“ไม่ได้ ไม่ได้เธอเป็แขกฉันจะเอาของจากเธอได้ยังไงกันไม่งั้นเดี๋ยวนายท่านจะดุเอา” อู๋มาพูดยิ้มๆ“จริงสิเธอรู้ได้ยังไงเหรอว่าฉันมีหลานชาย เวยเวยคงบอกเธอสินะ”
“อู๋มารับของนี่ไว้เถอะ จากนี้ไปไม่แน่ว่าผมอาจจะได้มาที่นี่อีกบ่อยๆ ก็ได้นะ”กัวไฮว่ไม่ได้อธิบาย เขายัดกวนอิมหยกไปในมือของอู๋มา “เอาให้หลานพกติดตัวไว้นะครับ ฮ่าๆ”
“อู๋มาทำไมถึงได้เสียงดังขนาดนี้ ยายหนูเวยเวยยังไม่มาอีกเหรอ” มีเสียงของผู้าุโดังลอยออกมาจากในห้องจากนั้นปรมาจารย์อวี้เฟิงก็เดินออกมา กัวไฮว่เคยเจอปรมาจารย์อวี้เฟิงแล้วครั้งหนึ่งที่หอประชุมโรงเรียนทว่าวันนี้ได้เจออีกครั้งก็ััได้ถึงไอแห่งความคุ้นเคยมาจากกายของปรมาจารย์อวี้เฟิง
“คุณปู่วันนี้หนูมาเพื่อนคนนึงมาพบท่านค่ะ แหะๆ” มู่หรงเวยเวยพูดยิ้มๆกับปรมาจารย์อวี้เฟิง
“อืม ฉันอยากดูหน่อยว่ายายหนูเวยเวยพาคนแบบไหนมาหาฉันถึงที่นี่” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ “ขนาดตอนนั้นเธอยังไม่ได้พาข่งเสวียนนั่นมาที่นี่เลย”
“นายท่านพูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ อันไหนไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด” อู๋มารีบเดินไปข้างๆ ปรมาจารย์อวี้เฟิงแล้วออกแรงดึงปรมาจารย์อวี้เฟิง
“พอแล้วอู๋มาถ้าแทงใจดำแค่นี้แล้วยายหนูเวยเวยยังทนไม่ได้งั้นฉันก็มองคนผิดไม่เหมาะจะเป็ศิษย์ฉันแล้วล่ะเธออย่ามาอยู่ตรงนี้เลยไปทำกับข้าวเถอะ หลายวันก่อนเด็กบ้านั่นเอาอาหารป่ามาให้เธอไปทำอาหารดีๆ มาสักหน่อยสิ” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ
“ผมกัวไฮว่เคยพบปรมาจารย์อวี้เฟิงมาแล้วครับ” กัวไฮว่ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“เหล้าที่เต๋อจื้อแบ่งให้เมื่อวานเป็ของเธอสินะ ยังมีอีกใช่ไหมวันนี้ฉันเลี้ยงข้าวเธอ งั้นเธอก็ต้องเอาเหล้ามาแบ่งฉันใช่ไหม” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ อย่างไม่วางอำนาจเลยแม้แต่น้อย “เื่ข้าวให้อู๋มาไปจัดการเถอะ ไปกันพวกเธอตามฉันไปห้องหนังสือเถอะเมื่อเช้าฉันเขียนอักษรมงคลไว้พวกเธอมาดูสิ”
“ผู้อดทนมีผล ผู้วุ่นวายไร้สำเร็จ ผู้แข็งแกร่งมีสุข ผู้แย่งชิงไร้เกษม”อักษรจีนขนาดใหญ่ทั้งสิบหกตัวดึงดูดสายตาคนอ่านเอาไว้
“ยายหนูอย่าเพิ่งสนใจอักษรมงคลนี่ เธอไปเขียนพู่กันหน่อยไปฉันจะดูว่าหนึ่งเดือนแล้วเธอจะมีพัฒนาการบ้างไหม” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ
“ท่านอาจารย์ระหว่างทางผมได้ไปเลือกซื้อพู่กัน หมึก กระดาษ แล้วก็ได้พู่กันดีๆมาด้ามหนึ่งโดยบังเอิญ ในเมื่อจะให้เวยเวยเขียนพู่กันผมให้เธอใช้พู่กันด้ามนี้ก่อนแล้วกัน” กัวไฮว่พูดพลางเอาพู่กันด้ามนั้นออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังตัวเขาเองเดินไปยังด้านหน้าแท่นหมึกแล้วเริ่มฝนหมึกให้มู่หรงเวยเวย
“มู่ชิงไป๋ใจกว้างนะครั้งนี้ ฮ่าๆ แต่พ่อหนุ่มบอกแล้วว่าพู่กันนี่จะให้ฉันก็อย่ามาเสียใจทีหลังนะ แล้วถ้าฉันจะให้อักษรมงคลแก่เธอก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร”
“พี่ไฮว่พี่ว่าฉันเขียนอักษรอะไรดี” มู่หรงเวยเวยรับพู่กันที่กัวไฮว่ส่งมาให้แล้วถามขึ้นเบาๆ
“ในใจอยากเขียนอะไรก็เขียนอักษรล้วนเกิดมาจากจิตใจในใจอย่าคิดเื่อื่นเพราะไม่งั้นไม่ว่าจะควบคุมมือยังไงก็จะเขียนออกไม่ได้ดีที่สุด”กัวไฮว่พูดขึ้นเบาๆ “ฝนหมึกเสร็จแล้วเริ่มเลยเถอะ”พูดจบกัวไฮว่ก็เดินไปด้านหลังมู่หรงเวยเวย
“รอแสนเนิ่นนานแต่เปลี่ยนใจเ้าว่ารักเปลี่ยนไปแล้ว” เดิมเป็สองวรรคในกลอนของน่าหลานซิ่งเต๋อ”[1]แต่มู่หรงเวยเวยแก้คำว่า “เปลี่ยนไปง่าย” เป็ “เปลี่ยนไปแล้ว” เมื่อเขียนเสร็จมู่หรงเวยเวยก็วางพู่กันแล้วเดินไปยังข้างๆปรมาจารย์อวี้เฟิง
“พ่อหนุ่มเธอก็ไปเขียนพู่กันให้พวกเราดูหน่อยสิ” ท่านปรมาจารย์ไม่ได้พูดมากมองไปยังกัวไฮว่แล้วรอปฏิกิริยาของเขา
“งั้นก็ต้องโชว์ความอัปลักษณ์สักหน่อยแล้ว” กัวไฮว่ก้าวไปข้างหน้าวางกระเป๋าเป้ที่หลังไว้บนพื้น ปลดกระดุม้าของเสื้อออกสองเม็ด แล้วค่อยๆ พับแขนเสื้อเดินไปยังอ่างล้างหน้าตรงประตู เขาค่อยๆ จุ่มมือลงไปล้างมือเบาๆ สองสามทีจากนั้นก็เช็ดให้สะอาด
“เข้าประตูความคะนึงรู้ทุกข์ความคะนึงความคะนึงอันนิรันดร์ความทรงจำอันนิรันดร์ ความคะนึงเพียงชั่วครู่แต่ไม่สิ้นสุด”ในขณะที่กัวไฮว่วางพู่กันลงปรมาจารย์อวี้เฟิงก็ปรบมือขึ้นมาเสียงดัง
“ดี ดี ดี ไม่คิดว่าแก่แล้วยังจะได้เห็นอักษรแบบนี้ ไม่เสียใจเลยจริงๆ ไม่เสียใจ”ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดเสียงดัง “หนานเจิ้นเป่ยเซวียนอะไรกันปรมาจารย์อวี้เฟิงอะไรกัน ไร้สาระทั้งนั้น พ่อหนุ่มให้ฉันคารวะหน่อยเถอะ” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดพลางโค้งคำนับกัวไฮว่
“ท่านอาจารย์อย่ารังแกเด็กสิ อาจารย์พูดถึงอักษรของเวยเวยหน่อยเถอะ”กัวไฮว่ก้าวไปข้างหน้าพยุงปรมาจารย์อวี้เฟิงแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“ดีงั้นพูดถึงอักษรของเวยเวยก่อนแล้วกัน” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ“ก่อนหน้านี้ฉันไม่อาจรับเธอเป็ศิษย์ได้เพราะว่าเธอยังไม่สามารถเอาตัวเองออกมาจากเื่ของข่งเสวียนได้ในเมื่อไม่ตัดสัมพันธ์ก็ไม่อาจเขียนอักษรได้แต่ตอนนี้ถ้าเธอยังอยากผูกวาสนาเป็ศิษย์อาจารย์กับฉันอยู่ ฉันก็ตกลง”
“เวยเวยยังไม่รีบไหว้อาจารย์อีก ติดตามอาจารย์เถอะอักษรของอาจารย์น่ะสมกับที่เป็ยอดฝีมือแห่งจีน” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“พ่อหนุ่มอย่ามารังแกคนแก่สิ ฉันมีเื่หนึ่งที่ยังไม่เข้าใจดูจากอายุเธอแล้วเนี่ย เธอเขียนอักษรออกมาได้สวยแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“คนทั่วไปรู้แค่ว่ากัวหลิวอี้มีหลานชายผู้ร่ำรวยคนหนึ่งไม่เรียนหนังสือหนังหามีพิษมีภัยแต่ไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้ร่ำรวยอายุสิบกว่าปีผู้นี้เช้ารู้คุณธรรมเย็นก็ตายได้ผมก็แค่เดินบนถนนอีกเส้นก็เท่านั้น” กัวไฮว่พูดเบาๆ
เมื่อได้ยินกัวไฮว่พูดจบดวงตามู่หรงเวยเวยก็พลันแดงก่ำจริงสิเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกคนหนึ่งต้องผ่านเื่ราวมามากมายขนาดไหนถึงได้เขียนออกอักษรออกมาได้สวยขนาดนี้และทำให้ปรมาจารย์ด้านวัฒนธรรมแห่งยุคโค้งคำนับให้ได้ผู้ชายที่ตนเลือกไม่ผิดแน่
ปรมาจารย์อวี้เฟิงผงกศีรษะเบาๆ แม้เขายังไม่อาจเชื่อแต่ไม่ว่าจะผ่านอะไรมากัวไฮว่ก็อายุเพิ่งเต็มสิบหก
“เหอะๆ ท่านอาจารย์เมื่อกี้ผมเห็นกระดานหมากที่ห้องรับแขกไม่งั้นก่อนกินข้าวเรามาเล่นกันไหมครับ”กัวไฮว่มองมู่หรงเวยเวยที่ดวงตาแดงก่ำมองปรมาจารย์อวี้เฟิงที่ราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจก็แอบคิดว่าคราวนี้เล่นใหญ่ไปนิด แต่ข้าจะไม่บอกพวกเ้าหรอกว่าข้าคือเทพแห่งจิตที่ถูกสรวง์เนรเทศมาสมัยราชวงศ์ถังข้ามีชีวิตอยู่ตั้งร้อยกว่าปีได้มั้ง
“พ่อหนุ่มเล่นหมากล้อมเป็ด้วยเหรอ” ปรมาจารย์อวี้เฟิงชะงักไปครูหนึ่งก่อนจะถามขึ้นด้วยความตกอกใ
“นิดหน่อยครับ แต่ว่าเห็นกระดานหมากที่ยังเล่นไม่เสร็จแล้วคันมือนิดหน่อย”กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“ไปเราไปที่ห้องรับแขกกันยายหนูครั้งนี้อาจารย์ขอบใจเธอมากนะดูท่าตอนนั้นที่เธอไปไม่พาข่งเสวียนมาน่ะถูกแล้วล่ะ ฮ่าๆ” ปรมาจารย์อี้เฟิงพูดยิ้มๆอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านอาจารย์ให้ผมเริ่มก่อนเถอะ ผมขอเอาเปรียบท่านหน่อยนึง” กัวไฮว่พูดพลางหยิบตัวหมากสีดำแล้วค่อยๆ วางไปบนกระดาน
เมื่อวางไปสามสิบหมากอวี้เฟิงเงยหน้าขึ้นมามองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความใถึงขั้นขีดสุดคิดอย่างไรคิดไม่ถึงที่แท้หมากดำก็สามารถจบเกมส์ที่ตนเองไม่สามารถจบมาตลอดได้
“ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว พ่อหนุ่มชนะ” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดเสียงดัง“พ่อหนุ่มอย่าเรียกฉันว่าอาจารย์เลยฉันแซ่เฉินชื่ออวี้ทงต้นตระกูลมาจากอวี้ซู่มณฑลชิงไห่ต่อไปเธอเรียกฉันว่าเหล่าเฉินก็ได้”
“ท่านอาจารย์ก็แซ่เฉิน?” กัวไฮว่ชะงักไปสุดท้ายก็รู้ว่าไอแห่งความคุ้นเคยตอนที่เดินเข้าประตูมานั้นมาจากไหนอวี้ซู่แซ่เฉินเด็กน้อยจากหมู่บ้านตระกูลเฉินที่ซุนหงอคงช่วยที่แม่น้ำทงเทียนก็แซ่เฉินไม่ใช่เทพแห่งจิตในเวลาต่อมาหรอกหรือ
[1] กวีในสมัยราชวงศ์ชิง