หลิ่วไป๋เจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “นางอายุมากกว่าข้าหนึ่งปี”
น้ำชาในปากของจิ่วฟางเทียนฉีแทบพุ่งออกมา “นี่น่ากังวลตรงไหน... เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อนนะ”
จิ่วฟางเทียนฉีลดถ้วยชาลงก่อนจะนั่งตัวตรง มองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อด้วยท่าทีจริงจังแล้วเอ่ยว่า “หากเ้าเป็กังวล แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงได้ยอมรับแม่นางอูล่ะ”
การแสดงออกของหลิ่วไป๋เจ๋อยังคงราบเรียบ ไม่มีความผิดปกติใด
“ข้าไม่เคยคิดถึงเื่เหล่านี้มาก่อน”
จิ่วฟางเทียนฉีสูดหายใจเข้าลึก ถามด้วยท่าทีที่แทบไม่อยากจะเชื่อ “หมายความว่า ตอนนี้เ้ากำลังมานั่งคิดว่าข้าวที่หุงจะกินได้หรือไม่ หลังจากข้าวสารหุงเป็ข้าวสุก[1] แล้วน่ะหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อขมวดคิ้ว “แม้แต่มือนางข้าก็ยังไม่เคยจับ จะไปเคยหุงข้าวกับนางได้อย่างไรกัน”
จิ่วฟางเทียนฉีรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันทีทันใด คนผู้นี้มีความสามารถ ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ในที่สุดเขาก็ค้นพบสิ่งอีกฝ่ายทำไม่ได้แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึก หลิ่วไป๋เจ๋อผู้ที่คนภายนอกขนานนามว่าเป็บุตรแห่ง์ แท้จริงกลับไม่รู้ความเอาเสียเลย…
จิ่วฟางเทียนฉีโบกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะๆ เ้าไม่จำเป็ต้องกังวลมากเกินไป อารมณ์ความรู้สึกเป็เื่ที่ซับซ้อน บางครั้งก็ยากจะเข้าใจ พูดง่ายๆ ความรักคือการเอาใจใส่ของทั้งสองฝ่าย ส่วนเื่ของอายุที่เ้ากังวลเมื่อครู่ ข้าแนะนำว่าอย่าไปใส่ใจมากนัก ขอบอกกับเ้าตรงๆ สักเื่ บางทีอาจจะทำให้โล่งใจขึ้น”
“เื่อะไร”
จิ่วฟางเทียนฉีโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูของเขา กระซิบด้วยน้ำเสียงอันแ่เบาว่า “มารดาผู้ให้กำเนิดเ้าอายุมากกว่าบิดาของเ้าสองปี!”
หลิ่วไป๋เจ๋อตกตะลึง เขาไม่เคยรู้เื่นี้มาก่อน เหตุใดจิ่วฟางเทียนฉีถึงรู้ได้
“เ้ารู้ได้อย่างไร”
จิ่วฟางเทียนฉีลุกยืน ะโขึ้นไปบนศาลา แล้วนั่งลงทอดสายตามองต้นหลิวเขียวขจีที่เริงระบำอยู่ไกลๆ
“เ้ารู้เื่ที่เกิดขึ้นกับมารดาของเ้าหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “ข้ารู้แค่ว่านางเป็คนตระกูลมู่ เื่อื่นไม่รู้ เท่าที่จำได้ ท่านพ่อไม่เคยเอ่ยถึงเื่ท่านแม่ของข้าให้ฟังเลย”
จิ่วฟางเทียนฉีหันไปมอง กวาดสายตาผ่านเส้นผมสีเงินของหลิ่วไป๋เจ๋อ สีหน้าพลันเศร้าหมอง แต่ในชั่วพริบตาก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก มารดาของข้าเองก็มาจากเผ่ามู่เช่นกัน นางรู้จักมารดาผู้ให้กำเนิดเ้า ข้าจึงได้ยินนางพูดถึงก็เท่านั้น”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้าและเอ่ยว่า “จิ่วฟางฟูเหรินเป็คนเดียวในตระกูลมู่ที่รอดชีวิตมาได้ เื่นี้ข้ารู้”
จิ่วฟางเทียนฉียกมือขึ้นลูบปานดอกกล้วยไม้ตรงหว่างคิ้วและขมับ ดวงตาสั่นไหว จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับมาเอ่ยถาม
“จำตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรกได้หรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า “เมื่อหกปีก่อน ในป่าใต้พิภพ”
“ข้าสงสัยมาตลอดว่า เหตุใดเ้าถึงไปยังสถานที่อันตรายเพียงลำพังทั้งๆ ที่ยังเด็กเพียงนั้น หากิโยวไม่บังเอิญไปเจอเ้าคงตาย กลายเป็อาหารของหมาป่าไปแล้ว”
หลิ่วไป๋เจ๋อเผลอนึกถึงอะไรบางอย่าง มุมปากจึงกระตุกขึ้นเล็กน้อย “หากไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ข้าจะรู้จักกับเ้าและิโยวได้อย่างไร”
จิ่วฟางเทียนฉีเดาะลิ้นสองสามครั้ง ริมฝีปากกระตุกขึ้นแบบที่ไม่ค่อยเห็นได้บ่อยนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ
“เ้าไปทำอะไรที่นั่นกันแน่ ข้าอยากรู้และอยากถามเ้ามาตลอด แต่ก็ไม่มีโอกาส”
ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ขัดขวางการสนทนาระหว่างทั้งคู่ หลิ่วเฉิงเฟิงถือหม้อเหล็กใบใหญ่ หม้อนั้นยังคงมีควันร้อนพวยพุ่ง กลิ่นหอมกำจายไปตามละอองไอ
หลิ่วเฉิงเฟิงวิ่งมายังศาลา วางหม้อใบใหญ่ไว้ตรงหน้าจิ่วฟางเทียนฉี แล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เอ่ยอย่างมีความสุขว่า
“พี่จิ่วฟ่าง รีบกินข้าวเร็วๆ เข้า ข้าขอให้แม่ครัวตุ๋นตีนไก่ร้อยตีนให้ท่าน คงเพียงพอแล้วนะ”
หางตาของจิ่วฟางเทียนฉีกระตุก ในใจก่นด่าสาปแช่ง เ้าเด็กคนนี้คิดว่าข้าเป็หมูอย่างนั้นหรือ
เมื่อมองดูใบหน้าเล็กน่ารักที่มีลักยิ้ม เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของเฉิงเฟิงได้ มิเช่นนั้นจิ่วฟางเทียนฉีคงจะต้องคิดหาวิธีขอคืนดีกับคุณชายรองตะกูลหลิ่วซึ่งโกรธเคืองเขา
“เหอๆ มาๆ พี่หลิ่ว มากินข้าวด้วยกัน”
จิ่วฟางเทียนฉีอยากจะลากหลิ่วไป๋เจ๋อเข้ามาร่วมวง แต่อีกฝ่ายกลับแสดงออกว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตน
“ไม่หิว”
“ถึงไม่หิวก็ลองชิมดูก่อน เฉิงเฟิงอุตส่าห์สั่งแม่ครัวทำมาให้เป็พิเศษ…”
จู่ๆ หลิ่วเฉิงเฟิงก็ทำหน้าบูดบึ้งพร้อมปฏิเสธว่า “ไม่ได้ ข้าเตรียมสิ่งนี้ไว้ให้พี่จิ่วฟาง หลิ่วไป๋เจ๋อกินไม่ได้!”
จิ่วฟางเทียนฉีมองหม้อตีนไก่ที่เดือดปุดๆ รู้สึกอึดอัดใจเป็อย่างมาก พลันไร้ความอยากอาหาร
“ก่อเองต้องรับผิดชอบเอง”
หลังจากทิ้งคำพูดไว้ หลิ่วไป๋เจ๋อก็หันหลังจากไป ทิ้งให้จิ่วฟางเทียนฉีเผชิญหน้ากับหม้อตุ๋นตีนไก่ รวมทั้งสายตาที่เปล่งประกายของหลิ่วเฉิงเฟิง ช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียจริง!
ตามทางเดินทอดยาวที่เงียบงัน ในใจของหลิ่วไป๋เจ๋อโศกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นเขาเพียงอยากไปดูสถานที่ที่มารดาผู้ให้กำเนิดใช้ชีวิตอยู่ เหตุการณ์ที่ตระกูลมู่ถูกทำลายล้างเหมือนเป็เข็มฝังลึกอยู่ในใจ ไม่สามารถดึงออกได้ั้แ่ยังเด็ก ความเ็ปคอยกระตุ้นให้เขาค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นในเวลานั้น
่เวลาจื่อสือยามค่ำคืน ทุกอย่างเงียบสงัด หลิ่วไป๋เจ๋อกำลังพูดคุยกับจิ่วฟางเทียนฉี เล่าสถานการณ์ปัจจุบันของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานให้อีกฝ่ายรับรู้ อีกทั้งยังบอกเื่ลั่วจิ่วเอ๋อร์ให้ทราบด้วย
“เ้าจะบอกว่าลั่วจิ่วเอ๋อร์ที่เพิ่งถูกไถ่ตัวจากิเยวี่ยฟาง ได้เข้าไปอยู่ในอวิ๋นหลานซาน ทว่าไม่กี่วันต่อมานางก็ออกจากที่นั่นอย่างนั้นหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า เขาไม่ได้บอกกับจิ่วฟางเทียนฉีว่าได้รับข่าวเหล่านี้มาจากคนของิซิ่นถัง ก่อนหน้าที่ติดต่อไปยังิซิ่นถังก็เพื่อขอให้ทางนั้นช่วยหาข่าวในคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน
“หญิงผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็แน่ จากนิสัยของอวิ๋นจวา หากพบหญิงงามเช่นนั้นคงจะโอบกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อย นางเป็ใครกัน ตั้งใจเข้าไปทำอะไรในอวิ๋นหลานซาน”
หลิ่วไป๋เจ๋อรู้สึกว่าเื่นี้ดูแปลกๆ จึงเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ก่อนหน้าที่ข้าส่งจดหมายถึงเ้า ในตอนที่ตอบกลับมา เหตุใดจึงไม่บอกข้าว่าท่านผู้นำตระกูลจิ่วฟางก็เดินทางไปยังสำนักมิ่งเก๋อด้วย”
จิ่วฟางเทียนฉีถอนหายใจด้วยความขุ่นเคืองแล้วเอ่ยตอบ “ท่านแม่ไม่ให้ข้าพูด เพราะหากเื่ที่ผู้นำทัพของเทือกเขาจู่เสียไม่อยู่แพร่กระจายออกไป จะทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอน ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้เฟิ่งเทียนก็มิได้สงบอย่างที่คิด หากข่าวนี้หลุดไป เกรงว่าจะทำให้ผู้คนหวาดกลัว”
หลิ่วไป๋เจ๋อเข้าใจแล้วว่าตนเองประมาทกับเื่นี้เกินไป
“ยังมีอีกเื่ เ้ารู้หรือไม่ ในป่าใต้พิภพของดินแดนเจ๋อ ผู้ใดคือคนที่สามารถใช้เสียงนกหวีดควบคุมพลังิญญาได้”
จิ่วฟางเทียนฉีตบต้นขาฉาดหนึ่งแล้วพูดว่า “หากเ้าไม่พูดถึง ข้าก็เกือบจะลืมแล้ว ครั้งก่อนที่ข้าเกือบตายบนหน้าผาอันมืดมิดก็เพราะเ้าคนที่ถือแส้ผู้นั้น อีกอย่างคนคนนั้นยังสามารถใช้พลังิญญาได้ เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องเดินทางกลับจิ่วฟางกวนเพื่อสอบถามท่านแม่เกี่ยวกับเื่นี้โดยเฉพาะ”
เขาจิบชาแล้วเอ่ยต่อ “หลังจากสอบถาม ปรากฏว่าท่านแม่ของข้ารู้เื่นี้จริงๆ”
“เอ๋?”
“เพราะคนตระกูลมู่มีปานรูปดอกกล้วยไม้ จึงอาศัยอยู่ในป่าใต้พิภพมาได้ตลอดหลายปี ต้องพบเจอกับสัตว์ร้ายจากจิ่วโยวบ่อยครั้ง ท่านแม่บอกว่า ตระกูลจิ้งจอกเก้าหางในจิ่วโยวมีทักษะเวทย์นี้เป็ทักษะประจำเผ่า เรียกว่านกหวีดิญญา ทักษะนี้คนทั่วไปไม่สามารถร่ำเรียนได้ ต้องสืบสายเืโดยตรงจากเผ่าจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้น อีกทั้งจำเป็ต้องมีพลังิญญาสูงเป็พิเศษ มิเช่นนั้นแม้จะร่ำเรียนได้ แต่หากนำมาใช้แล้วเกินกำลังก็จะย้อนกลับเข้าตนเอง”
“ย้อนกลับอย่างนั้นหรือ…”
หลิ่วไป๋เจ๋อแตะขลุ่ยดินเผาข้างเอว ก่อนจะครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าการโจมตีด้วยเสียงขลุ่ยของตนนั้น ถ่ายทอดมาจากสายเืเดียวกันเหมือนกับนกหวีดพลังิญญาหรือไม่ พลังเวทย์ในการใช้เสียงเป่าเป็สิ่งที่เขาค้นพบโดยบังเอิญ เหตุใดถึงดูคล้ายกับทักษะเวทย์นกหวีดิญญา เหมือนจะต้องไปเทือกเขาจู่เสียเพื่อขอให้จิ่วฟางฟูเหรินไขข้อสงสัยให้เสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น คนที่อยู่ตรงผาอันมืดมิดคงมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจิ้งจอกเก้าหางของจิ่วโยวใช่หรือไม่” ทั้งสองเห็นด้วยกับการคาดเดานี้
“แม้จะบอกว่าฮ่วนิหยวนในจิ่วโยวมีสัตว์ร้ายมากมาย แต่ต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบ แม้ในจิ่วโยวจะมีเผ่าจิ้งจอกเก้าหางเป็ผู้ควบคุม แต่ิเจ่าก็ถือเป็สถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย”
จิ่วฟางเทียนฉีกล่าวต่อ “ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ในระยะนี้มักมีเื่ราวเกิดขึ้นที่นั่นบ่อยๆ”
“เหตุใดจึงเป็เช่นนั้นล่ะ” หลิ่วไป๋เจ๋อถาม
“บอกตามตรง ในฐานะที่มารดาของข้าเป็คนตระกูลมู่ ทำให้ไวต่อลมหายใจในป่าใต้พิภพมาก เมื่อมีการเคลื่อนไหวใดที่ผิดปกติก็จะปวดบริเวณหว่างคิ้ว อาการนี้เกิดขึ้นในวันที่ตระกูลมู่ถูกทำลายล้าง หลังจากผ่านไปกว่าสิบปีก็ไม่เกิดขึ้นอีก แต่ใน่หิมะโปรยปรายเมื่อหกปีที่แล้ว จู่ๆ ท่านแม่ก็ปวดบริเวณหว่างคิ้วบ่อยครั้ง ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ต่างก็กังวลมาก ในตอนนี้ยังมีผู้ใช้นกหวีดิญญาปรากฏตัวในเมืองหลวงอีก แสดงว่าเผ่าจิ้งจอกเก้าหางจะต้องแอบเข้ามาในแดนเจ๋อแล้วเป็แน่ ส่วนวิธีที่พวกเขาผ่านม่านหมอกพิษของป่าใต้พิภพมาได้นั้น ข้าไม่สามารถรู้ได้จริงๆ”
หลิ่วไป๋เจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้า้าสืบหาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่สามาถหามูลเหตุที่เหมาะสมได้นี่”
“มูลเหตุอะไร”
“คนที่จะสามารถผ่านม่านหมอกพิษจากป่าใต้พิภพได้ตามใจชอบโดยไม่เป็อะไร จะเป็ใครได้ล่ะ”
จิ่วฟางเทียนฉีตอบโดยไม่ลังเล “ต้องเป็คนของตระกูลมู่อย่างแน่นอน ในดินแดนเจ๋อมีเพียงคนจากตระกูลมู่ที่สามารถอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในป่าใต้พิภพได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากม่านหมอกพิษ...” เสียงพูดของเขาชะงักลง สีหน้าตกตะลึงพลันเผยออกมา
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง!” จิ่วฟางเทียนฉีตบเข่าฉาด เข้าใจสถานการณ์ในทันที
“เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยนึกถึง การทำลายล้างตระกูลมู่บดบังดวงตาข้าเอาไว้ ทำให้มองข้ามประเด็นนี้ไป ในเมื่อท่านแม่ของข้ารอดพ้นจากการเหตุการณ์นั้นมาได้ ทำไมผู้อื่นจะรอดชีวิตบ้างไม่ได้ล่ะ”
ถึงจะเข้าใจเื่ราวแล้ว แต่จิ่วฟางเทียนฉีก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเลย ในทางกลับกันยิ่งกังวลมากกว่าเดิม หากคนตระกูลมู่ที่รอดชีวิต หลบหนีไปในม่านหมอกพิษเข้าไปในฮ่วนิหยวน มีความเป็ไปได้ที่จะลงหลักปักฐานอยู่ในจิ่วโยว เมื่อเป็เช่นนั้น ภายใต้ความช่วยเหลือจากคนของตระกูลมู่ คงไม่ใช่เื่ยากที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายจากที่นั่นเดินทางผ่านป่าใต้พิภพมาได้
นอกจากขอนไม้ดำที่สามารถใช้ในการเดินทางผ่านม่านหมอกพิษโดยไม่ต้องกลัวอะไร เืของคนในตระกูลมู่ยังสามารถล้างพิษจากม่านหมอกของป่าใต้พิภพได้ในระดับหนึ่ง
มีเพียงจิ่วฟางเทียนฉีและจิ่วฟางเจวี๋ยเท่านั้นที่รู้เื่นี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้เป็มารดาอย่างมู่รุ่ยอี้ พวกเขาจึงไม่บอกเื่นี้กับใคร เพราะจิตใจของมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง ไม่อาจรู้ได้ว่าใครจะคิดร้ายหรือไม่
ทั้งคู่พูดคุยกันจนฟ้าสางจึงแยกย้ายไปพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็หลิ่วไป๋เจ๋อหรือจิ่วฟางเทียนฉี ต่างก็มีความคิดและความลับอยู่ในใจ
...
สามวันผ่านไป ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานได้เปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนแล้ว
—-------------------------
[1] ข้าวสารหุงเป็ข้าวสุก หมายถึง สายเกินแก้แล้ว
