พวกโจรกระจอกเหล่านี้เพียงเห็นมู่อวิ๋นจิ่น แววตาพวกมันก็เป็ประกาย พลางนึกในใจ แม่นางผู้นี้งดงามราวกับนางฟ้านาง์ลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น...
ยิ่งคิดก็ยิ่งสุขีเหลือทน จู่ ๆ หัวหน้าโจรก็หัวเราะสองสามคำแล้วชี้ไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “วันนี้ถือว่าได้กำไรมากโขแล้ว เร็วเข้า รีบพาแม่นางคนนี้กลับไป”
“หัวหน้า แล้วนางคนนี้เล่า?” คนหนึ่งชี้ไปที่มู่หลิงจูซึ่งอิงรถม้าอยู่
ขณะนี้มู่หลิงจูไร้ซึ่งสีหน้าของความเกรงกลัวในทีแรกอย่างสิ้นเชิง เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นหันหลังให้นางแล้ว นางก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้หัวหน้าโจร
หัวหน้ากองโจรพยักหน้าไปทางนาง ทั้งสองได้ตกลงกันในทันที
“มีแม่นางคนนี้ที่งดงามถึงเพียงนี้แล้ว จะเอานางคนนั้นไปเพื่อสิ่งใด?” หัวหน้าโจรก้าวลงจากหลังม้าทันที ยิ้มอย่างแฝงเลศนัยและเดินไปทางมู่อวิ๋นจิ่น
“ทำเช่นไรดี ข้าแทบจะอดรนทนรอไม่ไหวที่จะทำอะไรเ้าเสียแล้วสิ!” หัวหน้ากองโจรเดินมาเบื้องหน้ามู่อวิ๋นจิ่น พลางค่อย ๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตน
อีกด้าน บรรดาลูกน้องโจรก็แสยะยิ้ม “ลูกพี่ รถม้านั่นไม่ได้มีเพื่ออำนวยความสะดวกลูกพี่หรอกงั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า พูดเยี่ยงนั้นก็ถูก!”
มู่อวิ๋นจิ่นฟังคำพูดที่หยาบคายเหล่านี้ ก่อนจะมองไปที่การแสดงออกที่เย้ยหยันของมู่หลิงจูกับหงเซี่ย จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็า
มีดพกในแขนเสื้อของนางเตรียมจะออกโรงได้ทุกเมื่อ มู่อวิ๋นจิ่นเอียงลำคอ ก่อนที่ดวงตาของนางจะฉายให้เห็นแววเจตนาฆ่าอย่างกระหายเื
‘ไม่ได้ลงมือมานานแค่ไหนแล้วนะ จะยังฝีมือดีอยู่เช่นเดิมหรือไม่’
“มา แม่นางน้อย ให้ข้าได้ทำให้เ้ารับรู้ว่าอะไรคือสรวง์ที่แท้จริงดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า” หัวหน้าโจรยื่นมือออกมาและกำลังจะคว้าไหล่ของมู่อวิ๋นจิ่น เมื่อเห็นดังนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็ยื่นมือออกมาเช่นกันก่อนจะคว้าข้อมือของหัวหน้าโจรไว้
หัวหน้าโจรรีบดึงมือกลับพลางเหลือบมองที่ข้อมือทันที เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดแปลก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าความเ็ปในตอนนี้เป็เพียงเื่บังเอิญเท่านั้น
จึงเอื้อมมือออกไปอีกครา...
มู่อวิ๋นจิ่นคิดว่าเสียเวลามากแล้ว และนางก็คร้านจะเล่นกับพวกโจรกระจอกเหล่านี้เต็มที มีดที่ซ่อนเอาไว้โผล่ออกมากว่าครึ่งเล่ม ขณะที่เตรียมจะลิ้มรสเืจากการฆ่าคน ทันใดนั้นที่ด้านข้างก็ปรากฏร่างชายชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า โผล่ขึ้นมาในความมืด กำลังลอยเหาะอยู่กลางอากาศพร้อมอาวุธที่ซ่อนอยู่ระหว่างนิ้วมือของเขา
หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากรอบทิศ พวกโจรที่เคยอวดเก่งวางมาดเมื่อครู่ก็ล้มลงกับพื้นทีละคน พร้อมกับร้องโอดครวญอย่างเ็ปรวดร้าว
ขณะที่มู่อวิ๋นจิ่นกำลังสงสัยว่าชายชุดดำมาจากแห่งหนไหน ก็ถูกชายผู้นั้นคว้าแขนและพาเหาะออกไปจากที่แห่งนั้นเสียแล้ว
ณ ที่เกิดเหตุ มู่หลิงจูมองตามร่างมู่อวิ๋นจิ่นที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ สลับกับมองดูผู้คนที่กำลังล้มกลิ้งและคร่ำครวญอยู่บนพื้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนนางแทบไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“ทำเยี่ยงไรต่อไปดีเ้าคะ คุณหนู?” หงเซี่ยไม่คาดคิดว่าจะเป็เช่นนี้ นางยืนอยู่ข้างมู่หลิงจูและเอ่ยถามออกไป
มู่หลิงจูเม้มริมฝีปากแน่น เหลือบมองหัวหน้าโจรที่นอนกองอยู่บนพื้น ก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจว่า “เฉาผาน นำพวกเขาออกไปก่อน และอย่าทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เป็อันขาด”
“รับทราบขอรับ คุณหนูสี่”
…
มู่อวิ๋นจิ่นถูกชายชุดดำพาไปยังลำธารเล็ก ๆ ขณะที่นางกำลังจะถามเกี่ยวกับที่มาของชายชุดดำ นางก็เห็นร่างในชุดสีขาวงดงามราวกับหยกขาวยืนอยู่ข้างลำธาร
ร่างนั้นเผยให้เห็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกถึงความเ็าและความสันโดษที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา
นางชะงักนิ่ง ยืนห่างจากร่างนั้นกว่าหนึ่งเมตร ก่อนจะเอามือแตะจมูก “ฉู่...องค์ชาย...หก บังเอิญเสียจริง ที่หม่อมฉันได้พบกับองค์ชาย”
ฉู่ลี่หลุบสายตาไปด้านข้าง ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น ดวงตาของเขาก็ช่างยากจะหยั่งรู้ได้ และคำว่า “อืม”ก็ถูกตอบกลับไปยังมู่อวิ๋นจิ่นแบบเรียบนิ่งเช่นเคย
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนจะเปลี่ยนมามุ่งความสนใจไปที่ชายชุดดำแทน เมื่อชายชุดดำถอดหน้ากากออก ก็พบว่าเป็ติงเสี่ยนนั่นเอง
จากนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็คลี่ยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงเลยนะว่า ฝีมือของเ้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ข้าขอคารวะ!”
เพราะเติบโตขึ้นมาในองค์กรต่อต้านการก่อการร้าย ฉะนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงมีความรู้สึกชื่นชมคนที่คล่องแคล่วว่องไวและเก่งกาจอยู่เสมอ
ติงเสี่ยนสำลัก รู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมแล้วพูดว่า “คุณหนูสามชมเกินไปแล้ว ฝีมือของข้าเมื่อเทียบกับฝ่าาแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นนัก”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปมองทางฉู่ลี่ ก่อนจะมองกลับมาที่ติงเสี่ยน กระตุกมุมปากเล็กน้อยและพูดว่า “จริงสิ เหตุใดเ้าถึงช่วยข้ามาเพียงคนเดียว น้องสาวของข้ายังอยู่ที่นั่นนะ!”
“เอ่อ? ฝ่าาให้ข้าช่วยท่านมาแค่เพียงคนเดียว...” ติงเสี่ยนลูบศีรษะตัวเอง พร้อมกับสายตาที่ส่งมาจากฉู่ลี่ เพื่อให้เขาปิดปากเงียบ
“ยอดเยี่ยมมาก!” มู่อวิ๋นจิ่นยกนิ้วโป้งให้ติงเสี่ยน
โจรเ่าั้เป็โจรที่มู่หลิงจูว่าจ้างมา ทิ้งนางเอาไว้ที่นั่นก็คงมิเป็อันตราย หากต้องช่วยเหลือนางด้วยจะเปลืองแรงเสียเปล่า
ติงเสี่ยนมองดูสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมา าขนาดย่อมในจวนแห่งนี้ช่างรุนแรงเสียจริง
คุยกับติงเสี่ยนไปไม่กี่คำ มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้ยินฉู่ลี่พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย และตัวนางเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ทว่าเมื่อมองไปรอบทิศดูแล้ว กลับพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก ความรู้สึกมืดแปดด้านก็เริ่มก่อตัวขึ้น
“คุณหนูสาม ที่นี่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองค่อนข้างมาก หากเดินทางกลับในตอนนี้ เกรงว่าถึงที่หมายฟ้าคงจะมืดเสียแล้วกระมัง” ติงเสี่ยนคาดเดาความคิดของมู่อวิ๋นจิ่นออก จึงกล่าวออกมาอย่างเรียบนิ่ง จากนั้นจึงเหลือบมององค์ชายของตนอีกครา
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังก็พลันขมวดคิ้วยุ่ง ในใจก็ก่นด่ามู่หลิงจูที่เลือกสถานที่ได้แย่มาก
“ค่ำเสียหน่อยจะมีคนมารับฝ่าา คุณหนูสามพักผ่อนสักครู่เถอะขอรับ สักประเดี๋ยวค่อยกลับเข้าเมืองพร้อมฝ่าาขอรับ” ติงเสี่ยนกล่าว
มู่อวิ๋นจิ่นย่นริมฝีปากเล็กน้อยพลางพยักหน้า ก่อนจะเดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ทิ้งตัวนั่งลงไป เอนพิงเข้ากับลำต้นของต้นไม้และปิดเปลือกตาลง
ขณะที่อีกคนหลับตาลงแล้ว ฉู่ลี่ก็เลื่อนสายตามองตามไป ดวงตาเรียวคมของเขาหรี่ลงเล็กน้อย จดจ้องที่มู่อวิ๋นจิ่น อย่างเงียบ ๆ
นางช่างใช้ชีวิตราวกับไม่มีเื่อันใดให้คิดเสียเลย
ติงเสี่ยนมองที่องค์ชายของตน อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาเสียงแ่เบา “ฝ่าา จี้หยกของคุณหนูสามยังอยู่กับเรา ต้องหาโอกาสบอกกับนางหรือไม่ขอรับ”
พูดถึงจี้หยก ฉู่ลี่ก็พลันขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย บ่งบอกถึงความกังวลใจ ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
ที่ผ่านมาไม่เคยมีความรู้สึกอยากนำของคนอื่น มาไว้กับตนเองเลยสักครา
ทว่าจี้หยกนี้...
ติงเสี่ยนมองด้วยความรู้สึกสลดใจเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่น ซึ่งนั่งอยู่ใต้เงาต้นไม้ใหญ่ทางด้านข้าง
…
มู่อวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด เพียงถูกปลุกให้ตื่นขึ้น พลันเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็พบว่าผ่าน่เวลาบ่ายคล้อยไปเสียแล้ว
“ต้องกลับกันแล้วหรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นยืนพลางมองไปที่ติงเสี่ยนที่ปลุกนางเมื่อครู่ ก่อนจะมองไปที่รถม้าที่มาถึงเมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้
ติงเสี่ยนพยักหน้า “ขอรับ เชิญขึ้นรถเถอะขอรับคุณหนูสาม”
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นเดินไปยังรถม้าเบื้องหน้า ติงเสี่ยนเห็นดังนั้นก็เดินตามหลังมา ด้วย้าจะช่วยพยุงนางขึ้นไปยังรถม้า แต่กลับเห็นมู่อวิ๋นจิ่นะโขึ้นเข้าไปอยู่ด้านในรถม้าได้อย่างง่ายดาย
ติงเสี่ยนยังคงยืนอยู่ที่เดิม พลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
มู่อวิ๋นจิ่นเมื่อเข้ามาในรถม้า ก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่อึมครึมเล็กน้อย นางเหลือบมองไปที่ฉู่ลี่ซึ่งนั่งรออยู่ด้านในก่อนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นหน้าบูดบึ้งในทันที จากนั้นก็คิดว่าการเดินทางกลับครานี้ ต้องเป็เื่ที่ทรมานมากอย่างแน่นอน
นางจึงกระตุกยิ้มที่มุมปาก ค่อย ๆ คลี่ยิ้มให้ฉู่ลี่ จากนั้นเอนตัวพิงรถม้า หลับตาลงอีกครั้ง และเริ่มผล็อยหลับไป
“ในหอชมอักษร หญิงสวมผ้าปิดบังใบหน้าที่นั่งถัดจากข้าไป เป็เ้าใช่หรือไม่?”
จู่ ๆ เสียงของฉู่ลี่ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในรถม้า ริมฝีบางเล็กของเขาขยับเล็กน้อย สายตาที่ฉายแววออกมาดูเหมือนไม่สนใจ
มู่อวิ๋นจิ่นซึ่งนั่งอิงพนักพิงรถม้าใเล็กน้อย จากนั้นลืมตาขึ้น ยอมรับอย่างไม่คิดจะแก้ตัวพลางคลี่ยิ้ม “องค์ชายหกช่างหลักแหลมนัก ข้าไม่สามารถปิดบังท่านได้เลยจริง ๆ”
เมื่อคราวที่นางเข้าไปในวังในฐานะคุณหนูสามแห่งสกุลมู่ ฉู่ลี่ก็รู้อยู่แล้วว่านางคือหญิงสาวในหอชมอักษรวันนั้น
หลังจากครุ่นคิด มู่อวิ๋นจิ่นก็ยื่นมือออกมาลูบต้นคอ ขดยู่ริมฝีปากพลางสาปแช่งในใจ เหตุใดถึงแสร้งแกล้งทำเช่นนั้นกับนางด้วย!
“มิใช่ว่าข้าเก่งอาจอันใดหรอก เพียงแต่ข้านั้นบังเอิญหยิบสิ่งของชิ้นนี้ได้” ฉู่ลี่กล่าว ก่อนจะนำจี้หยกขาวพระจันทร์ออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางไว้บนฝ่ามือ
เมื่อเห็นจี้หยก ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นก็กระตุบวาววับ นางอุทานทันที “ข้าตามหามันมาพักใหญ่แล้ว ที่แท้ท่านก็เก็บเอาไว้นี่เอง”
ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบจี้หยก ฉู่ลี่ก็พับฝ่ามือของเขาและถือจี้หยกนั้นเอาไว้ตามเดิม
“หือ?” มู่อวิ๋นจิ่นไม่เข้าใจว่าฉู่ลี่้าสิ่งใด
“เสนอราคาจี้หยกนี้มา ข้า้าซื้อ” ความเยือกเย็นฉายสะท้อนผ่านดวงตาของฉู่ลี่ เสียงของเขาราบเรียบพลางจ้องมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นงุนงงเล็กน้อยกับความ้าของฉู่ลี่ แม้ว่านางจะรู้มาจากจื่อเซียงว่า จี้หยกนี้มีราคามากกว่าหมื่นตำลึง ทว่าฉู่ลี่นั้นเป็ถึงองค์ชายหกและไม่เคยเห็นอะไรที่จะยากเกินความ้าของเขามาก่อน เหตุใดเขาถึง้าจี้หยกของนาง?
มิหนำซ้ำจี้หยกชิ้นนี้กลับมีชื่อของนางสลักอยู่ด้วย
“ถ้าข้าปฏิเสธเล่า?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วพลางกระตุกยิ้ม
เมื่อฉู่ลี่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าที่แต่เดิมดูอ่อนโยนเล็กน้อยกลับกลายเป็หม่นลง สีหน้าที่แสดงออกไม่สามารถบ่งบอกความรู้สึกได้ บรรยากาศในรถม้าก็กลายเป็อึมครึมจนเย็นะเืในทันใด
“เอ่อ ข้าแค่พูดเล่น ทำตัวราวกับเป็เด็กไปได้ นึกจะโกรธก็โกรธเสียอย่างนั้น” มู่อวิ๋นจิ่นพูดขึ้นอย่างทันควัน กระตุกยิ้มแฝงเลศนัยให้ฉู่ลี่
จากนั้นนางก็ชูนิ้วสามนิ้วออกมาตรงหน้าของฉู่ลี่ “สามหมื่นตำลึง ห้ามขาดแม้สักตำลึงเดียว”
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ นางก็คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ
จื่อเซียงได้กล่าวว่าจี้หยกนี้มีมูลค่ากว่าหมื่นตำลึง ดังนั้นนางจึงขึ้นราคาเสียหน่อย ไม่มากจนเกินไปกระมัง!
นอกจากนี้ จี้หยกนั่นไม่มีประโยชน์สำหรับนางเลย เป็การดีกว่าที่จะใช้โอกาสในการขายมันในราคาที่คุ้มค่า และใช้มันเพื่อรับประกันชีวิตความเป็อยู่ จากนี้จนตลอดไปของนาง!
เมื่อคิดได้อย่างนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกว่านางช่างหลักแหลมเสียจริง!
“ตกลง” ฉู่ลี่ตกลงอย่างง่ายดาย แล้วกระตุกยิ้มอย่างเฉยเมย “สามวันให้หลัง ข้าจะส่งมอบสามหมื่นตำลึงทองให้กับเ้าตรงเวลา”
สีหน้าท่าทางราวกับดีใจนักหนาของฉู่ลี ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นลังเล จนนางอดสงสัยไม่ได้ “เหตุใดถึงได้ผูกจิตใจกับจี้หยกนี้นัก?”
“เ้าไม่จำเป็ต้องรู้” ใบหน้าของฉู่ลี่นั้นดูไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย ก่อนเขาจะเบือนหน้าหนีจนมู่อวิ๋นจิ่นไม่สามารถมองสีหน้าเพื่อรับรู้อารมณ์ของเขา ณ เวลานี้ได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น นางก็คร้านจะยุ่งกับฉู่ลี่และจี้หยกนี้อีกต่อไป จึงริเริ่มครุ่นคิดบทเรียนที่จะมอบให้กับมู่หลิงจูหลังจากกลับไปยังจวน
นางยึดมั่นมาเสมอว่าหากไม่ร้ายมา นางก็จะไม่ร้ายกลับ แต่ตอนนี้มู่หลิงจูกลับจ้องจะทำร้ายนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะต้องแก้แค้นให้ได้รับบทเรียนที่สาสม!
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน สายตาของมู่อวิ๋นจิ่นก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ฉู่ลี่อีกครา คิ้วเรียวยกเลิกขึ้นเล็กน้อย แผนการบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
‘ตีงูต้องตีให้โดนจุดอ่อน แล้วจุดอ่อนของมู่หลิงจูก็คือฉู่ลี่มิใช่หรือ?’
“องค์ชายหก วันนี้ท่านได้ช่วยอวิ๋นจิ่นเอาไว้ อวิ๋นจิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน เพื่อแสดงความจริงใจต่อท่าน ท่านไม่แวะไปที่จวนเสียหน่อยหรือเพคะ?”
เมื่อฉู่ลี่ได้ยินเสียงของมู่อวิ๋นจิ่น ดวงตาที่ยากจะมองออกของเขาพลันจับจ้องไปที่นาง หลังจากนั้นครู่หนึ่งความคิดก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ ฉู่ลี่ก็พูดเสียงเรียบนิ่ง “ติงเสี่ยน ไปยังจวนเสนาบดีมู่”
เห็นว่าฉู่ลี่ยอมรับคำเชื้อเชิญ มู่อวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะฉงนใจเื่ฉู่ลี่กับจี้หยกนั่นอีกครา ฉู่ลี่อาจจะเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ จึงได้ตอบรับคำเชื้อเชิญของนางเช่นนี้
ดูเหมือนว่า องค์ชายหกจะมิได้เป็อย่างที่ใคร ๆ เล่าลือกันสินะ