“เ้าเด็กดื้อคนนี้นี่ เ้าอยู่เล่นกับท่านยายที่บ้านไม่ดีหรอกหรือ? ทำไมจะต้องก่อเื่อยากไปจวนสกุลอวิ๋นกับอาด้วยล่ะ?” ติงเหว่ยเดินไปพลางพูดกับหลานตัวอ้วนไม่หยุด อาจเพราะคราวที่แล้วเ้าเด็กอ้วนคนนี้กินอย่างตะกละตะกลามที่จวนสกุลอวิ๋น ตลอดครึ่งเดือนมานี้ตอนที่ติงเหว่ยไปบ้านสกุลอวิ๋นเขาก็จะตามไปด้วยเสมอ ทุกครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทั้งกินทั้งดื่ม สุดท้ายยังนอนหลับบนเตียงของคนอื่นอีก
ไม่ว่าติงเหว่ยจะไร้ยางอายสักแค่ไหน สุดท้ายนางกับหลานก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางสายตาเรียบเฉยของคุณชายอวิ๋นทุกครั้ง นางอายจนอยากจะวิ่งชนกำแพง แต่หนึ่งคือนางไม่กล้าที่จะตีก้นหลาน สองคือเด็กที่อยู่ในท้องก็เป็เด็กดี แม้แต่อาการแพ้ท้องอาเจียนก็เกิดขึ้นไม่กี่ครั้ง ตอนนี้มีเพียงอาการขี้เซา นางก็ไม่อยากขออะไรมากไปกว่านี้
โชคดีที่ทุกคนในจวนสกุลอวิ๋นล้วนชอบต้าเป่า ั้แ่ท่านลุงอวิ๋นจนถึงผู้รักษาความปลอดภัยต่างก็ชอบเล่นกับเขา แม้กระทั่งตอนกินข้าวคุณชายอวิ๋นก็คอยคีบอาหารให้เขา เื่พวกนี้ทำให้ติงเหว่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่น้อย
ทว่าก็เหมือนกับนางที่ไม่สามารถสนิทใกล้ชิดกับทุกคนได้ ต้าเป่าก็เช่นกัน มีคนพวกหนึ่งที่ไม่สามารถ “ปราบได้” อยู่ ต่อให้ไม่พูดก็รู้ว่าเป็เซียงเซียงกับจ้าวหรง ยังถือว่าจ้าวหรงแค่ทำหน้าตาเ็าและพูดจาเหน็บแนมเป็บางครั้ง มีเพียงเซียงเซียงที่เกือบจะด่าต้าเป่าด้วยคำหยาบคาย
……
ต้าเป่าเป็เด็กฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง เขาใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่เรือนเล็ก จับผีเสื้อ ขุดดินในแปลงดอกไม้ บางครั้งก็ปีนเข้ามาใกล้ที่หน้าต่างเพื่อคุยกับกงจื้อิ อาจเพราะเป็เด็กรู้ภาษากงจื้อิจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจ กลับกันเขายังคุยอย่างสนุกสนานอีกด้วย
ในสายตาของท่านลุงอวิ๋นฉากนี้ทำให้เขารักต้าเป่าจนเข้าไปในกระดูกอย่างเป็ธรรมชาติ ทุกครั้งที่ติงเหว่ยเลิกงานกลับบ้าน ในตะกร้าครึ่งหนึ่งต้องมีขนมของกินที่ท่านลุงอวิ๋นและทุกๆ คนให้ต้าเป่า ทำให้ติงเหว่ยรู้สึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย
วันเวลาไม่เคยสนใจว่าเรากำลังมีความสุขหรือกำลังทุกข์ใจ มันไม่เคยจะหยุดเดินและมีแค่ก้าวต่อไปเท่านั้น เพียงพริบตาก็เข้าสู่กลางเดือนห้า ใน่เวลานี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นแล้ว ท้องของติงเหว่ยก็เหมือนกับพืชในนาที่เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยที่เงียบมาหลายเดือนก็เริ่มซุกซนแล้ว ั้แ่ที่เริ่มซุกซนเด็กน้อยในท้องขยับตัวไปมาทั้งกลางวันและกลางคืน ติงเหว่ยถูกกวนจนนอนหลับไม่สนิท ความอยากอาหารก็หายไป บางครั้งไม่ค่อยมีแรง ทำให้ไปจวนสกุลอวิ๋นได้น้อยลง
เนื่องจากคืนก่อนฝนตกลงมาทำให้อากาศชื้นและหนาวเย็นั้แ่เช้า ช่างเป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่ติงเหว่ยจะนอนได้อย่างเต็มอิ่ม เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จแม่นางหลิวและพี่ใหญ่ก็เดินทางไปที่ร้านด้วยกัน ส่วนแม่นางหลี่ว์มารับต้าเป่าเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมไปที่หนานวาจือ
อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบ 66 ปีของท่านยายทวดสกุลหลี่ว์ วันนี้เป็วันสำคัญแม่นางหลี่ว์จึงรู้สึกว่าครอบครัวมีชีวิตที่ดี มีเงินทองมากมาย ั้แ่เช้าก็เตรียมชุดผ้าทอดิ้นเงินดิ้นทอง คิดอยากจะส่งให้มารดาล่วงหน้าเพื่อจะได้ใส่ในวันนั้นอย่างครบเครื่อง
ติงเหว่ยอยู่บ้านคนเดียวก็รู้สึกเบื่อ จึงถือโอกาสสะพายกระเป๋าไปทำงานที่จวนสกุลอวิ๋น
พอเสี่ยวฝูจื่อที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจวนสกุลอวิ๋นเห็นติงเหว่ยก็รีบมาต้อนรับแต่ไกล เขายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ติง พี่ไม่ได้มาตั้งหลายวันแล้ว ข้าได้ยินผู้าุโพูดถึงพี่ตั้งหลายครั้ง และยังพูดว่าถ้าวันนี้พี่ยังไม่มา จะให้แม่ของข้าเอาอาหารไปเยี่ยมพี่ด้วย”
ติงเหว่ยคิดว่าคุณชายอวิ๋นท่านนั้นคงเคยชินกับอาหารฝีมือนางแล้ว กลัวว่าหากวันนี้เขาลดมื้ออาหารลงจะทำให้ท่านลุงอวิ๋นเสียใจ แต่ท่านลุงอวิ๋นก็ไม่เคยตำหนิ กลับยังเป็ห่วงร่างกายของนางเสียอีก สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกปลื้มใจและรู้สึกผิดเช่นกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงรีบไปที่เรือนด้านหลังเพื่อคำนับท่านลุงอวิ๋น
……
ท่านลุงอวิ๋นเฝ้าอยู่ข้างเตียง ในใจเต็มไปด้วยกังวล สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความร้อนใจ วันนั้นที่คุณชายถูกลอบทำร้าย เขาส่งยอดฝีมือทั้งสี่กลุ่มออกไปกว่าครึ่ง เพียงเพื่อไปตามหาหมอเทวดามาแก้พิษให้คุณชายโดยเร็วที่สุด แต่น่าเสียดายคนคนนี้มีนิสัยแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าไปหลบในูเาหรือป่าลึกห่างไกลแห่งใด หามาครึ่งปีแล้วข่าวคราวจากองครักษ์เงาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงมีแต่ข่าวร้ายเช่นเดิม
กงจื้อิขมวดคิ้วพลางจ้องที่มือขวาของตนเอง สีหน้าดูไม่ดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าวันนั้นเขาจะกินยาแสร้งตาย ยืดเวลาการออกฤทธิ์ของฉือฮว่าเฟินออกไป และแกล้งตายหนีออกจากเมืองซีจิงได้สำเร็จ แต่ประสิทธิภาพของยาก็มีจำกัด วันนี้แขนขวาที่ขยับได้เพียงข้างเดียวของเขาก็เริ่มเกิดอาการชา ไม่แน่ว่าอีกครึ่งเดือนเขาจะกลายเป็คนไร้ประโยชน์ที่ทำได้เพียงกินนอนขับถ่ายอยู่บนเตียงเท่านั้น…
ชายสูงแปดฉื่อที่งดงาม ผู้ที่มีอำนาจน่าเกรงขามขี่ม้านำทัพทหารนับหมื่นกลายเป็คนไร้ประโยชน์ ช่างน่าขันเสียจริง!
ท่านลุงอวิ๋นเห็นเส้นเืบนหลังมือของนายท่านปรากฏขึ้นมา ในใจก็รู้สึกเป็กังวลจนไม่รู้จะทำอย่างไร อยากจะปลอบใจแต่ในปากก็เต็มไปด้วยความขมขื่น
ประจวบกับที่ติงเหว่ยเข้ามาในเรือนพอดี ท่านลุงอวิ๋นดีใจจนหนวดกระดกขึ้นมา เขาทักทายเสียงดังผ่านหน้าต่างว่า “แม่นางติง ท่านไม่ได้มาหลายวันเลย? เชิญเข้ามานั่งก่อนเถอะ”
ติงเหว่ยรู้สึกประหลาดใจกับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ยังเข้ามาในห้องแล้วทักทายผู้าุโและหลาน ในที่สุดนางก็ยิ้มและพูดอย่างอ่อนโยน “ขออภัยที่ทำให้ท่านลุงอวิ๋นเป็ห่วง วันนี้ร่างกายข้าดีขึ้นก็เลยมาที่นี่ ข้าเห็นผู้ดูแลหลินซื้อเป็ดในหมู่บ้านกลับมา เืเป็ดมีฤทธิ์เย็นถ้าเติมวุ้นเส้นลงไปแล้วตุ๋นน้ำแกงกับผักกาดจะช่วยให้ความอบอุ่น บำรุงตับและกระเพาะ อีกทั้งพี่สะใภ้ของข้าเพิ่งเก็บผักกวางตุ้งที่สดใหม่จากบนยอดเขา ข้าเลยเอามาครึ่งตะกร้าตั้งใจว่าจะทำยำสักจานให้คุณชายทานสดๆ ใหม่ๆ ท่านลุงอวิ๋นคิดว่าอาหารกลางวันนี้เป็เช่นไร เหมาะสมหรือไม่?”
“ดี ดี ดี” สายตาของท่านลุงอวิ๋นแอบมองนายน้อยที่มีสีหน้าดูอบอุ่นขึ้นมาก เขาก็ดีใจจนพูดว่าดีออกมาหลายครั้ง ติงเหว่ยแอบถอนหายใจ ตอนที่นางกำลังจะขอตัวออกไปที่ห้องครัว เซียงเซียงก็ยกถาดใส่จานเข้ามา
ทันใดนั้นนางก็เห็นติงเหว่ยอยู่ในห้อง นางจ้องมองและะโออกมาทันที “เ้ามาถึงตอนไหน ท้องโตขนาดนี้ยังไปๆ มาๆ ที่จวนของพวกเราอยู่ได้ ช่างไม่ละอายจริงๆ!”
“เซียงเซียง!” ท่านลุงอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าหลานสาวของเขาจะพูดจาโหดร้ายเช่นนี้ เขาจึงตำหนิเสียงดังว่า “เ้าพูดแบบนี้กับแม่นางติงได้ยังไง ยังไม่รีบขอโทษอีก”
ปกติแล้วหากติงเหว่ยอดทนได้นางก็จะไม่ต่อปากต่อคำกับเซียงเซียง ทว่าเมื่อครู่ถูกด่าใส่หน้าโครมๆ ในใจของนางก็รู้สึกโมโหจึงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเ็า เม้มริมฝีปากแน่นและไม่พูดอะไรออกมา
เซียงเซียงรออยู่นานก็ไม่เห็นติงเหว่ยพูดอะไร ท่านปู่ของนางก็ดูเหมือนจะโกรธมาก นางจึงยอมย่อเข่าลงเล็กน้อยอย่างไม่เต็มใจเพื่อฝืนแสดงความขอโทษออกไป จากนั้นนางก็ไม่รอให้ท่านปู่พูดอะไร รีบถือถาดไปวางที่โต๊ะ แล้วยิ้มอย่างน่ารักก่อนพูดว่า “นายน้อย นี่คือโจ๊กเหอเถา [1] กับงาที่พ่อครัวจ้าวตุ๋น หลายวันมานี้ท่านกินแล้วบอกว่ารสชาติใช้ได้ นี่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ท่านก็กินอีกสักหน่อยเถอะ?”
ขณะที่พูดนางก็หยิบช้อนกระเบื้องตักโจ๊กไปใกล้ปากของกงจื้อิด้วยความกระตือรือร้น
กงจื้อิขมวดคิ้วเล็กน้อยอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา และอ้าปากเตรียมจะกลืนโจ๊กลงไป
ติงเหว่ยจ้องไปที่โจ๊กงาชามนั้น ในใจรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ นางพยายามที่จะใช้จมูกสูดกลิ่นเพื่อแยกแยะ แต่กลับเห็นกงจื้อิกำลังจะดื่มโจ๊กนั้นลงไป นางลังเลต่อไปไม่ได้จึงก้าวมาข้างหน้าแล้วยกมือปัดช้อนกระเบื้องตกลงไปบนพื้น
โจ๊กร้อนกระเด็นโดนร่างกายของเซียงเซียง นางใหันมากรีดร้องและผลักติงเหว่ยออกไปด้านข้าง
“เ้าคนชั้นต่ำ นึกไม่ถึงเลยว่าเ้าจะกล้าตีข้า?”
ติงเหว่ยถูกผลักเซออกไปสองสามก้าว ไม่ง่ายเลยที่นางจะจับขอบโต๊ะแล้วพยุงตัวให้มั่นคงได้ นางหันกลับมาเห็นท่านลุงอวิ๋นและกงจื้อิมองมาด้วยความสงสัยและประหลาดใจ นางอดไม่ได้ที่จะกลอกตา และพูดอย่างเ็าว่า “ข้าได้กลิ่นบางอย่างที่ผิดปกติจากโจ๊กนี่ ในนั้นอาจใส่อะไรบางอย่าง หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็เรียกท่านหมอซานมาตรวจสอบสักหน่อย”
“อะไรนะ?” ท่านลุงอวิ๋นได้ยินก็ใจนหน้าซีดขาว หยิบโจ๊กถ้วยนั้นมาถือไว้ในมือ ราวกับว่าในถ้วยนั้นไม่ใช่โจ๊ก แต่เป็ปีศาจที่จะออกมากัดคนเมื่อไรก็ได้
กงจื้อิก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป สองตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยและหันหน้าะโออกไปนอกหน้าต่าง “ไปเรียกซานอีมา!”
“รับทราบ” ดูเหมือนจะมีคนในบ้านตอบรับเบาๆ บรรยากาศทั้งภายในและภายนอกห้องเกิดความเงียบที่น่าขนลุก ติงเหว่ยคาดเดาว่าคนเมื่อครู่ต้องเป็องครักษ์เงาอย่างแน่นอน นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวตนของลุงและหลานสกุลอวิ๋นแท้จริงแล้วคือใครกันแน่ ทว่าคนที่ยิ่งรู้ความลับเยอะก็ยิ่งเป็อันตราย เื่นี้นางเข้าใจดีจึงได้แต่เก็บความสงสัยทั้งหมดไว้ในใจ
เซียงเซียงได้ยินที่ติงเหว่ยพูดว่าในโจ๊กมีอะไรบางอย่าง แล้วท่านปู่ก็แสดงออกราวกับว่ากำลังเจอศัตรูอย่างไรอย่างนั้น นางไม่ห่วงเม็ดข้าวที่ยังติดอยู่ที่อกของนาง และชี้นิ้วไปด่าทอติงเหว่ย “เ้าคนชั้นต่ำ เ้าช่างไม่รู้จักละอายใจ คิดอยากจะครอบงำนายน้อยแล้วยังใส่ร้ายพ่อครัวจ้าวอีก อีกเดี๋ยวท่านหมอซานมาจะต้องคืนความบริสุทธิ์ให้พ่อครัวจ้าว ถึงตอนนั้นเ้าจะยังมีหน้ามาที่จวนตระกูลอวิ๋นอีกไหม ถ้าข้าเป็เ้าข้าจะถือโอกาสนี้รีบวิ่งหนีหางจุกตูดออกไปแล้ว!”
ติงเหว่ยยื่นนิ้วก้อยออกมาแคะหู ท่าทางเหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ แต่ความหยิ่งยโสบนใบหน้าของนางนั้นแม้แต่คนบ้าก็ยังดูออก
เซียงเซียงกระทืบเท้าด้วยความเกลียดชัง ยังอยากจะยื่นมือไปดึงติงเหว่ย แต่ถูกท่านลุงอวิ๋นขวางไว้เสียก่อน กงจื้อิเหลือบมองติงเหว่ย ไม่รู้เพราะเหตุใดเส้นเืบนหลังมือก็หดกลับไป…
ไม่นานซานอีก็มาถึงอย่างรวดเร็ว เขาไม่พูดอะไรแล้วหยิบถ้วยโจ๊กในมือท่านลุงอวิ๋นไป เขาดมกลิ่นและชิมจากนั้นก็ควานหาผงยาที่มีสีแปลกๆ ในกระเป๋าข้างเอวของเขาแล้วโรยลงไปในโจ๊ก สุดท้ายก็คุกเข่าลงด้วยใบหน้ามืดมน
“นายท่าน ทั้งหมดนี้เป็เพราะความประมาทของผู้ใต้บังคับบัญชา โจ๊กถ้วยนี้ใส่ผงของเมล็ดฝูโซ่ว [2] หากกินเป็ประจำจะทำให้เสพติดและเป็เื่ยากที่จะเลิกได้ ยังดีที่ไม่ได้เป็อุปสรรคต่อโรคเก่าของนายท่าน ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าน้อยต้องตายอีกหมื่นครั้งก็ยังไม่สามารถไถ่โทษได้”
“ปัง!” ท่านลุงอวิ๋นได้ฟังแล้วสองขาก็อ่อนแรงจนคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว แล้วพูดเสียงสั่นว่า “บ่าว…ก็มีความผิดเช่นกัน”
มีเพียงเซียงเซียงเท่านั้นที่ยังะโอย่างไม่รู้เื่รู้ราว “พี่ซาน ท่านต้องตรวจให้ชัดเจน เมล็ดฝูโซ่วอะไรกัน ในโจ๊กนี้ใส่แค่งาและเหอเถาเท่านั้น พ่อครัวจ้าวบอกว่าดีต่ออาการป่วยของนายน้อย”
ไม่รอให้นางพูดจบ ท่านลุงอวิ๋นก็ทนไม่ไหว เขาตบนางอย่างแรงจนนางล้มลงไป “เ้าคนใช้ชั้นต่ำ กล้าสมคบคิดกับคนนอกลอบทำร้ายนายท่าน เ้า…ข้าจะฆ่าเ้าให้ตาย!”
ท่านผู้าุโโมโหจนเป็บ้าไปแล้ว เหตุการณ์ในวันนั้นอันตรายมากและเป็เพราะ์มีตานายท่านถึงหนีรอดออกมาได้ เดิมทีคิดว่าหนีออกมาห่างไกลเช่นนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาดอีก ไหนเลยจะนึกถึงพ่อครัวตัวเล็กๆ และที่คาดไม่ถึงคือคนผู้นั้นยังลากหลานสาวของเขามาพัวพันกับการลอบทำร้ายครั้งนี้ด้วย
เขาอุทิศทั้งชีวิตเพื่อรับใช้ตระกูลกงจื้อ เรียกได้ว่าทั้งสุขุมรอบคอบและระมัดระวังเป็อย่างมาก ไม่คิดเลยว่าเกือบจะโดนทำลายด้วยฝีมือหลานสาวของตนเอง
เซียงเซียงโดนตีจนมึนงง มือข้างหนึ่งกุมหน้าที่บวมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกน้อยใจจนอยากจะโต้ตอบ ทว่าเมื่อเห็นท่านปู่ตาแดงก่ำ ในที่สุดนางก็ใจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง
-----------------------------------------
[1] เหอเถา 核桃 หมายถึง ถั่วสมองหรือวอลนัท
[2] เมล็ดฝูโซ่ว 福寿籽 หมายถึง เมล็ดของดอกอโดนิส