“แลกเปลี่ยนวิชา?”
คำพูดของอวิ๋นซื่อเทียน ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างต้องตกตะลึงกันถ้วนหน้า
“มู่เยี่ยนแห่งสำนักศึกษาเสินเจียง เซี่ยวหวู่ฉิงแห่งหอชิงหลง ไป๋หลีซวนแห่งสำนักอี่เทียน เห็นทีทั้งสามกองกำลังนี้จะเตรียมตัวมาเป็อย่างดี” มีคนสังเกตเห็นรุ่นเยาว์สามคนที่อยู่ในสามกองกำลังนั้น ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นพร้อมดวงตาฉายแววหวาดหวั่น
มู่เยี่ยน อันดับหนึ่งในรายนามเสินเจียงแห่งสำนักศึกษาเสินเจียง อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ มากพร์และมากฝีมือ องค์รัชทายาทยังแต่งตั้งให้เป็ผู้บังคับบัญชาองครักษ์หลวง และได้รับความโปรดปรานจากราชวงศ์
เซี่ยวหวู่ฉิงผู้นี้มีนิสัยเ็าและโหดร้าย อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ ลือกันว่ามีดของเขาว่องไว เมื่อรังสีมีดปรากฏจักต้องมีคนตกตาย ถือเป็บุคคลอันตรายคนหนึ่ง
ไป๋หลีซวน อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักอี่เทียน อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ ปลุกิญญาาที่สอง ฝึกทักษะกระเรียนขาวจนชำนาญ แม้อยู่ในระดับเดียวกันก็หาคู่ต่อสู้ได้ยากยิ่ง
สามคนนี้ถือเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของเมืองหลวง โดยเฉพาะมู่เยี่ยนจะโดดเด่นกว่าทุกคน ไม่เพียงแต่เฉิดฉายในสำนักศึกษาเสินเจียง แต่ยังอยู่อันดับที่ 6 ในรายนามเฟิงอวิ๋นแห่งอาณาจักรจ้าว
“งานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเพิ่งสิ้นสุด ยังต้องปรับปรุงสักหน่อย หากจะแลกเปลี่ยนวิชา ไว้เป็คราวหน้าแล้วกัน” ฉินเจิ้นถิงรู้เจตนาของอวิ๋นซื่อเทียนดี จึงกล่าวปฏิเสธไปตรง ๆ
แม้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะมีรากฐานลึกซึ้ง แต่ลูกศิษย์ที่รับมาใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยเป็ที่น่าพอใจเท่าไหร่ จึงค่อย ๆ เปิดช่องว่างให้กับอีกสามกองกำลัง แม้จะเป็ตู๋กูหลง เมื่ออยู่ต่อหน้าอัจฉริยะชั้นยอดทั้งเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าว ก็ยังถือว่าไม่โดดเด่นมากพอ
บุคคลระดับสูงของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้ความสำคัญกับเื่นี้มาก เมื่อพลังคนรุ่นเยาว์มีไม่มากพอ สำนักยุทธ์จะล่มสลายสักวันหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อรู้เื่ที่หนานกงหลิงซวงปลุกิญญาาหงส์ขั้นเขียว ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจึงเปิดรับสมัครลูกศิษย์ก่อนกำหนด จะเห็นได้ว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน้าอบรมสั่งสอนคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในอาณาจักรจ้าว บัดนี้การปรากฏตัวของเย่เฟิงดูเหมือนจะทำให้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเห็นความหวังอีกครั้ง ด้วยพร์ของเย่เฟิง บางทีในภายภาคหน้าอาจเติบโตเป็อัจฉริยะที่แข็งแกร่งเฉกเช่นผู้ฝึกยุทธ์รายนามเฟิงอวิ๋น
ถึงอย่างนั้นเย่เฟิงที่มีพร์ที่ไม่เลว แต่มีระดับการบ่มเพาะต่ำต้อย ก็ยังห่างชั้นกับพวกมู่เยี่ยนอยู่ไม่น้อย เวลานี้ยังมิอาจต่อกรกับพวกเขาได้ ดังนั้นฉินเจิ้นถิงจึงไม่อยากให้เย่เฟิงปะทะกับพวกมู่เยี่ยน งานชุมนุมหวงปั่งที่จะถึงนี้ เย่เฟิงจะต้องทำคะแนนที่น่าทึ่งและคว้าชัยชนะอันรุ่งโรจน์มาให้กับสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้อย่างแน่นอน
“ผู้าุโฉินปฏิเสธเพราะกลัวหรือ?” อวิ๋นซื่อเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะมองฉินเจิ้นถิงด้วยสายตาเย้าหยอก
“ข้ามู่เยี่ยน ยินดีแลกเปลี่ยนวิชากับศิษย์มากฝีมือของสำนักยุทธ์สูงศักดิ์!” ในขณะเดียวกันมีชายหนุ่มชุดขาวเดินออกมาจากกลุ่มสำนักศึกษาเสินเจียง เขามีรูปร่างสูงและใบหน้าหล่อเหลา แต่สายตานั้นแฝงความเย่อหยิ่ง เขาท้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้แลกเปลี่ยนวิชา โดยมิได้ระบุว่าเขา้าสู้กับใคร นั่นหมายความว่าเขาสามารถสู้กับศิษย์คนไหนก็ได้ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
แม้ประโยคนี้จะฟังดูดี แต่กลับแฝงไปด้วยความยโสโอหัง เท่ากับว่าไม่ว่าใครเข้ามาก็พร้อมรับคำท้าทั้งนั้น เพราะเขาคนเดียวสามารถท้าดวลได้ทั้งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ผู้คนต่างเงียบกริบ เพียงแต่เมื่อมู่เยี่ยนกล่าวจบ สายตาของทุกคนก็หันไปมองเย่เฟิงเป็ตาเดียวกัน ถึงอย่างไรเย่เฟิงก็ได้รับการยอมรับแล้วว่าเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
จากนั้นมู่เยี่ยนหันไปมองเย่เฟิงตามผู้คนโดยไม่รอให้ฉินเจิ้นถิงพูดสิ่งใด เมื่อเห็นว่าเย่เฟิงอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 4 ก็อดเหยียดยิ้มเยือกเย็นไม่ได้ จากนั้นเขาเดินออกมาที่ด้านหน้าเย่เฟิง แล้วมองสำรวจเย่เฟิงด้วยสายตากำเริบเสิบสาน
“เ้าน่ะหรืออันดับที่ 1 ของงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนในครั้งนี้?” มู่เยี่ยนมองเชิดหน้าด้วยสายตาเย่อหยิ่งพร้อมกับซักถามเย่เฟิง
“มีธุระอันใด?” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากสังเกตการณ์เงียบ ๆ ก็ทำให้เขาเข้าใจถึงเจตนาที่สามกองกำลังนี้มาเยือนสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พวกเขามาเพิ่มความกดดันให้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนในฐานะตัวแทนของราชวงศ์
บนโลกใบนี้ ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
มีกองกำลังผุดขึ้นมากมายในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าว จึงเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด และแน่นอนว่าเย่เฟิงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“สู้กับข้าสักรอบ เป็ไง?” มู่เยี่ยนกล่าวพร้อมมองเย่เฟิงด้วยสายตายั่วยุ
“สู้กับเ้า ระดับการบ่มเพาะของเ้ากับข้าแตกต่างกันมากโข แล้วจะสู้ได้อย่างไร?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม มู่เยี่ยนใช้ส่วนไหนคิดถึงพูดเช่นนี้ออกมาได้
“สำนักยุทธ์สูงศักดิ์เป็อะไรไป เหตุใดเ้าที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 4 ถึงคว้าอันดับที่ 1 ในงานประลองไปครองได้? หรือว่าไม่มีคนแล้ว? ถ้าคนอย่างเ้าอยู่ที่สำนักศึกษาเสินเจียง ชื่อของเ้าไม่มีทางปรากฏในรอบพันคนอย่างแน่นอน” มู่เยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดยิ้ม และพูดจาดูถูกสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอย่างไม่ละอายใจ ทำให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา
“งั้นหรือ?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม มู่เยี่ยนผู้นี้ดูถูกเขา บอกว่าหากเขาเข้าร่วมการประลองของสำนักศึกษาเสินเจียง แม้แต่รอบพันคนก็ไม่ติด
“ในเมื่อเ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็อยากเห็นว่าผู้ฝึกยุทธ์พันคนในการจัดอันดับของสำนักศึกษาเสินเจียงมีพลังระดับไหน แล้วแข็งแกร่งอย่างที่เ้าพูดมาหรือไม่?” เย่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบคม แม้จะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์อย่างมู่เยี่ยน เขาก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
“เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์เ้าให้ รับกระบวนท่านี้ไปกินซะ!” พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางฝั่งสำนักศึกษาเสินเจียง จากนั้นผู้คนเห็นเงาร่างหนึ่งทะยานมาทางนี้ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ กระทั่งเห็นเพียงเงา แต่ไม่เห็นตัวคน ซึ่งมาพร้อมกับการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัว
แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง ก่อนจะวาดฝ่ามือภูผาพิฆาตโจมตีโดยที่ไม่ชำเลืองคนผู้นั้นแม้แต่นิดเดียว
“ปัง!” เสียงะเิดังกึกก้อง นาทีนี้ผู้คนพบว่าคนที่เย่เฟิงโจมตีได้กระเด็นปลิวออกไปไกล พร้อมกับกระอักเืออกมา เรียกได้ว่ามาไวไปไวกันเลยทีเดียว
“แกร่งมาก เย่เฟิงผู้นี้สมแล้วที่เอาชนะตู๋กูหลงแบบข้ามระดับมาได้ การโจมตีนี้ทรงพลังมาก!” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตะลึงงัน
“เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น เย่เฟิงก็ซัดผู้ฝึกยุทธ์สำนักศึกษาเสินเจียงกระเด็นไปไกล ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!” ผู้คนคิดในใจ ศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างเผยสีหน้าเบิกบาน การลงมือครั้งนี้ของเย่เฟิงเป็การตบหน้ามู่เยี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
“ต้องถามว่าสวะแบบนี้มีอยู่ในสำนักศึกษาเสินเจียงมากเท่าไร? หากเป็เช่นนี้ สิ่งที่เ้าพูดมาก็เป็การโกหกทั้งหมด!” เย่เฟิงเย้ยหยันขณะมองมู่เยี่ยน
“อยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 4 กล้าดียังไงมาพูดจาเช่นนี้กับข้า? ข้าเองก็อยากเห็นว่าอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะแน่สักแค่ไหน?”
คำพูดของเย่เฟิงทำให้มู่เยี่ยนเกิดโทสะ จากนั้นเห็นเขาเดินออกมา พลันเวทีประลองสั่นะเื ก่อนจะวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิง โดยที่ไม่ออมมือแต่อย่างใด อาจกล่าวได้ว่าหากเย่เฟิงรับฝ่ามือนี้โดยไร้ซึ่งพลัง อาจถูกฝ่ามือนี้สังหารก็เป็ได้
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ มู่เยี่ยมสมกับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋นแห่งอาณาจักรจ้าว เพียงแต่กระบวนท่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตู๋กูหลงจะเทียบเคียงได้
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!” เย่เฟิงแผดเสียงะโพร้อมกับวาดฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งภูผาโจมตีก่อนจะเข้าปะทะกับฝ่ามือของมู่เยี่ยน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น มู่เยี่ยนยิ้มหยันและยังยืนอยู่ที่เดิม ส่วนเย่เฟิงถูกซัดกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว พอตั้งตัวได้ก็กระอักเืออกมา
“เย่เฟิง!” ฉินเยียนหรานเห็นฉากนี้ก็เผยสีหน้ากังวล ส่วนแววตาของหลาย ๆ คนในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างเผยประกายเย็นเยือกขณะมองมู่เยี่ยน
มู่เยี่ยนอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ แต่ลงมือกับเย่เฟิงที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 4 ทั้งยังได้รับาเ็จากการต่อสู้กับตู๋กูหลงในงานประลองที่เพิ่งจบลงไป ไม่ว่ามองด้านไหน การกระทำของมู่เยี่ยนก็ต่ำทรามเป็อย่างมาก
“มีพลังแค่นี้ คู่ควรแล้วหรือที่เป็อันดับหนึ่ง? ไม่สู้ให้ผู้แซ่มู่ทำความสะอาดสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้เล่า!”
มู่เยี่ยนมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน จากนั้นคิดจะลงมือโจมตีเย่เฟิงอีกครั้ง เพราะ้าฆ่าอีกฝ่าย แม้แต่อวิ๋นซื่อเทียนและเหล่าคนของสามกองกำลังต่างก็แสยะยิ้มและไม่คิดห้ามปรามมู่เยี่ยน
“พอได้แล้ว!” ขณะนั้นเสียงของฉินจวิ้นถิงดังขึ้น
มู่เยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย แม้เขาจะกำเริบเสิบสานอย่างไร แต่ก็มองออกว่าฉินจวิ้นถิงเกิดโทสะขึ้นมาแล้วจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงวางมือ มองเย่เฟิงด้วยสายตาเหยียดหยามแล้วกล่าวว่า “ก็แค่สวะที่ให้ผู้าุโคุ้มกะลาหัว แต่กลับคว้าอันดับที่ 1 ของงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้ เห็นทีสำนักยุทธ์เทียนเสวียนคงจะตกต่ำแล้ว!”
