บ่ายวันเดียวกันเยว่ฉีกำลังง่วนอยู่กับก้อนหินที่ได้รับมา นางกำลังใช้ความคิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะผ่าหินออกเป็สองส่วนได้ เยว่ฉีรู้สึกว่าต้องมีความพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้
แล้วเหตุใดนางถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้าุโิ? เื่นี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่บนเขา หลังผู้าุโใช้พลังจิตขุดพืชิญญาออกมาทั้งหมดและช่วยเปิดประตูให้เยว่ฉีออกมาจากถ้ำ เขาก็หลับไปไม่พูดอันใดอีก ก่อนจะไปได้บอกกับนางว่าจะไม่อยู่สองสามวันเพราะใช้พลังไปมากรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย
สรุปคือ ใช้พลังเกินขีดจำกัดจนหลับไป
เยว่ฉีวางก้อนหินขนาดประมาณหัวเด็กลงบนพื้น ก่อนจะมองหาของที่พอจะใช้ทุบก้อนหินให้แตกได้ ในระหว่างที่กำลังมองหาตัวช่วยปลายสายตาพลันเหลือบไปเห็นปังตอขึ้นสนิมด้ามหนึ่งวางพิงอยู่ข้างเตา
เย่วฉีลุกขึ้นยืนจากท่านั่งขัดสมาธิ ก้าวฉับ ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงเป้าหมายก้มลงหยิบปังตอที่ว่าขึ้นมา เดินกลับมานั่งที่เดิม
“ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้!!” หญิงสาวบ่นพึมพำใช้สองมือประคองปังตอเดินกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าก้อนหิน
สองมือจับปลายด้ามจับของปังตอเอาไว้แน่น ยกขึ้นเหนือศีรษะใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปกับการฟันในครั้งนี้
เพล้ง!!!
ปังตอขึ้นสนิมขาดออกจากด้ามจับเป็สองท่อนตัวใบมีดกระทบก้อนหินอย่างจังก่อนจะเด้งกลับมาที่นาง เย่วฉีผวารีบเอี้ยวตัวหลบ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียง ฉึก ตามมา
หญิงสาวเอี้ยวตัวหัวกลับไปมองปังตอที่เฉาะก้อนหินไม่เข้าแต่ตอนนี้กำลังปักอยู่บนผนังบ้านอย่างสวยงาม
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
บ้านมีรอยรั่วแล้ว !!!คงต้องหากระดาษมาดามรูรั่ว
เยว่ฉีลุกขึ้นเดินไปดึงปังตอออกจากฝาบ้านทว่าดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก นางใช้เวลาดึงอยู่นาน ปังตอเ้ากรรมก็ยังคงยึดแน่นกับฝาบ้านราวกับไม่้าแยกจาก
ตอนสับหินละไม่เข้าพอสับบ้านเข้าหน่อยกลับดึงไม่ออก !!!
เยว่ฉีมือเท้าเอวหอบหายใจจ้องปังตอเขม็งไม่ต่างจากศัตรูที่โกรธแค้นกันมานาน พร้อมกับขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ยกมือชี้มีดเ้ากรรมพร้อมกล่าวว่า
“จะออกไม่ออก!? จะไม่ออกใช่ไหม? ได้เดี๋ยวได้รู้กัน” แต่ก่อนจะได้หันหลังออกไปหาของมาจัดการเศษซากเ้าปัญหา ก็ได้ยินเสียงราบเรียบเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
“เป็อันใดไป เหตุใดถึงได้มีท่าทางฉุนเฉียว?” หานลั่วอี้อดรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของนางไม่ได้ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาสามวันแล้วพึ่งจะเคยเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวเช่นนี้เป็ครั้งแรก
คนถูกจับได้ว่าทะเลาะกับมีด ได้แต่สะดุ้งตัวโยน หันกลับไปยิ้มแห้ง
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงกำลังมองหาสิ่งที่จะมานำเ้านี้ออกจากฝาผนังบ้าน” ว่าพร้อมกับชี้มือให้ดู หานลั่วอี้มองตามมือก่อนจะเห็นว่ามี ปังตอ? ปักอยู่ข้างบ้าน
เขาค่อย ๆ หันมามองหน้าภรรยาเลิกคิ้วขึ้นเป็เชิงถาม
คนถูกจ้องหน้าถอนหายใจเดินเข้าไปใกล้
“ความจริงแล้วข้า้าผ่าเ้าสิ่งนี้ออกไปสองส่วน ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงใช้แรงทั้งหมดลงไปบนมีดแล้วฟัน ฉึบ มีดจะหักเป็สองส่วนก่อนจะบินไปปักบนนั้น”
“เ้าาเ็ที่ใดหรือไม่?”
“ข้าไม่เป็อันใด ยังดีที่สามารถหลบได้ทัน เหตุใดท่านถึงได้ถามราวกับรู้ว่าข้าเกือบจะเป็อันตราย” บุรุษหนุ่มไม่ตอบ เหลือบสายตามองลงพื้น บนพื้นปรากฏรอยคุกเข่าอยู่สองรอย แค่มองดูก็สามารถคาดเดาตำแหน่งนั่งของนางได้
แต่ว่าคนปกติจะมองออกในเวลาเพียงชั่วอึดใจจริงหรือ?
แน่นอนว่าไม่ หานลั่วอี้เป็ข้อยกเว้น
เขาไม่ตอบคำถามเอ่ยเสียงเนือยนาบ “คราวหลังขอให้ข้าช่วยได้ ผ่าหินเช่นนี้ลำพังพลังฝึกปราณของข้าสามารถทำได้” ดวงตาหญิงสาวเป็ประกาย พลังพิเศษสารพัดประโยชน์เสียจริง
เมื่อรู้ว่าหานลั่วอี้สามารถช่วยได้เยว่ฉีก็เดินไปหยิบหินเ้าปัญหาขึ้นมา เอ่ยอธิบายอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านลองผ่าดู ตอนที่ข้าลงจากเขาเผลอสะดุดหินก้อนนี้เข้า จังหวะที่ผิวกายัักลับเกิดความรู้สึกบางอย่าง พอหยิบขึ้นมากอดเอาไว้ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด ข้าจึงเก็บกลับมาด้วย” คำอธิบายเรียบง่ายของภรรยาส่งผลให้คลื่นอารมณ์เคลื่อนผ่านั์ตาน่าหลงใหล เขาก้มมองอยู่นานไร้ซึ่งคำพูด ก่อนจะวางมือลงบนก้อนหินไหลเวียนพลังไปที่ปลายนิ้วมือ จากนั้น
แกร็ก
ก้อนหินที่เยว่ฉีใช้พลังทั้งหมดเพื่อผ่าดูว่ามีสิ่งใดอยู่หรือไม่ ชั่วอึดใจต่อมาก็เกิดรอยร้าวขึ้นรอบ ๆ เพียงแค่หานลั่วอี้โคจรพลังเข้าไปด้านใน
“หากข้ามีพลังเช่นนี้บ้างคงดี” เยว่ฉีเผลอพูดออกไป หลังรู้ตัวก็รีบปิดปากเงยหน้ามองหานลั่วอี้
นางหาได้มีความตั้งใจพูดกระทบจุดความรู้สึกของเขา สิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อสักครู่เป็เพียงความ้าน้อย ๆ ของตัวนาง
หานลั่วอี้เงยหน้ามองสบสายตารู้สึกผิด เขารู้ว่านางไม่ได้มีเจตนาพูดถึงสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยกล่าวเสียงอ่อนโยน
“อย่าได้รู้สึกผิด ข้าเข้าใจในคำพูดของเ้าทั้งยังทราบดีว่าเ้าไม่ได้มีความคิดเช่นคนพวกนั้น”
เยว่ฉีผงกหัวขึ้นลง ย่อตัวลงตรงหน้าชายหนุ่ม มือเรียวติดซูบผอมวางบนหลังมือ
“ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอย่างที่ท่านเข้าใจ” แค่นั้นก็เพียงพอ คำกล่าวยืนยันจากปากพร้อมสายตาจริงใจ เพียงพอสำหรับเขาในตอนนี้
เยว่ฉีไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมระหว่างทั้งคู่จึงรีบเปลี่ยนเื่คุย มองก้อนหินซึ่งถูกผ่าออกเป็สองส่วนในมือ
“ท่านเปิดดูว่ามีสิ่งใดอยู่ด้านในหรือไม่” หานลั่วอี้พยักหน้าใช้มือแยกหินสองชิ้นออกจากกัน
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของทั้งสองคนคือหยกขนาดประมาณสองชุ่นถูกฝังอยู่ตรงกลาง เยว่ฉีขมวดคิ้วมองหานลั่วอี้
บุรุษหนุ่มคล้ายเข้าใจความนัยจากสายตา หยิบหยกสีเหลืองอ่อนขึ้นมาถือ กล่าวอธิบาย
“สิ่งนี้เรียกว่าหยกิญญา ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่มักจะซื้อหยกิญญาแจกจ่ายแก่ลูกหลาน ให้พวกเขาใช้ดูดซับ หยกิญญามีส่วนช่วยให้ผู้ฝึกปราณเพิ่มระดับความสามารถให้สูงขึ้น ตอนที่ข้ายังอยู่ในตระกูลได้รับหยกิญญาเดือนละสองก้อน เป็หยกิญญาระดับกลางเช่นเดียวกันแต่สีอ่อนกว่าก้อนนี้มาก หยกิญญามีคุณค่ามาก ทว่าก็หาได้ไม่ง่ายขึ้นอยู่กับระดับของหยกิญญา...”
หานลั่วอี้อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับหยกิญญาให้เยว่ฉีฟัง หยกิญญาแบ่งออกเป็สี่ระดับ ต่ำ กลาง สูง สูงที่สุด โดยเรียงจาก ไม่มีสี สีเหลือง สีชมพู และสีแดง หยกิญญาแต่ละระดับล้วนมีคุณภาพสูงต่ำแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความเข้มของสี
ที่หานลั่วอี้ถืออยู่ในมือคือหยกิญญาระดับกลาง คุณภาพต่ำค่อนไประดับกลาง ตัวหยกิญญาแบ่งเป็สี่ระดับ สามคุณภาพ คือ ต่ำ กลาง สูง
หลังฟังคำอธิบายเยว่ฉีพลันรู้สึกว่า หยกิญญาวิเศษกว่าพืชิญญา เพราะสามารถดูดซับได้ทันที แตกต่างจากพืชิญญาที่ต้องผ่านการหลอมขึ้นมาก่อนจึงจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
แล้วเหตุใดพืชิญญาถึงยังเป็ที่้า? เพราะเมื่อเทียบกับจำนวนโอสถแล้ว หยกิญญาหาได้ยากมากกว่า
“ลั่วอี้เช่นนั้นข้ามอบให้ท่าน”
“สิ่งนี้สำหรับข้าตอนนี้ไม่จำเป็ เ้านำไปขายเป็เงินมาใช้ในครอบครัวดีกว่า” ระหว่างที่หานลั่วอี้เอ่ยประโยคนี้ ตัวนางััได้ถึงบรรยากาศเศร้าสร้อยโอบล้อมร่างกายแกร่ง พอเงยหน้าสบเข้ากับดวงตาคมเข้มก็เห็นว่าในนั้นมีประกายเศร้าหมองปรากฏอยู่
เยว่ฉียื่นมือเรียวสวยไปวางลงบนหลังมือแกร่งตบเบา ๆ สองสามครั้ง ไร้ซึ่งคำพูด
