจากไหน?” ซูปี้ชิงจ้องไปที่มู่อวิ๋นจิ่น มองดูท่าทางลุกลี้ลุกลนของนางด้วยความโกรธอย่างที่สุด
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะก้มหัวลงแล้วตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านน้าให้ข้ามาเ้าค่ะ”
“ท่านน้าบอกว่านี่เป็เครื่องประทินโฉมช่วยลดเลือนริ้วรอย บอกให้ข้ามอบให้ท่านแม่โดยอ้างตัวข้าเองเป็คนให้ ถ้าทำเช่นนั้นท่านแม่จะปลื้มใจ จะทำให้ท่านแม่เอ็นดูและรักข้าบ้าง...”
มู่อวิ๋นจิ่นแทบจะอ้วกออกมากับคำพูดของตัวเอง
ซูปี้ชิงได้ฟังก็ชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นนางก็เหลือบไปที่ผงแป้งซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนพื้น มือเรียวของนางกำแน่น
ผงนั่น นางคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไร
“ผงเต่าร้าง”
ทว่าเว่ยหานเฉี่ยวผู้นี้ เหตุใดถึงมีผงเต่าร้างนี้ได้ จะว่าไปแล้วจูเอ๋อร์เองก็ถูกผงเต่าร้างนี้เล่นงาน แต่ไม่มีใครรู้
แม้แต่นางเอง ไม่กี่วันก่อนก็ถูกผงนี่เล่นงานเอาเช่นกัน
หรือว่า...
คนที่ให้ผงเต่าร้างกับจูเอ๋อร์ แท้จริงแล้วคือเว่ยหานเฉี่ยว?
ต้องเป็นางไม่ผิดแน่ เพราะไม่มีใครพูดว่าจูเอ๋อร์โดนพิษจากเต่าร้าง เหตุใดเว่ยหานเฉี่ยวถึงล่วงรู้ได้
ยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ตามหามาแทบตาย แต่สุดท้ายก็เจอต้นตอแบบไม่คาดคิดเสียอย่างนั้น นายท่านตามหาตัวคนร้ายมานานก็หาไม่เจอเสียที
ปรากฏว่าเป็คนใกล้ตัวที่อยู่จวนเดียวกันหรือนี่
เว่ยหานเฉี่ยว เ้ากล้าทำร้ายลูกสาวของข้าเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าใจร้ายแล้วกัน
“ท่านแม่...” มู่อวิ๋นจิ่นเห็นซูปี้ชิงหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็เอ่ยเรียกมาหนึ่งคำ
ซูปี้ชิงได้ยินเสียงเรียกของมู่อวิ๋นจิ่นนางก็ชะงักไป ก่อนจะะโใส่มู่อวิ๋นจิ่น “นังลูกโง่! ถูกคนเขาหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก! ถ้าข้าไม่อายุอานามขนาดนี้ เ้าก็คงต้องห่อศพข้าแทนแล้ว!”
“รีบกลับไปเรือนมวลบุปผาของเ้าสะ ไม่มีคำสั่งอย่าเสนอหน้าออกมา!”
“เ้าค่ะ ท่านแม่” มู่อวิ๋นจิ่นหุบยิ้มหน้านิ่งในทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองผิด นางก็ทำได้แค่โค้งให้กับซูปี้ชิง จากนั้นจึงเดินกลับออกไป
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นออกไปแล้ว ซูปี้ชิงก็เรียกป้าหลี่เข้ามา นางเหลือบมองเศษซากบนพื้น ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก “ป้า หลี่ เ้าไปแจ้งท่านพี่ บอกว่าข้าเกิดเื่แล้ว...”
“เ้าค่ะ ฮูหยิน!”
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปจวนจะถึงเรือนมวลบุปผา หลังจากที่จื่อเซียงเพิ่งจะปิดประตูเรือนเสร็จ มู่อวิ๋นจิ่นก็คลี่ยิ้มออกมาและทำตัวสบาย ๆ
“คุณหนู เหตุใดถึงยังยิ้มได้อีกล่ะเ้าคะ เมื่อครู่เพิ่งทำให้ฮูหยินโกรธเสียขนาดนั้น” จื่อเซียงไม่เข้าใจเล็กน้อย มองมู่อวิ๋นจิ่นที่หัวเราะร่าจนน้ำตาจะไหล
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมองจื่อเซียง ก่อนยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของนาง “เมื่อก่อนเ้าและข้าเคยถูกท่านน้าและพี่รองรังแกอยู่บ่อย ๆ ใช่หรือไม่?”
จื่อเซี่ยงพยักหน้า
“ต่อไปนี้ เราก็มีคนที่จะต่อกรแทนเราแล้วล่ะ ไม่นาน เ้ารอดูเกมสนุก ๆ ได้เลย ความทุกข์ทนและขมขื่นที่เราต้องเผชิญมาหลายปี ในเรือนมวลบุปผาแห่งนี้ กำลังจะได้รับการชดเชยแล้ว”
“ผู้คนในจวน ใครที่ทำให้ข้าต้องอยู่อย่างไม่สงบสุข ตอนนี้ข้าจะมาคิดบัญชีให้หมด!”
…
ณ หอปี้ลั่ว
ขณะที่เสนาบดีมู่กุลีกุจอรีบเข้ามา ก็ได้พบกับซูปี้ชิงนอนคว้ำหน้าเปรอะเปื้อนเืสีสด ปากของนางคร่ำครวญไม่หยุด เมื่อเห็นเพียงเงาของเสนาบดีมู่ ก็ร้องไห้คร่ำครวญทันที
“ท่านพี่ ท่านต้องให้ความเป็ธรรมกับข้านะเ้าคะ!”
เสนาบดีมู่เพียงมองสถานการณ์ตรงหน้า คิ้วหนาเข้มก็ขมวดแน่น ะโดังลั่นว่า “เกิดอะไรขึ้น? ยังดีอยู่แท้ ๆ จู่ ๆ เหตุใดเ้าถึงเป็เช่นนี้?”
ป้าหลี่ซึ่งอยู่ด้านข้างรีบก้าวเท้ามาเบื้องหน้า ออกปากแจ้งทันที “เรียนท่านเสนาบดี วันนี้ฮูหยินรองฝากของผ่านทางคุณหนูสาม ส่งเครื่องประทินโฉมมาให้ฮูหยินเ้าค่ะ”
“แต่เมื่อฮูหยินใช่แล้ว ก็กลับกลายเป็เช่นนี้เ้าค่ะ อาการคล้ายกับคุณหนูสี่ที่ได้รับาเ็เมื่อไม่กี่วันก่อนเยี่ยงไรเยี่ยงนั้นเลยเ้าค่ะ”
เสนาบดีมู่ได้ยินดังนั้น ดวงตาก็หรี่ลง สมองของเขากำลังประมวลผลเื่ราวที่เกิดขึ้น ก่อนจะโบกมือ “ทหาร ไปตามฮูหยินรองและคุณหนูสามมาที”
“ขอรับ นายท่าน”
ขณะที่มู่หลิงจูเดินเข้ามาในห้องนอนของซูปี้ชิง หลังจากเห็นสถานการณ์ตรงหน้า นางก็หยุดนิ่งอยู่กับที่และมองซูปี้ชิงอย่างสงสัย
ซูปี้ชิงขยิบตาเล็กน้อย มู่หลิงจูเข้าใจในทันที
หลังจากได้ฟังเื่ราวคร่าว ๆ จากป้าหลี่แล้ว มู่หลิงจูก็กรอกตาไปมา ตามคำบอกเล่าของป้าหลี่ มู่อวิ๋นจิ่นถูกฮูหยินรองหลอกใช้ เื่นี้จึงไม่เกี่ยวกับมู่อวิ๋นจิ่น
แต่ตอนนี้ซูปี้ชิงได้ยื่นโอกาสดีในการเล่นงานมู่อวิ๋นจิ่นเช่นนี้มาให้กับนาง นางจะไม่ใช้มันได้เยี่ยงไรกัน
ครุ่นคิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
ด้านนอกของหอปี้ลั่ว มู่อวิ๋นจิ่นที่ถูกเสนาบดีมู่เรียกตัวมาก็ได้เจอกับเว่ยหานเฉี่ยวพอดีที่หน้าประตู
“ท่านน้า...” มู่อวิ๋นจิ่นเรียกเว่ยหานเฉี่ยวอย่างสนิทชิดเชื้อ
เว่ยหานเฉี่ยวเหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่นนิ่ง แววตาเรียบนิ่ง ไม่ดูใจดีมีเมตตาเหมือนกับตอนที่อยู่ที่เรือนหยางพิศุทธ์แม้แต่นิด
หลังจากสูดหายใจเฮือกใหญ่ เว่ยหานเฉี่ยวก็ก้าวเข้าไปยังหอปี้ลั่ว
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังของเว่ยหานเฉี่ยว ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเ็า
จื่อเซียงมองภาพตรงหน้า แม้จะซื่อสักแค่ไหน ก็ได้กลิ่นแปลก ๆ อยู่ดี
ขณะที่มู่อวิ๋นจิ่นเข้าไปในห้องนอนของซูปี้ชิง นางก็ได้ยินคำอุทานจากเว่ยหานเฉี่ยว “ท่านพี่ ท่านเป็อะไรหรือเ้าคะ? ก่อนหน้านี้ยังดี ๆ อยู่เหตุใดกลายเป็เช่นนี้ได้?”
ซูปี้ชิงที่นอนเอนตัวบนเตียงหันมามองที่เว่ยหานเฉี่ยว ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งกำลังเดินเข้ามา
“อวิ๋นจิ่น มานี่สิ”
มู่อวิ๋นจิ่นที่ถูกเรียกชื่อพยักหน้าตอบ แล้วเดินเข้าไป
“ขวดนี่ ใครให้เ้า?” ซูปี้ชิงกล่าว ป้าหลี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เข้าใจในทันที ก่อนจะหยิบขวดกระเบื้องออกมาจากชายเสื้อ
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเช่นนั้น ไม่มีทางเลือกจนต้องพ่นลมหายใจออกมาให้กับความรวดเร็วในการเดินเกมของซูปี้ชิง ภายในเวลาเพียงไม่นาน แต่กลับไปหาขวดที่เหมือนกันทุกจุดมาได้
ปัญหาเกิดขึ้นกับซูปี้ชิง แต่ขณะนี้สายตาของทุกคนต่างจดจ่อไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากแน่น ั์ตาฉายแววขี้ขลาดออกมา ก่อนที่สายตาของนางจะมองไปที่เว่ยหานเฉี่ยว “ท่าน ท่านน้าให้ข้าเ้าค่ะ...”
“เหลวไหล!” เว่ยหานเฉี่ยวะโออกมาเสียงดังคมชัด “คุณหนูสาม ข้ากับเ้าไม่ได้ญาติดีอะไรกัน ข้าจะมอบของให้กับเ้าไปเพื่ออะไร”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจ นางเริ่มพูดจาตะกุกตะกักแสดงออกถึงความกังวล “คือ ท่านน้า ท่านเรียกข้าไปเรือนหยางพิศุทธ์แท้ ๆ จากนั้นก็เอาขวดกระเบื้องนั่นให้ข้า บอกว่าเป็เครื่องประทินโฉม หนำซ้ำยังบอกว่าข้าไม่ได้รับความเมตตาจากท่านแม่ ให้เอาสิ่งนี้ไปให้ท่านแม่ ท่านแม่จะได้เมตตาข้าบ้าง”
เว่ยหานเฉี่ยวกระอัก นางไม่คิดเลยว่ามู่อวิ๋นจิ่น กระสอบฟางที่โง่เขลาและขี้ขลาด จะสามารถพูดจาเป็เหตุเป็ผลได้ขนาดนี้
ทันทีที่เหลือบไปเห็นว่า เสนาบดีมู่เองก็มองมาที่นางด้วยความกังขานั้น เว่ยหานเฉี่ยวก็คร่ำครวญ “ท่านพี่ ข้าถูกปรักปรำ ทุกคนในจวนแห่งนี้ต่างก็รู้ดี ตัวข้าและคุณหนูสามไม่ได้ญาติดีต่อกันนัก ข้าจะไปมอบเครื่องประทินโฉมเช่นนั้นให้นางได้เยี่ยงไรเ้าคะ”
“อีกอย่าง หากข้า้าจะทำร้ายท่านพี่ ข้าจะยืมมือของคุณหนูสาม แล้วส่งของแบบนั้นให้ได้เยี่ยงไรกัน! แบบนั้นไม่เรียกว่าข้ารนหาที่ตายหรอกหรือ?”
คำพูดของเว่ยหานเฉี่ยว ทำให้ทุกคนต้องมาทบทวนเื่นี้ สายตาทุกคู่เลื่อนกลับไปมองที่มู่อวิ๋นจิ่นอีกครา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ คำพูดของท่านน้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทุกคนในจวนต่างก็รู้ดีว่า พี่สามถูกกักบริเวณมานาน ท่านน้าจะไปยุ่งเกี่ยว สั่งสอนวิธีทำให้ท่านแม่เกิดพอใจเช่นนั้นได้เยี่ยงไร” มู่หลิงจูกล่าวบ้าง
“อีกอย่างพี่สามเพิ่งจะออกมาจากห้องของท่านแม่ ท่านแม่ก็เป็เยี่ยงนี้เสียแล้ว ข้าที่เป็น้องก็ไม่สมควรจะสงสัยพี่สาวตัวเอง ทว่าเื่นี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่โปรดให้อภัยที่หลิงจูหยาบคายต่อท่านพี่ด้วยเ้าค่ะ”
คำพูดของมู่หลิงจูทำให้เว่ยหานเฉี่ยวรอดพ้นข้อสงสัย แล้วกลายเป็มุ่งเป้าไปที่มู่อวิ๋นจิ่นแทน
ซูปี้ชิงที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองมู่หลิงจู ในใจของนางรับรู้ได้ถึงเจตนาของมู่หลิงจูในทันที นางกัดฟันแน่น แต่ก็ต้องตามน้ำไป
“ใช่แล้ว จูเอ๋อร์พูดเช่นนี้ ข้าเองก็นึกขึ้นได้ วันนี้เด็กคนนั้นเพิ่งจะกลับมาจากไปเข้าเฝ้าฉินไท่เฟย แล้วก็มาที่เรือนของข้า มอบขวดกระเบื้องนั้นให้กับข้า”
“อวิ๋นจิ่น หรือว่าเพราะแม่ไม่สนใจใยดีเ้าแต่เดิม เ้าจึงคับแค้นใจใช่หรือไม่? ฉะนั้นก่อนที่เ้าจะเข้าวังไปในฐานะชายาองค์ชายหก เ้าจึงระบายความโกรธงั้นหรือ?”