“หลงเทียนอวี้ ข้าขอเตือนเ้าอย่าได้ทำตัวรุ่มร่าม!”
หลินเมิ้งหยาโกรธแทบบ้าใบหน้าเรียวเล็กบึ้งตึงประหนึ่ง้ากินคนก็ไม่ปาน
สีหน้าของหลงเทียนอวี้เองก็มิได้น่ามอง
นางบังอาจคิดจะเปลี่ยนคู่นอนอีกทั้งยังแสดงกิริยาหยิ่งยโสโอหังต่อหน้าเขาอีก
ผู้หญิงคนนี้มิได้คิดว่าตนเองเป็ชายาของเขาเลยสินะ?
“เ้าเป็ชายาของข้า เหตุใดจึงกล่าวว่าข้ารุ่มร่ามเล่า?”
แม้เขาจะไม่รู้สึกสนใจผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงตรงหน้ายังไม่ยินยอมให้เขาเข้าใกล้
แต่...นางเป็ชายาของเขาเขารู้สึกว่าตนเองควรทำให้นางได้รู้ถึงข้อสำคัญข้อนี้
“ข้า...หม่อมฉันหาใช่ชายาของพระองค์หม่อมฉันเป็เพียงชายาแค่ในนามเท่านั้น หม่อมฉันคือจอมวางแผน หม่อมฉันคือมีดหม่อมฉันไม่มีทางเป็ชายาของพระองค์!”
เมื่อตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก หลินเมิ้งหยาไม่อาจสนใจอะไรมากมายนัก
นางและหลงเทียนอวี้ควรแบ่งขอบเขตกันอย่างชัดเจน
นางไม่มีทางหวั่นไหวเพราะเขา หลงเทียนอวี้เองก็ไม่มีทางหวั่นไหวเพราะนาง
สู้ทุกคนพูดกันอย่างชัดเจนเสียั้แ่ตอนนี้ต่อจากนี้ไปจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้การกระทำของหลงเทียนอวี้หยุดลง
ดูเหมือนหลินเมิ้งหยาจะชอบชิงหูแล้วจริงๆ
มิเช่นนั้น นางจะละทิ้งตำแหน่งพระชายาทำไม
ทว่า หัวใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่นานนัก
“เ้า...พูดถูก”
หลินเมิ้งหยาเป็คนมีพร์ที่หาตัวจับยาก หลงเทียนอวี้ยอมรับจุดเด่นข้อนี้ของนาง
เขาควรเคารพในการตัดสินใจของลูกน้อง หากนางไม่อยากได้ตำแหน่งพระชายาเช่นนั้นเขา...ก็ไม่คิดร้องขอนางเช่นกัน
“วางใจเถิด หากสบโอกาสเมื่อใด ข้าจะปล่อยเ้าเป็อิสระ”
หากเป็เช่นนั้น หลินเมิ้งหยาก็จะได้ในสิ่งที่ตนเอง้าอีกทั้งนางจะยังสามารถอยู่ข้างกายของเขาตลอดไป คอยช่วยเหลือเขาและทำสิ่งต่างๆ แทนเขา
ถูกต้อง ตัวเลือกนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แต่เพราะเหตุใดใยเขาจึงรู้สึกว่าการตัดสินใจเช่นนี้ทำได้ยากเย็นยิ่งนัก?
“หากเป็เช่นนั้นก็ดีเพคะ ท่านวางใจเถิดตราบใดที่หม่อมฉันยังเป็ชายาของพระองค์ หม่อมฉันไม่มีทางปล่อยให้จวนอวี้ต้องเกิดเื่น่าอับอายอันใดคำพูดเมื่อครู่เป็เพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น”
ในที่สุดก็ได้รับคำสัญญาจากหลงเทียนอวี้
เพื่อคำสัญญาในคราวนี้ หลินเมิ้งหยาพยายามอยู่นานแต่เพราะเหตุใดทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาที่บอกว่าจะปล่อยตนเองเป็อิสระหัวใจของนางจึงรู้สึกเ็ปขึ้นมา
“หากไม่มีเื่อะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัว”
หลินเมิ้งหยาพยายามเหยียดกายลุกขึ้นจากเตียง ถวายคำนับก่อนที่ร่างบางจะหายออกไปจากห้องอ่านหนังสือ
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้สึกเลยว่าห้องอ่านหนังสือจะอ้างว้างมากถึงเพียงนี้
ได้ยินเสียงเท้าเล็กๆ เดินหายไป หลงเทียนอวี้ที่ยืนนิ่งตลอดเวลาพลันหันหน้ามองความว่างเปล่าภายในห้อง
เหตุใด...ห้องที่เคยคิดว่าคับแคบจึงว่างเปล่าจนใจหายเช่นนี้?
หลงเทียนอวี้ส่ายหน้าเพื่อขับไล่ความคิดน่าขันออกจากสมอง หยิบเอกสารที่ยังไม่ได้อ่านเมื่อหลายวันก่อนขึ้นอย่างเหม่อลอย
“พี่สามทะเลาะกับพี่สะใภ้อย่างนั้นหรือ?”
เสียงแ่เบาซุกซนดังขึ้นร่างของหลงชิงหานพลันปรากฏขึ้นในห้องอ่านหนังสือ
ยังคงถือพัดลายดอกไม้ไว้ในมือ ดวงตาขี้เล่นราวกับได้เห็นเื่น่าสนุกเข้าเสียแล้ว
“เ้า...แอบฟัง?” คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันดูเหมือนเขาควรจะลดวิชาศิลปะการต่อสู้ของหลงชิงหานบ้างเสียแล้วเขาจะได้มิต้องแอบฟังในเื่ที่ไม่สมควรฟัง
“ข้าเปล่านะ ข้าจะกล้าทำเยี่ยงนั้นได้เช่นไร?เพียงแค่เมื่อครู่ตอนที่ข้าเห็นพี่สะใภ้สามเดินกลับออกไปปากของนางบ่นพึมพำไม่หยุดประหนึ่งกำลังสาปแช่งใครอยู่อย่างนั้นดูเหมือนนางจะอารมณ์ไม่ดี พอเห็นหินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง นางจึงคิดจะระบายอารมณ์แต่ใครจะรู้เล่าว่าหินก้อนนั้นจะฝังลึกกับผืนดิน ครู่ต่อมานางจึงทำได้แต่เพียงกอดขานั่งร้องไห้อยู่บนพื้น”
ยังไม่ทันที่หลงชิงหานจะพูดจบ ร่างของหลงเทียนอวี้พลันหายออกไปจากห้องอ่านหนังสือ
มองแผ่นหลังของพี่สามที่ลับหายไปอย่างรวดเร็วหลงชิงหานอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ
ดูเหมือนพี่สามที่เคยเ็าประหนึ่งูเาน้ำแข็งจะต้องถูกพี่สะใภ้ที่ร้อนแรงราวกับดวงอาทิตย์แผดเผาแล้วอย่างแน่นอน
“ฮือๆ เ้าหินบ้า แม้แต่เ้าก็รังแกข้าอย่างนั้นหรือ! ฮึเดี๋ยวข้าจะสั่งให้ย้ายพวกเ้าทุกก้อนไปเผาทิ้งให้หมดเลย!”
หลินเมิ้งหยากอดขา ริมฝีปากบางส่งเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ
เจ็บนิ้วเท้าจังเลย! ครู่ต่อมา หยาดน้ำตาพลันรินไหล
อีกเดี๋ยวจะต้องบวมแน่นอนเลย!
นางเองก็ผิด ไม่เป็ไรแท้ๆ แต่จะเตะก้อนหินระบายอารมณ์เพื่ออะไร!
นางลูบไล้นิ้วเท้า ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นร่างบางพลันลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นตกอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน
นางเงยหน้า ทว่าได้เห็นใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของหลงเทียนอวี้ ขณะที่คิดจะดิ้นหนีกลับถูกเขากอดเอาไว้แน่น
“อย่าขยับ ข้าจะพาเ้าไปทำแผล”
น้ำเสียงยังคงเ็าดังเดิมทว่ากลับมิได้เ็าเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด สุดท้ายขดตัวอยู่ภายในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟังถึงอย่างไรนี่ก็เป็การาเ็ที่ได้รับจากการทำงาน เขาเป็เ้านายก็ควรรับผิดชอบ
อุ้มหลินเมิ้งหยาผ่านตำหนักฉินหวู่กลับมายังตำหนักหลิวซินระหว่างทางเดินผ่านคนรับใช้มากมาย ทุกคนล้วนได้เห็นภาพที่ยากจะได้เห็น
ท่านอ๋องที่มีใบหน้าเ็ากำลังอุ้มพระชายากลับไปที่ตำหนักไหนเมื่อครู่มีคนบอกว่าท่านอ๋องรักและเอ็นดูหญิงสาวจากซีฟานผู้นั้นอย่างไรเล่า?
ดูเหมือนท่านอ๋องจะรักพระชายาที่สุดมิเช่นนั้นจะยอมลดศักดิ์ศรีของตนเอง แล้วพลีตนเป็เกี้ยวให้กับพระชายาเช่นนี้หรือ?
“ท่านอ๋อง นายหญิงเป็อะไรหรือเ้าคะ?”
เปิดประตูตำหนักหลิวซิน สาวใช้ทั้งสามพุ่งตัวเข้ามา คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นท่านอ๋องกำลังอุ้มพระชายากลับมาเื่นี้จะกลายเป็ข่าวใหญ่หรือไม่?
“พวกเ้าไปเอายาคลายกล้ามเนื้อและอุปกรณ์ทำแผลมา นางได้รับาเ็”
หลงเทียนอวี้สั่งสาวใช้ในตำหนักหลิวซินเพียงไม่กี่ประโยค ป๋ายจื่อรีบร้อนวิ่งไปหายา
เขาอุ้มหลินเมิ้งหยากลับมาจนถึงห้อง ก่อนจะวางตัวนางลงเบาๆท่าทางของนางมิได้เย่อหยิ่งเหมือนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
“ยามาแล้วเ้าค่ะ ยามาแล้ว นายหญิงาเ็ตรงไหนหรือเ้าคะ?”
ป๋ายจื่อมองนายหญิงของตนเองด้วยท่าทางสงสารนับั้แ่แต่งงานออกเรือนมา นายหญิงมักจะมีแผลเล็กแผลใหญ่ไม่น้อยเลย
แต่ใครจะรู้ว่าหลงเทียนอวี้จะแย่งยาเ่าั้ไป
เขาคิดจะถอดรองเท้าของหลินเมิ้งหยาออกด้วยตนเองขณะเดียวกันคนในตำหนักล้วนตกตะลึง
พวกนางมิได้ฝันไปใช่หรือไม่? ท่านอ๋องกำลังจะถอดรองเท้าให้พระชายา
ป๋ายจีอายุมากที่สุด นางเข้าใจเื่ราวทั้งหมดได้ในทันทีหมุนตัวพาทุกคนออกไปจากห้องทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ
หลินเมิ้งหยามองดูหลงเทียนอวี้เสมือนคนโง่เขากำลังถอดรองเท้าให้นางเองกับมือ อีกทั้งยังถอดด้วยความระมัดระวังท่อนขาเรียวยาวสีขาวดั่งไข่มุกจึงเผยออกมาให้เห็น
“ท่านอ๋อง การกระทำเช่นนี้มิต่างอะไรจากคนโรคจิตเลยนะเพคะ”
หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าตนเองกำลังเข้าใจผิดหรือไม่ดังนั้นนางจึงเอ่ยประโยคนี้ออกมา
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับเทยาในขวดออกมาก่อนจะออกแรงนวดคลึงนิ้วเท้าของหลินเมิ้งหยา
“เช่นนั้นเ้าจึงไปแจ้งทางการให้มาจับข้าเถิดแต่ถึงอย่างนั้นข้าจะบอกอะไรเ้าสักเื่หนึ่งก่อนฝูหยิ่นของเมืองหลวงล้วนเป็คนของข้า”
เพียงประโยคนี้ทำให้หลินเมิ้งหยาพูดไม่ออกคิดว่าตำแหน่งสูงกว่าแล้วจะอยู่ค้ำหัวผู้อื่นหรืออย่างไร?
“ท่านอ๋อง คิดหรือว่าท่านโตแล้วจึงทำตัวโรคจิตเช่นนี้ได้?”
ฮือๆ สมองของนางกำลังเล่นตลกอยู่หรือไรนางไม่เคยเกลียดชังฝีปากของตนเองเท่านี้มาก่อนเลย
“ข้าเกิดในสมัยหยวนชิ่งปีที่แปด ดังนั้นข้าจึงแก่กว่าเ้าอย่างแน่นอน”
์โปรด นี่มันประโยคสนทนาแปลกประหลาดอะไรกันนี่หลินเมิ้งหยาพูดไม่ออก นางไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรด้วยซ้ำ!
“เสร็จแล้ว วันนี้พักผ่อนสักเล็กน้อยก็จะฟื้นกลับมาเป็ปกติอีกไม่กี่วันจะเป็วันงานเลี้ยงฉลองการมาเยือนของฮ่องเต้ิเมื่อถึงวันนั้นองค์ชายแห่งซีฟานเองก็จะเสด็จมาด้วย เ้าต้องเข้าวังไปกับข้า”
หลงเทียนอวี้ปล่อยท่อนขาวสีขาวราวหิมะผิวพรรณของหลินเมิ้งหยาดีมากเหลือเกิน
ั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า ผิวพรรณของนางขาวนวลนุ่มนิ่ม หลงเทียนอวี้เพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าผิวขาวดุจหิมะเป็เช่นไร
“เช่นนั้นหม่อมฉันต้องเตรียมตัวอย่างไรเพคะ?” ใบหน้าเรียวเล็กแดงระเรื่อชักขาของตนเองกลับอันที่จริงหลินเมิ้งหยาไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องเผยท่อนขาให้ชายใดเห็นมาก่อน
ทว่า...อยู่ๆ ทัศนคติที่เปลี่ยนไปของหลงเทียนอวี้นี่ช่าง...
“ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น ข้ากับชิงหานเตรียมการไว้หมดแล้วเ้าไปร่วมงานด้วยกันก็พอ”
จมูกพลันได้กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของหลินเมิ้งหยา
มิรู้ว่าหญิงสาวคนนี้ใช้เครื่องหอมชนิดใดเหตุใดวันนี้จึงหอมมากเป็พิเศษกันนะ?
“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”
นางก้มศีรษะต่ำ เพิ่งจะมาแสดงท่าทีเขินอายตอนนี้ยังจะทันหรือไม่?
“เช่นนั้นข้าไปล่ะ เ้าพักผ่อนมากๆ แล้วกัน”
เขาลุกขึ้นยืน ชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาที่กำลังก้มหน้าอยู่เล็กน้อยหัวใจพลันกระตุก
“คือว่า...ท่านอ๋อง หากครั้งหน้าท่านคิดจะทำตัวโรคจิตอีกล่ะก็ได้โปรดแจ้งหม่อมฉันให้ทราบล่วงหน้าด้วยเพคะ”
์โปรด! นางเอ่ยประโยคนี้ออกไปทำไมกัน?ทั้งที่นางแค่อยากขอบคุณท่านอ๋องที่อุ้มนางกลับมาส่งและทำแผลให้เท่านั้นแท้ๆ
“ได้”
คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะแปลกยิ่งกว่าที่ส่งเสียงตอบรับนางเช่นนี้
ฮือๆ หลินเมิ้งหยามุดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มคำพูดของพวกนางทำให้ใครต่อใครต่างพากันพูดไม่ออก!
ก้อนเมฆถมึงทึงลอยครึ้มอยู่เหนือจวนพลันลอยหายไปเหตุเพราะหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ได้ปรับความเข้าใจกันเล็กน้อยแล้ว
เหตุเพราะได้รับาเ็พระสนมเต๋อเฟยที่คิดจะสั่งสอนนางกลับกลายเป็ปลอบโยนแทน
บางทีเพราะลูกสะใภ้เกิดอาการหึงหวง ดังนั้นในสายตาของหลงเทียนอวี้ เขาจึงรู้สึกรักและเอ็นดูชายาของตนเองมากขึ้น
นางที่เป็แม่ไม่ควรยื่นมือเข้าไปวุ่นวายกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่
บางทีอาจเพราะเผลอนึกถึงเื่ราวของตนเองกับฮ่องเต้ดังนั้นจึงเลือกที่จะมองข้ามเื่ของหลินเมิ้งหยาไป
พริบตาเดียว วันงานเลี้ยงต้อนรับการมาเยือนของฮ่องเต้ิก็มาถึง
ราวกับว่าฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้จะมาเร็วกว่าที่คิด
ทันทีที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศยามค่ำคืนพลันหนาวเหน็บ
ภายในตำหนักหลิวซินตระเตรียมเตาอั้งโล่เอาไว้เรียบร้อยแล้วเคยได้ยินมาว่าใต้ผืนแผ่นดินของตำหนักแห่งนี้มีัใต้ดินอาศัยอยู่ยามใดที่รู้สึกหนาวเหน็บ มันจะลุกขึ้นมาพ่นไฟเพื่อไล่ความหนาวออกไป
เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าอากาศจะอบอุ่นเสียยิ่งกว่าฤดูร้อน
“หากพระชายาของพวกเราสวมใส่ชุดวิหคเหินท่ามกลางหมู่มวลบุปผาชุดนี้ จะต้องงดงามเกินผู้ใดอย่างแน่นอน”
ป๋ายจื่อหัวเราะคิกคักขณะลูบไล้ชุดสีแดงทับทิมที่ถูกถักทอมาอย่างประณีตด้วยด้ายทีละเส้น
“ใช่แล้ว! พี่ป๋ายจีเป็อัจฉริยะด้านงานฝีมือโดยแท้!”
