มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่เอนตัวเข้ามาใกล้นางอีกครั้ง ความมั่นคงในหัวใจของนางที่ดื้อรั้นและไม่ยอมรับฟัง เพียงพริบตามันก็แตกสลายลง ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
เป็เพราะจู่ๆ ในยามนี้นางก็นึกภาพที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาได้ ทำให้เกิดความตระหนกจนตัวสั่นอย่างรุนแรง ทั้งยังกลัวจนหัวใจเต้นไม่เป็จังหวะ
มู่จื่อหลิงค่อยๆ ตบมือใหญ่ที่ยังคงบีบคางของนางไว้โดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงยกมือขึ้นมากุมคอที่มีอาการเจ็บอยู่เอาไว้
ในยามนั้น ราวกับว่ากำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง น้ำตาของมู่จื่อหลิงยังคงรินไหล ปากของนางเอื้อนเอ่ยออกมาโดยไม่ตั้งใจ พูดย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เ้า...เ้าอย่าเข้ามา ข้าจำได้ไม่ลืม จำได้ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจำได้ จำได้ทั้งหมดจริงๆ”
หลังจากที่พูดจบ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง จนอยากจะตบปากตนเองแรงๆ และด่าตนเองว่าช่างเหลาะแหละยิ่งนัก สิ่งที่พูดออกไปนั้นฟังแล้วไม่เข้าท่าเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าเป็นางเองที่ควรโกรธ ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าผู้ที่ควรไม่พอใจก็คือนาง แล้วเหตุใดจู่ๆ สถานการณ์มันจึงกลับกลายเป็เช่นนี้ นี่มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ?
แต่เป็เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?
จากสถานการณ์ในยามนี้ เมื่อเผชิญกับทรราชที่มีเพียงความไม่แน่นอนที่ทั้งโหดร้ายและเผด็จการ นางยังกล้าโต้ตอบอีกหรือ ได้แต่ทำใจและโทษตนเองที่เร็วไม่พอ
อำนาจของฉีอ๋องถูกท้าทาย ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้อย่างในยามนี้ หากนางยังกล้าพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยิน ผู้ชายคนนี้จะบีบคอนางจริงๆ เป็แน่
นางไม่กลัวตาย แต่กลัวที่จะต้องถูกทรมานจนตายอย่างช้าๆ ความรู้สึกเช่นนั้นจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่อาจอยู่ต่อไปได้ แต่ก็ไม่อาจตายได้เช่นกัน มันแย่มาก เลวร้ายที่สุด!
ดังนั้นนางที่ยึดมั่นในหลักการป้องกันตนเองมาโดยตลอด ในยามนี้นางจึงทำได้เพียงยอมถอยให้สักก้าวเท่านั้น
มู่จื่อหลิงเตือนตนเองอย่างเงียบๆ ในใจว่า ก็แค่ในยามนี้เท่านั้น นางเพียงถอยให้แค่ก้าวเดียว และความตั้งใจและหลักการเดิมยังคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อหลงเซี่ยวอวี่ได้ยินเช่นนี้ การเคลื่อนไหวกายเข้ามาหานางของเขาก็ดูเฉื่อยชาไปชั่วขณะ หลังจากตกตะลึงไป ก็ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อเห็นท่าทางที่น่ารักและโง่เขลาของมู่จื่อหลิง สีหน้าของเขาก็ดูแปลกไปในทันที
โดยรวมแล้ว อารมณ์ของเขาดีขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก และเขาก็ยิ่งขยับเข้าไปใกล้มู่จื่อหลิง
“ข้าจำได้ดีจริงๆ นะ ไม่ต้องมาพูดเื่ไร้สาระ อย่าเข้ามา” มู่จื่อหลิงเกือบจะยกมือขึ้นเพื่อสาบาน ทั้งยังถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยพยายามหลีกเลี่ยงให้ไกล
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มู่จื่อหลิงก้าวถอยหลังไป หลงเซี่ยวอวี่ก็ก้าวตามมา ย่างก้าวของหลงเซี่ยวอวี่ก้าวใหญ่เพียงหนึ่งก้าวก็พอๆ กับการก้าวเดินของนางสองสามก้าวแล้ว และเมื่อส้นเท้าของเธอเหยียบเข้ากับบันไดจนเกือบจะล้มลง แขนที่เรียวยาวและแข็งแรงก็เข้ามาดึงตัวนางเข้าไปในอ้อมแขนของตนเบาๆ ด้วยการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน แต่กลับมีอำนาจที่ไม่อาจต้านทานได้
เขาเหลือบตามองไปยังหญิงสาวที่กำลังหลับตาแน่นอยู่ในอ้อมแขนของตนอย่างขบขัน และถามด้วยน้ำเสียงที่แ่เบา “โอ้ ช่างจำได้ดีเสียจริง มู่มู่จำสิ่งใดได้บ้างเล่า?”
น้ำเสียงของเขาทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน เหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่อ่อนนุ่มราวกับเส้นไหม และน่ารื่นรมย์เป็อย่างยิ่ง
แต่ผู้ใดจะรู้ว่ามู่จื่อหลิงซึ่งเพิ่งประสบกับพายุ เมื่อได้ยินเสียงที่แ่เบาและละมุนละม่อมเช่นนี้ของหลงเซี่ยวอวี่ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ซีดลง ราวกับโดนสายฟ้าฟาดใส่ [1]
มู่จื่อหลิงอยู่ในอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่อย่างประหม่า ไม่กล้าที่จะต่อสู้ ทั้งยังไม่กล้าขัดขืนและไม่กล้าขยับ เนื่องจากเกรงว่าหากพูดผิดไปสักคำจะทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก
นางไม่รู้สึกเลยว่า น้ำเสียงที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้ใจเต้นแรงนี้จะน่าฟัง
ไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างระหว่างพายุรุนแรงกับละอองฝนที่ตกปรอยๆ พูดง่ายๆ ก็คือ ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่นางได้ยินหลงเซี่ยวอวี่พูดกับตนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับน้ำ การเปรียบเทียบความต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและเื่ราวตอนนี้มันต่างกันเกินไป ราวกับเป็คนละคนกัน
อันที่จริง...แม้กระทั่งการเรียกนามก็เปลี่ยนไปแล้ว?
น้ำเสียงนี้ราวกับว่านางกำลังได้ยินเสียงของอสูรจากนรก มันทั้งเย็นเยือกและเ็ามาจากภายในสู่ภายนอก ทำให้คนรู้สึกขนลุก
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงรู้สึกได้เพียงว่าตัวเองกำลังสั่นด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก...
ผู้ชายคนนี้...ช่างน่ากลัวจริงๆ!
เขาเป็คนอารมณ์ร้าย ไม่แน่นอน เ้าอารมณ์ เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสือ ทั้งยังยากจะคาดเดา!
เขาที่เป็เช่นนี้ น่ากลัวยิ่งกว่าในยามโกรธเสียอีกนะ?
นางอยากให้เขาโกรธนางอีกครั้ง เฉยชาและไม่สนใจ นางอยากให้เขาจ้องมองตนด้วยดวงตาที่เ็า ไม่้าที่จะได้ยินเสียงที่นุ่มนวลเช่นนี้
เสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนนี้ เหมือนเป็การเตือนความจำว่าเขาอยากจะผลักนางเข้าไปในขุมนรกที่ไร้ซึ่งหนทางรอดที่ไม่มีที่สิ้นสุดอีกครั้ง ราวกับจะส่งนางไปให้กับเทพเ้าแห่งความตาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะฟื้นคืนจากความตื่นตระหนก
“หืม? จำอะไรได้บ้าง?” หลงเซี่ยวอวี่ลากเสียงขึ้นจมูกเบาๆ มันดูร้อนแรงสุดจะพรรณนา
ก่อนที่เขาจะพูดจบ การเคลื่อนไหวของเขานั้นทั้งละเอียดอ่อนและอ่อนโยน หลีกเลี่ยงแขนที่าเ็ของนาง โอบอุ้มหญิงสาวไว้ด้วยลำแขนทั้งสองข้าง [2] อุ้มมู่จื่อหลิงขึ้นมาอย่างมั่นคง แล้วเดินไปที่ตำหนักอวี่หาน
หัวใจของมู่จื่อหลิงตื่นตระหนก สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที ร่างกายของนางแข็งทื่อ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกเย็นเยียบเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง
นางจ้องมองหลงเซี่ยวอวี่อย่างระมัดระวัง และพูดออกมาอย่างต่อเนื่องว่า “ข้าจำได้ทุกคำและทุกประโยคที่ท่านขอให้ข้าจดจำไว้ก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจน...” ส่วนเื่เ่าั้ที่ได้สูญเสียไป การแสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะนางนั้น นางไม่อยากจำมันแม้แต่น้อย
คำพูดของมู่จื่อหลิงนั้นเร็วมากจนเหมือนกับว่านางได้ฉีดเืไก่ [3] ไม่มีการลังเลเลยสักนิด ทั้งยังไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย
เมื่อครู่ยังกล้าแสดงเขี้ยวเล็บของตนต่อหน้าเขา แสดงความดื้อรั้นต่อเขาราวกับเม่นที่พองขน ทำให้คนไม่อาจจับต้อง ในยามนี้รู้จักเกรงกลัวแล้วหรือ?
รู้สึกถึงความหวาดกลัวของหญิงสาวในอ้อมแขนของตนได้อย่างชัดเจน มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่กระตุกขึ้นเล็กน้อย ทำให้เกิดเป็เส้นโค้งที่งดงามน่ามอง
เห็นเพียงหน้าเขาที่แสร้งทำเป็จริงจัง สูดอากาศเข้าไปเบาๆ แล้วถามขณะเดินไปว่า “ที่กล่าวว่าจำได้ทั้งหมดนั้น จำไว้ที่ใด?”
หัวใจของมู่จื่อหลิงรู้สึกอึดอัดมากราวกับนางกำลังจะตาย แต่ตนอยู่ใต้ชายคาเรือนของผู้อื่นจึงจำเป็ต้องยอมก้มหัว นางชี้ไปที่ศีรษะของตนเองด้วยท่าทางไม่พอใจ “จำไว้ตรงนี้”
เมื่อเข้าไปในตำหนักอวี่หานแล้ว หลงเซี่ยวอวี่ก็วางมู่จื่อหลิงลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล
เขามองลงมาที่นางอย่างประชดประชัน แล้วถามอย่างไม่มีความเมตตาว่า “ยังมีอีกไม่ใช่หรือ?”
ยังมีอีกหรือ? นางมีหนึ่งสมอง! นอกจากสมองแล้ว ยังต้องจดจำไว้ที่ใดอีกเล่า?
มู่จื่อหลิงมองไปทางเขาอย่างว่างเปล่า ม่านตาสีดำคู่หนึ่งกะพริบตาไปมา มีตัวอักษรใหญ่ๆ สี่ตัวเขียนไว้บนใบหน้าอย่างชัดเจน ‘มีที่ใดอีก?’
เหมือนจะมองออกว่ามู่จื่อหลิงกำลังสับสน หลงเซี่ยวอวี่คว้าคางที่เรียบเนียนของนางเอาไว้ แล้วจ้องเข้าไปยังดวงตาที่ใสดุจอัญมณีของนางอย่างจริงจัง
น้ำเสียงที่ไพเราะของเขานั้นทั้งช้าและหนักแน่น เอ่ยเตือนออกมาทีละคำอย่างแข็งแกร่งว่า “ไม่เพียงแต่ต้องจารึกไว้ในสมองของเ้าเท่านั้น แต่ยังต้องให้เปิ่นหวางได้เข้าไปประทับตราตรึงอยู่ในใจของเ้าอย่างลึกซึ้ง ทุกถ้อยคำ ตลอดกาล...จดจำด้วยหัวใจ”
แค่จดจำไว้ในสมองก็เพียงพอแล้ว แต่ยังต้องประทับตราตรึงอยู่ในใจอย่างลึกซึ้งอีกหรือ?
ชิ! เขาบอกให้นางสลักลงไป นางก็ต้องสลัก! ไม่มีทาง
เขายืนกรานที่จะหากระดูกในไข่ไก่ [4] ทั้งยังวางแผนไว้เป็ขั้นเป็ตอน ชายผู้นี้ช่างใส่ใจในรายละเอียด จนอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเพ้อเจ้อ
มู่จื่อหลิงบ่นในใจอย่างเงียบๆ แสดงถึงความรังเกียจ แต่ปากกลับไม่กล้าเอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว
ตลอดกาล...ตราตรึงอยู่ในใจของนางหรือ? ตลอดกาล... เมื่อพิจารณาตามนี้แล้ว หัวใจของมู่จื่อหลิงก็เต้นรัว พร้อมทั้งส่ายหัวและไม่กล้าคิดต่อ
เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงลังเล หลงเซี่ยวอวี่ก็เอนตัวลงมา ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขาจ้องมองนางอย่างอันตรายจากระยะใกล้ “ได้ยินหรือไม่?”
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าของตน หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที แล้วจึงพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าว “ได้ยิน ได้ยินแล้ว”
ชายผู้นี้มีกลอุบาย มีเล่ห์เหลี่ยม มีฝีมือ ทั้งยังมีกองกำลังอันทรงพลัง ด้วยต้นทุนที่แข็งแกร่งและข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใคร ในใจของมู่จื่อหลิงได้จดจำตัวตนของเขาไว้อย่างเงียบๆ
ต่อหน้าผู้มากอำนาจผู้นี้ ดูเหมือนทุกคนจะเป็เพียงปลาตัวเล็กที่ไม่อาจกระดุกกระดิกได้
แม้ว่านางจะโผล่ขึ้นมาอย่างใจกล้า แต่ในที่สุดนางก็จะถูกเขาจับกิน เหมือนกับที่นางเป็อยู่ในยามนี้ เพียงแค่คิดก็พูดได้ว่าทำให้หายใจลำบากแล้ว
หลังจากนั้น หลงเซี่ยวอวี่ก็หายใจเข้าใกล้กับหูของมู่จื่อหลิงอีกครั้ง ก่อนจะหายใจออกด้วยลมหายใจที่ทั้งร้อนและอันตราย แล้วพูดช้าๆ ว่า “จำบทเรียนในครั้งนี้ไว้ หากเ้ากล้าที่จะพูดอะไรอีกในวันหน้า…เปิ่นหวางจะไม่ใจดีปล่อยเ้าไปอีก”
คำพูดใน่แรกฟังดูดี แต่คำพูดใน่หลัง...มู่จื่อหลิงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในใจทันที ไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลาย
อะไรที่เรียกว่าใจดีกับนาง? เห็นได้ชัดว่าเขาหลอกลวงผู้คนก่อน!
ถ้าเขาไม่เหน็บแนมนาง จำเป็ที่จะต้องพ่นลมใส่หรือไม่? ถุยๆ เหน็บแนมก็เหน็บแนมไปแล้ว ยังไม่อยากให้นางตาย ปล่อยมันไปก็พอแล้ว ยังต้องพ่นลมอีกหรือ? ช่างตรงไปตรงมา!
ชายใจดำผู้นี้ พูดแต่สิ่งดีๆ ที่ตนได้ประโยชน์
คำพูดไม่สามารถอธิบายอารมณ์ในยามนี้ของมู่จื่อหลิงได้ แต่คำว่า ‘โกรธเป็ฟืนเป็ไฟ’ พอที่จะนำมาใช้ได้
โกรธจัดแต่ไม่กล้าปลดปล่อยออกมา ทำได้เพียงอดทนไว้ แต่ มันอึดอัดจริงๆ ที่ต้องอดกลั้น แต่ถ้าไม่รั้งไว้...ก็จะต้องทนทุกข์ เช่นนั้นมันจะยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น!
ทางด้านหลงเซี่ยวอวี่ เขาคุ้นเคยกับการค้นหาล่วมยาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งมู่จื่อหลิงซ่อนมันไว้เป็อย่างดี และในขณะที่นางยังคงหายใจอย่างยากลำบาก เขาก็จับมือเล็กๆ ของนางขึ้นมาอย่างราบรื่น แล้วจับนิ้วโป้งของนางออกมาเพื่อ ‘กด’ มันลงไป
เมื่อได้ยินเสียงดัง ‘แกรก’ ล่วมยาก็ถูกเปิดออก
มู่จื่อหลิงหันตามเสียงนี้แล้วสติของนางก็ฟื้นคืนกลับมา มองดูล่วมยาที่เปิดอยู่ ดวงตาของนางเบิกกว้างและปากของนางก็อ้าออกเป็รูปตัว ‘O’ อย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อครู่หลงเซี่ยวอวี่จับมือนาง แล้วกดลายนิ้วมือของนางลงไป จากนั้น...ล่วมยาก็เปิดออกแล้ว?
ไม่ถูก ชายผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าล่วมยาของนางอยู่ตรงไหน? ไม่ ไม่ เขารู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องกดลายนิ้วมือของนางลงไปเพื่อเปิดมัน?
ไม่ ในยามนี้ล่วมยาถูกเปิดออกแล้ว มันเป็เพียงล่วมยาเล็กๆ เท่านั้น แต่นางกลับใส่สิ่งของมากมายไว้ในนั้น ไม่ใช่หรือ...
มู่จื่อหลิงกลับมารู้สึกตัวราวกับมีสายฟ้าแล่นเข้าสู่ร่าง และอยากยกมือห้าม
แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำของนางมันสายเกินไปแล้ว หลงเซี่ยวอวี่ได้เปิดล่วมยาออกอย่างสมบูรณ์ และนำผ้าพันแผลและยาจิน่ [5] ออกมา
ทุกอย่างเป็ไปตามธรรมชาติ ราวกับไม่สนใจความแปลกประหลาดของล่วมยาและปริมาณสิ่งของที่อยู่ภายในนั้น
“ท่าน…” ดวงตาของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความใ นางชี้ไปที่หลงเซี่ยวอวี่ด้วยนิ้วมือที่สั่นเทา มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่นางไม่รู้ว่าควรถามอย่างไร
นางสับสนไปหมดแล้ว ในยามนี้ นางรู้สึกว่าตนกำลังจะได้ไปพบกับเทพเซียนแล้ว มันแปลกมากใช่หรือไม่? หลงเซี่ยวอวี่เป็คนในยุคนี้หรือไม่? เหตุใดเขาจึงรู้วิธีการเปิดล่วมยาของนางได้?
หลงเซี่ยวอวี่เมินเฉยต่อความใและความสงสัยของมู่จื่อหลิง เขานั่งข้างนางอย่างเป็ธรรมชาติ ช่วยจัดการกับาแบนแขนของนางให้อย่างระมัดระวัง
เขาจะไม่บอกหญิงผู้นี้ว่า ั้แ่วันแรกที่นางช่วยถอนพิษให้กุ่ยหยิ่ง เขาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของล่วมยานี้แล้ว
ทั้งยังเคยลอบหยิบล่วมยาเพื่อนำมาตรวจสอบอยู่พักใหญ่ และในที่สุดก็สรุปได้ว่า ไม่มีผู้ใดในใต้หล้านี้ที่สามารถเปิดมันได้นอกจากนาง
มู่จื่อหลิงเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่มีฝีมือมาก ทั้งยังช่วยจัดการกับาแของนางให้อย่างระมัดระวัง จึงเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ขึ้นมาในใจ
สุดท้ายนางก็หลับตาลงอย่างเงียบๆ ไม่อยากมองอีกต่อไปแล้ว ทั้งยังไม่อยากคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป
ใครจะรู้......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สายฟ้าฟาดใส่ (晴天霹雳) แปลตรงตัวว่าฟ้าผ่าตอนกลางวัน เป็สำนวนที่มีความหมายว่า มีเื่ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจนทำให้ใเป็อย่างมาก
[2] โอบอุ้มหญิงสาวไว้ด้วยลำแขนทั้งสองข้าง (公主抱) คือการอุ้มในท่าเ้าหญิง
[3] ฉีดเืไก่ (打鸡血) หมายความว่าคึกคักหรือตื่นเต้นมาก
[4] กระดูกในไข่ไก่ (鸡蛋里挑骨头) เป็สำนวน แปลว่า พยายามหาข้อตำหนิติเตียนคนหรือสิ่งของ ทั้งที่ไม่มีข้อให้ตำหนิ เสมือนการหากระดูกในไข่ที่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่มี
[5] ยาจิน่ (金创药) หมายถึงยาที่ใช้รักษาาแจากอาวุธที่ทำจากโลหะโดยเฉพาะ เช่น าแจากมีด ดาบ กระบี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้