ไม่ใช่ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อดูถูกเ้าเล็กกระจ้อยนี่ไปจริงๆ มันตัวเล็กยิ่งนัก นิ้วเดียวของเขาก็บี้มันตายได้แล้ว มันจะมีความสามารถใดมารักษาพิษกู่พี่ห้าให้หายกัน
หลงเซี่ยวเจ๋อวิ่งไปอีกด้านแล้วลำพองใจอย่างเงียบๆ คิดว่ารอดพ้นอันตรายแล้ว!
แต่เสี่ยวไตกูมิได้จะปล่อยเ้าคนไม่มีตาที่ดูถูกมันไปอย่างง่ายดายเพียงนั้น
เพียงครู่เดียวมันก็กางขาหลังออก ะโออกไปจากฝ่ามือมู่จื่อหลิง แสงสีม่วงดีดตัวออกมาด้วยความเร็วที่ว่องไว ะโเข้าไปหาราวสายฟ้าแลบ ขาเล็กๆ ทั้งสองข้างเกาะเข้าที่หว่างคิ้วของหลงเซี่ยวเจ๋อ
ไม่รอให้หลงเซี่ยวเจ๋อมีการตอบสนอง มันก็ ‘กัดฟันสู้’ ด้วยการเบ่งปัสสาวะที่มีทั้งรสทั้งกลิ่นออกมาหลายหยดให้รินรดลงมาตามปีกจมูกทั้งสองข้างของหลงเซี่ยวเจ๋อและไหลเข้าไปในปากที่ตั้งท่าจะพูดจาของเขาโดยปราศจากความคลาดเคลื่อน
หลงเซี่ยวเจ๋อขยะแขยงจนเกือบจะร้องไห้ หัวคิ้วขมวดแน่น วิ่งไปที่มุมห้องอาเจียนออกมา “แหวะ! แหวะ!”
ฮ่องเต้เหวินอิ้นทอดพระเนตรฉากตลกขบขันนี้อย่างอับจนวาจา มุมพระโอษฐ์กระตุก กุมหน้าผากด้วยความปวดพระเศียร บุตรชายของพระองค์ถูกคางคกม่วงที่มีขนาดไม่ถึงหนึ่งชุ่น ‘รังแก’ อย่างโจ่งแจ้งจนมีสภาพเช่นนี้ พระองค์รู้สึกขายขี้หน้านัก!
มุมปากภายใต้เคราหนาทึบบนใบหน้าเงียบขรึมไม่ยิ้มแย้มของเสิ่นซือหยางกระตุกขึ้นมาโดยพลัน แม่หนูเฉลียวฉลาดผู้นี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเ้าตัวเล็กจะฉลาดเหมือนนาง
บนใบหน้าซีดเผือดของหลงเซี่ยวหนานมีรอยยิ้มจางประดับไว้ อบอุ่นดั่งลมวสันต์พัดหวนผืนดิน ั์ตาอ่อนโยนนั้นฉายความจนปัญญาเอาไว้
สองมือของกุ่ยเม่ยกอดกระบี่ไว้ที่หน้าอกแน่น เพียรพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ สีหน้าราวกับคนท้องผูก
เ้าตัวเล็กนี่ช่างน่ารักจนไม่น่าอภัยจริงๆ
เขาดีใจอีกครั้งที่นายน้อยให้เขาติดตามหวางเฟย ติดตามหวางเฟยมักจะมีละครดีให้ชม เพิ่งรับชมละครที่หวางเฟยใช้จัดการสิงกู้เหวินจบไป ยามนี้ก็มีเ้าเล็กจ้อยที่น่าประหลาดใจตัวนี้
เสี่ยวไตกูะโกลับไปยังฝ่ามือของมู่จื่อหลิงด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง มองผลงานชิ้นเอกของตนเองด้วยความพึงพอใจ
เพียงแต่ ยามที่มันเพิ่งะโข้ามไป ก็เหมือนจะได้กลิ่นหอมที่อยู่ในอากาศ เป็ของอร่อย มันะโอย่างร่าเริงไปรอบห้องด้วยความไม่แน่ใจหนึ่งรอบ ก่อนจะะโโลดเต้นกลับไปที่ฝ่ามือของมู่จื่อหลิง
เสี่ยวไตกูร้องเสียงใส่มู่จื่อหลิงอย่างเบิกบาน “โอ้กโอ้กโอ้ก!” มีของอร่อย! มีของอร่อย!
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วจ้องเสี่ยวไตกูที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง กดเสียงต่ำพูดข่มขู่ “ชู่ว! เงียบหน่อย ถ้ายังร้องอีกจะใส่เ้ากลับเข้าไป”
เสียงร้องเอะอะโวยวายของเสี่ยวไตกูนี้นางฟังแล้วปวดศีรษะนัก ยิ่งกว่านั้นบนพระที่นั่งหลักยังมีสองผู้ยิ่งใหญ่อีกตั้งสองพระองค์ หากไปยั่วยุให้ผู้สูงศักดิ์ไม่พอพระทัยเข้า เช่นนั้นก็กินไม่หมดแอบห่อกลับเรือน [1] น่ะสิ
เสี่ยวไตกูเชื่อฟังไม่ส่งเสียงร้องอีกดังคาด คุดคู้อยู่กลางฝ่ามือของมู่จื่อหลิงอย่างเชื่อฟังด้วยท่าทางน่าสงสาร จ้องมู่จื่อหลิงน้ำตาคลอหน่วย!
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุก หมดวาจาขึ้นมาโดยพลัน ทำเหมือนกับนางรังแกมันอย่างโหดร้ายทารุณ!
หลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังอาเจียนอยู่เหลือบมาเห็นฉากนี้โดยไม่ตั้งใจก็ตกตะลึง เข้าใจขึ้นมาโดยพลัน เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาปและถ่มน้ำลายออกมาอย่างแรงหลายครั้ง
ดวงตาเขาเบิกกว้างเหมือนไข่ห่านอย่างไม่อยากจะเชื่อ มือไม้สั่นเทาชี้ไปที่จุดเล็กจ้อยในมือมู่จื่อหลิง พูดอย่างติดๆ ขัดๆ “พี่สะใภ้สาม มัน...มันฟัง...ฟังภาษาคนออก?”
ท่าทางเซ่อซ่าของหลงเซี่ยวเจ๋อทำให้มู่จื่อหลิงกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ ส่งสายตาขบขันไปให้เขาว่ามันฟังภาษาคนออก ดังนั้นเ้าพูดจาระมัดระวังหน่อย!
หลงเซี่ยวเจ๋อแทบจะคุกเข่าให้!
นี่ เ้าเล็กจ้อยนี่กลายเป็ปีศาจไปแล้ว!
มิน่าเล่าเ้าตัวเล็กนี้เห็นเขาว่ามันเป็กบ และพูดดูถูกมัน ก็ไม่รอช้าพ่นปัสสาวะใส่ปากเขา
จริงดังคาด! ไม่ใช่แค่พี่สะใภ้สามที่ยั่วโทสะมิได้ แม้แต่เ้าตัวเล็กจิ๋วในมือนางก็มิอาจดูถูกได้ และไม่สามารถยั่วโมโหได้เช่นกัน!
ผู้ที่ประหลาดใจมิได้มีเพียงหลงเซี่ยวเจ๋อคนเดียว ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นมองมายังคางคกม่วงที่ส่องแสงสีม่วงในฝ่ามือของมู่จื่อหลิงอย่างไม่อยากเชื่อ
“หลิงเอ๋อร์ คางคกม่วงนี่สามารถรักษาพิษกู่ของเซี่ยวหนานได้จริงๆ หรือ?”ขณะนี้ในใจของฮองเฮานั้นสับสนวุ่นวาย ในที่สุดก็อดทนไม่ไหวถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ
มู่จื่อหลิงยิ้มเย็นในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับปรากฏความมั่นใจ ตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “เพคะ!”
ได้ยินคำตอบที่มั่นใจเพียงนี้ ในใจฮองเฮาก็บังเกิดอารมณ์ที่ไม่สงบสุข เพียงแต่บัดนี้เื่ราวมาจนถึงขั้นนี้แล้ว มิอาจก่อกวนให้เกิดความวุ่นวายได้
ด้วยเหตุนี้นางจึงแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน พูดเสียงอ่อน “คางคกม่วงนี้แปลกประหลาดนัก อาการปวดศีรษะของเซี่ยวหนานจะได้หายเป็ปกติเสียที เสด็จพ่อเ้าจะได้มิต้องเป็กังวลทั้งวันอีก เสด็จแม่ก็วางใจได้”
วางใจ? ตอนนี้เกรงแต่ว่ายิ่งพูดก็ยิ่งสูงมากกว่ากระมัง!
ใบหน้าของมู่จื่อหลิงนิ่งสงบราวกับสายน้ำ ไร้คลื่นอารมณ์ ทว่าในใจกลับลอบเสียดสี
มาดมารดาผู้อบอุ่นของฮองเฮานี้ช่างมาได้ถูกเวลาและเป็ที่น่าพอใจจริงๆ
ส่วนฝีปากนี้ก็ร้ายกาจนัก! ้าจับผิดนางแล้ว
คำพูดนี้ภายนอกนั้นดีใจที่อาการป่วยของหลงเซี่ยวหนานสามารถหายดีได้ แต่ความนัยกลับกำลังไต่ถามนาง นางคางคกม่วงแปลกพิสดารเพียงนั้นได้อย่างไร และในเมื่อคางคกม่วงสามารถรักษาพิษกู่หลงเซี่ยวหนานได้ เหตุใดนางจึงยื้อมาถึงวันนี้พึ่งนำคางคกม่วงออกมา ทำให้หลงเซี่ยวหนานทุกข์ทรมานมาเสียหลายวัน
มู่จื่อหลิงฉีกยิ้ม เบิกตาโตอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา กล่าววาจาไร้สาระที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็เท็จ
“สามารถช่วยขจัดความกังวลของเสด็จพ่อได้ หม่อมฉันย่อมยินดีเพคะ และอาจารย์ของหม่อมฉันก็คงดีใจด้วยเช่นกัน เมื่อวานนี้อาจารย์หม่อมฉันรู้เื่องค์ชายห้าถูกวางพิษกู่ จึงได้มอบคางคกม่วงแก่หม่อมฉัน สั่งให้หม่อมฉันรักษาองค์ชายห้าให้หายให้จงได้”
ความหมายของคำพูดนี้อธิบายที่มาของคางคกม่วงว่าคางคกม่วงเป็สิ่งที่อาจารย์ผู้ลึกลับของนางมอบให้นางมาเมื่อวานนี้ ดังนั้นวันนี้นางถึงสามารถนำคางคกม่วงออกมาได้
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาใบหน้าที่เมตตาเป็มิตรของฮองเฮาก็ทอดมองมู่จื่อหลิงอย่างอ่อนโยน ทว่าในใจนางนั้นไม่สงบอยู่นานแล้ว ดวงตาแปลกประหลาดยากคาดเดาดูเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักความจริงในคำพูดมู่จื่อหลิง
ดวงตาล้ำลึกยากหยั่งถึงของฮองเฮานั้น มู่จื่อหลิงไหนเลยจะไม่รู้
นางสบสายตาฮองเฮาอย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตากระจ่างใสเต็มไปด้วยประกาย ใบหน้าจริงจังมั่นใจ ั้แ่ต้นจนจบมุมปากประดับรอยยิ้มจางที่กระจ่างแจ้ง สุขุมเยือกเย็น ปล่อยให้ฮองเฮามองโดยสงบ
าประสาทเช่นการสู้สายตานี้ รอดูว่าสุดท้ายใครจะเป็ผู้ชนะด้วยรอยยิ้ม?
ฮองเฮาข่มกลั้นความคับแค้นเอาไว้ในใจ
เพียงแต่การประลองสายตานี้ดูเหมือนจะอยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก็ถูกคนขัดจังหวะเสียก่อน
“อาจารย์?” ฮ่องเต้เหวินอิ้นก็แปลกพระทัยเช่นกัน
สีหน้ามู่จื่อหลิงเคร่งขรึมเล็กน้อย ขยับมุมปากตั้งท่าจะพูด เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางอ้าปาก
หลงเซี่ยวเจ๋อก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้น สองมือประสานกันก้มศีรษะลงต่ำ สายตายุ่งยากใจทอประกายอย่างเลื่อมใส พูดงึมงำขี้โม้ยกใหญ่
“จริงด้วย เสด็จพ่อคงยังไม่รู้ว่าฝีมือการรักษาของอาจารย์พี่สะใภ้สามนั้นร้ายกาจนัก และยังลึกลับยากค้นหา เป็เทพัเห็นหัวไม่เห็นหาง อยากพบหน้าเขายากยิ่งกว่าอยากขึ้น์เสียอีก กระหม่อมเองมีโชคจึงได้เหลือบไปเห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ตราบจนบัดนี้ก็ยังตราตรึงในความทรงจำ มิอาจถอนตัว...”
เห็นได้ชัดว่าหลงเซี่ยวเจ๋อนั้นเชื่อคำพูดมู่จื่อหลิงเป็จริงเป็จังว่าเ้าสิ่งเล็กจ้อยนั่นเป็สิ่งที่อาจารย์ผู้ลึกลับมอบให้มู่จื่อหลิงมา!
เมื่อได้ฟังคำพูดติดต่อกันไม่จบไม่สิ้นของหลงเซี่ยวเจ๋อ คนทั้งหมดก็ไร้วาจา
หน้าผากของมู่จื่อหลิงมีเส้นดำๆ สามเส้นผุดขึ้นมาโดยพลันแล้วยกมือขึ้นมาแคะหู
มองท้องฟ้าอย่างอับจนคำพูด ทันใดนั้นก็เห็นว่าบนท้องฟ้ามีวัว [2] หลายตัวบินอยู่!
เด็กอับโชคผู้นี้ยังกล้าคุยโวโอ้อวดได้ใหญ่กว่านี้อีกหรือไม่ เป็ครั้งแรกที่นางเสียใจที่ยกอาจารย์ลึกลับผู้ไม่มีอยู่จริงนั่นออกมาแก้สถานการณ์ เป็ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่จริงๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด
“เอาเถิด! เจิ้นรู้แล้ว” ฮ่องเต้เหวินอิ้นคลึงหว่างคิ้วอย่างปวดพระเศียร ยกพระหัตถ์ขึ้นหยุดการยิงคำพูดติดต่อกันไม่หยุดของหลงเซี่ยวเจ๋อ
พระองค์พูดเพียงสองคำ บุตรคนนี้ของพระองค์กลับตอบพระองค์มาบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า คาดว่าถ้ายังปล่อยให้หลงเซี่ยวเจ๋อพูดต่อไป ฟ้าคงได้มืดก่อนพอดี
แต่ดูเหมือนหลงเซี่ยวเจ๋อยังพูดได้ไม่สะใจ จึงคิดจะอ้าปากอีก ทันใดนั้นก็กวาดสายตาไปเห็นสายตาอันตรายของมู่จื่อหลิง จึงได้แต่ฝืนใจหุบปากไว้!
“หลิงเอ๋อร์ เ้า้ารักษาเช่นใด?” จนบัดนี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นก็ยังไม่เชื่อสักเท่าใดว่าคางคกตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งจะสามารถรักษาพิษกู่ของหลงเซี่ยวหนานได้
มู่จื่อหลิงอธิบายอย่างง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “หม่อมฉันจะนำยาลูกกลอนที่ผสมกับลมหายใจคางคกม่วงป้อนให้องค์ชายห้า จากนั้นกู่ในสมององค์ชายก็จะได้กลิ่นและหวาดกลัวจนออกมาเอง”
เพียงแค่ประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยค คนทั้งหมดได้ฟังแล้วต่างก็คร่ำครวญในใจไม่หยุดหย่อน ใช้เพียงแค่ยาผสมกับลมหายใจของคางคกม่วงก็สามารถไล่กู่ออกมาได้แล้ว
ฮองเฮาที่สงบนิ่งมาโดยตลอดก็เช่นกัน ทว่าั้แ่ต้นจนบัดนี้กำปั้นนางก็มิเคยคลายออก ตรงกันข้ามกลับยิ่งกำยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ หากมองให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าแขนเสื้อของนางนั้นกำลังสั่นเทาอยู่เบาๆ
ฮ่องเต้เหวินอิ้นพยักพระพักตร์อย่างเข้าใจ โบกแขนเสื้อ ตรัสอย่างเรียบเฉย “เช่นนั้นก็อย่าได้ชักช้าเลย เริ่มลงมือรักษาเถิด”
แม้พระองค์จะยังมีความสงสัยอาจารย์ผู้ลึกลับของมู่จื่อหลิง แต่ก็ไม่กล้าตรัสถึงอีก ผู้ใดจะรู้เล่าว่าบุตรชายผู้ยังไม่หมดห่วงขี้โม้ออกมาอีกกี่คำ
มู่จื่อหลิงพยักหน้าพลางถามอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อ กระบวนการรักษาอาจจะไม่น่ามองอยู่เล็กน้อย พระองค์และเสด็จแม่้าเสด็จไปที่อื่นก่อนหรือไม่เพคะ?”
ฉากในอีกประเดี๋ยวจะน่าสยดสยองจริงๆ นางต้องฉีดยาป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า มิเช่นนั้นอีกครู่ฮ่องเต้ผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้จะประทานโทษฐานทำให้เบื้องสูงตื่นตระหนกแก่นางอีก เช่นนั้นนางก็เสียเปรียบตายเลย
ยาป้องกันก็ฉีดไปแล้ว ส่วนพวกเขาจะไปหรือไม่นั้นก็ไม่เกี่ยวกับนาง
ฮ่องเต้เหวินอิ้นทอดพระเนตรมู่จื่อหลิงด้วยรอยยิ้มอบอุ่นประหนึ่งบิดาผู้เปี่ยมเมตตา ทรงสรวลแ่เบาพลางตรัส “เจิ้นจะอยู่ดู ไม่เป็อันใด ฮองเฮากลับไปก่อนเถิด!”
ฮองเฮาแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “หลิงเอ๋อร์มีเจตนาดี เพียงแต่ฝ่าาเพคะ หม่อมฉันก็ใคร่อยากจะรู้วิธีการรักษาของหลิงเอ๋อร์นัก หม่อมฉันเองก็จะอยู่ดูเช่นกัน!”
มู่จื่อหลิงส่งสายตาค้อนปะหลับปะเหลือกให้ฮองเฮาในใจ นางก็รู้อยู่แล้วว่าฮองเฮาไม่มีทางจากไปโดยง่ายแน่
ยากนักที่นางจะปรารถนาดีต่อศัตรูเสียสักครั้ง ยังไม่รับไมตรีนางไว้อีก!
อยากดูก็ดูไปเถอะ! อย่ามาโทษว่านางไม่เตือนก่อนแล้วกัน อีกครู่ก็อย่าได้ใจนกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวันเหมือนไทเฮาชรานั่น
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ หลิงเอ๋อร์ก็เริ่มเลยเถิด” ฮ่องเต้เหวินอิ้นก็ไม่มากความอีก ตรัสอย่างเรียบเฉย
“เพคะ!” มู่จื่อหลิงตอบรับสั้นๆ
นางมักจะรู้สึกว่าท่าทีของฮ่องเต้ในวันนี้ไม่เหมือนปกติ ทว่านางก็มองไม่ออกว่าผิดปกติตรงใด ราวกับไหลไปตามความคิดนางอยู่ตลอด ไม่สงสัยและไม่วิตกกังวล
สิ่งนี้ทำให้ความประทับใจที่นางมีต่อฮ่องเต้ดีขึ้นมาหนึ่งส่วน เช่นนี้ก็ดี หนทางสะดวกราบรื่น ขอเพียงฮ่องเต้มีความยุติธรรม นางยังกลัวว่าจะสู้ฮองเฮาไม่ได้อยู่อีกหรือ
มู่จื่อหลิงไม่คิดฟุ้งซ่านอีก วันนี้ชักช้ามาไม่น้อยจริงๆ มิอาจยืดยาดได้แล้ว ต้องถอนพิษกู่ให้หลงเซี่ยวหนาน แล้วยังต้องสืบอีกด้วยว่าถูกคนวางพิษกู่ได้อย่างไร
นางอุ้มคางคกม่วงมือเดียวก้าวช้าๆ ไปที่ด้านข้างตั่งนุ่ม หยิบยาลูกกลอนประโลมิญญาที่ผสมกับลมหายใจของคางคกม่วงที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปให้หลงเซี่ยวหนาน
ยาลูกกลอนประโลมิญญาสามารถบรรเทาอาการกระสับกระส่ายไม่สงบของหลงเซี่ยวหนานจากการถูกกู่รบกวนได้
“องค์ชายห้า ท่านเสวยยานี้เข้าไปเสียก่อน จากนั้นท่านจะหลับไปจนกระทั่งหนอนกู่ออกมาจนหมดแล้ว” ั์ตางดงามของมู่จื่อหลิงมองไปที่หลงเซี่ยวหนานด้วยสีหน้าจริงจัง
หลงเซี่ยวหนานตกตะลึงไปชั่วพริบตา หลบเลี่ยงสายตามู่จื่อหลิงอย่างลนลาน ยื่นมือไปรับยาจากมือมู่จื่อหลิงมาโดยไร้ซึ่งความหวาดระแวง
--------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กินไม่หมดแอบห่อกลับเรือน หมายถึงไม่สามารถรับผิดชอบได้ เกินกว่าจะรับผิดชอบไหว
[2] วัว มาจากคำว่า 吹牛 ที่แปลว่าขี้โม้ ซึ่ง 牛 แปลว่าวัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้