ใเบ้าตาของไป๋เสียนอันแดงก่ำเนื่องจากบรรยากาศพาไป เขาลุกขึ้นก่อนจะวางมือของไป๋หว่านหนิงไว้ในมือของฮั่วิเชิน
“วันนี้กระหม่อมต้องออกจากเมืองหลวง วันหน้าขอไท่จื่อโปรดทรงปฏิบัติต่อหนิงเอ๋อร์ด้วยความกรุณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ามือของไป๋หว่านหนิงร้อนผ่าว พวงแก้มแดงระเรื่อ
ฮั่วิเชินดึงมือของตนเองกลับไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะประสานมือให้ไป๋เสียนอัน “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ”
ไป๋เสียนอันเบือนหน้าไปมองบุตรีทั้งสองที่นั่งแยกกันคนละที่ เขาถอนหายใจโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็หมุนกายจากไป
“...”
หากเป็ไปได้ ไป๋เซี่ยเหอไม่อยากมาปรากฏตัวที่นี่แม้แต่น้อย
เมื่อกลับมาถึงเรือนสุ่ยฉิง เซี่ยถิงก็นำเกาทัณฑ์แขนเสื้อที่วิจิตรงดงามมาด้วยหลายชิ้น “นายท่าน ใช่แบบนี้หรือไม่ขอรับ?”
“ใช่”
นางใช้นิ้วลูบเกาทัณฑ์แขนเสื้อ ความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นในใจ
ราวกับนางมีชีวิตอีกคราแล้ว
ถูกต้อง นางมีชีวิตอีกคราแล้ว ไม่ใช่จิ้งจอกน้อย ไม่ใช่ไป๋เซี่ยเหอ ทว่าเป็ตัวนางเอง จิ้งจอกน้อยทหารรับจ้าง!
“ไปเตรียมไว้อีกจำนวนหนึ่ง”
ข้อดีของเกาทัณฑ์แขนเสื้ออยู่ที่นอกจากสามารถโจมตีประชิดตัวได้แล้ว ยังโจมตีระยะไกลได้ด้วย ทว่าข้อเสียอยู่ที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองอาวุธ
จากนั้นไป๋เซี่ยเหอก็ฝึกซ้อมกับใบไม้ร่วง
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม ไม่ว่าความเร็วหรือความแม่นยำ ล้วนแต่มีความก้าวหน้าทั้งสิ้น
“วรยุทธ์ของคุณหนูใหญ่สกุลไป๋ยอดเยี่ยมนัก”
ไป๋เซี่ยเหอมุ่นคิ้ว จากนั้นก็นั่งยองๆ เก็บเกาทัณฑ์แขนเสื้อโดยไม่สนใจสิ่งใด
“เ้าจะไม่อธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือ?”
“อธิบายอะไร?”
นางกับฮั่วิเชินเกี่ยวข้องอะไรกัน?
“เ้ารู้จักกับเสด็จอาได้อย่างไร? แล้วรู้จักกันมานานเพียงใดแล้ว?”
“ไม่เกี่ยวกับท่าน”
น้ำเสียงของไป๋เซี่ยเหอเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง กระทั่งแฝงไว้ด้วยการต่อต้านเล็กน้อย
นางเกลียดเมื่อผู้อื่นใช้น้ำเสียงตั้งคำถามกับนาง
“ตอนแรกเ้าเป็ไท่จื่อเฟยของข้า”
ไป๋เซี่ยเหอหันไปมองฮั่วิเชินด้วยสีหน้ามืดครึ้มเสียจนน่ากลัว เมื่อสายตาประสานกัน ก็ให้ความรู้สึกราวกับเป็คนแปลกหน้าอย่างไรอย่างนั้น
“ไท่จื่อเองก็ทราบว่านั่นคือตอนแรก ทว่าตอนนี้ท่านอาศัยอะไรมาตั้งคำถามเล่า? นอกจากนี้ตอนแรกในสายตาของท่านก็มีเพียงไป๋หว่านหนิงเพียงผู้เดียว ข้าเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย?”
ฮั่วิเชินกำมือแน่น “นึกไม่ถึงว่าเ้าจะกล้ามีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่นยามที่มีฐานะเป็ไท่จื่อเฟย...”
“เฮอะ”
ไป๋เซี่ยเหอส่งเสียงเหยียดหยามออกมา แววตาของนางเต็มไปด้วยความเหน็บแนม ทำให้ฮั่วิเชินจำต้องหยุดคำพูดอย่างเสียไม่ได้
“ในเมื่อตนเองหน้าไม่อาย ก็อย่าคิดว่าผู้อื่นจะหน้าไม่อายเหมือนตนเองไปหมดสิ”
รอยสีแดงบนลำคอของฮั่วิเชินนั้นเห็นได้ชัดเจน เดาได้ไม่ยากว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
สกปรกเสียจริง
ไป๋เซี่ยเหอถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ฮั่วิเชินเห็นสายตาของไป๋เซี่ยเหอก็เข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปดึงคอเสื้อของนาง “ที่แท้เ้าก็อิจฉา อิจฉาที่ข้าโปรดปรานหนิงเอ๋อร์สินะ!”
“ท่านอย่าทำให้ข้าขยะแขยงจะได้หรือไม่? บุรุษที่หลับนอนกับสตรีนับหมื่นอย่างท่าน หากมอบให้ข้า ข้าย่อมรังเกียจด้วยซ้ำ!”
“บังอาจ!” ฮั่วิเชินโมโหจนสีหน้ามืดครึ้ม “นับแต่โบราณ บุรุษก็มีสามภรรยาสี่อนุ นอกจากนี้ข้าคือไท่จื่อ คือฮ่องเต้ในอนาคต นึกไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าพูดเช่นนี้ เ้ากำลังดูถูกข้า สตรีขี้อิจฉาเช่นเ้า ข้าเองก็พบเจอมาไม่น้อย”
“เช่นนั้นก็รีบจากไปเสีย!”
ฮั่วิเชินสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน “ที่แท้เ้าตบแต่งให้เสด็จอาเพียงเพราะในจวนของเขาไม่มีสตรีสินะ”
ไป๋เซี่ยเหอไม่ตอบ นั่นแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ
จู่ๆ นางก็นึกถึงถ้อยคำที่ฮั่วเยี่ยนไหวเคยพูดไว้ในวันที่ไฟไหม้ตำหนักไท่จื่อ
“เ้ารอก่อนเถิด ในไม่ช้าข้างกายของเสด็จอาก็จะมีอนุคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวขึ้นเหมือนกัน”
ฮั่วิเชินยิ้มชั่วร้าย สตรีที่เขาไม่้าย่อมไม่สามารถมีความสุขได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรตายอย่างน่าอนาถเสียมากกว่า
“ไท่จื่อโปรดวางใจ แม้ว่าเขาจะกล้ารับอนุ ข้าก็จะทุบตีพวกนางให้ออกจากจวนไปทีละคน!”
บุรุษของนาง ย่อมเป็ของนางเพียงผู้เดียว!
“สตรีขี้อิจฉา เ้าคือสตรีขี้อิจฉาที่ไร้เหตุผล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเสด็จอาจะตามใจเ้าเช่นนี้”
หากไม่ตามใจ เช่นนั้นก็แยกทาง
ยอมขาดแคลนดีกว่ามีของด้อยคุณภาพ!
หลังโต้เถียงกับฮั่วิเชินเรียบร้อยแล้ว ไป๋เซี่ยเหอก็รีบกลับมาที่เรือนของตนเองทันที กระทั่งลืมถามด้วยซ้ำว่าฮั่วิเชินมาทำอะไร
“คุณหนู นี่คือเทียบเชิญที่ไท่จื่อทิ้งไว้ให้ขอรับ”
“ในนั้นมีเนื้อหาว่าอย่างไร?”
เซี่ยถิงพลิกดูแวบหนึ่ง “สามวันให้หลัง ฝ่าาทรงเชิญทุกคนไปพักผ่อนหย่อนใจที่เขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ขอรับ”
เื่เช่นนี้เกิดขึ้นทุกปี ไม่แปลกอันใด
ไป๋เซี่ยเหอครุ่นคิด “ฮั่วเยี่ยนไหวก็ไปใช่หรือไม่?”
เซี่ยถิงชะงักไปเล็กน้อย “คงไปกระมังขอรับ”
เซ่อเจิ้งอ๋องนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตนเอง ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วเขาจะไปหรือไม่ไป ผู้ใดก็ไม่อาจบอกได้
ไป๋เซี่ยเหอมองไปยังทิศทางของจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้เป็ห่วงเขาเล็กน้อย
“อีกสามวันให้หลัง เ้าพาฝูเอ๋อร์ไปรอข้าที่เขตล่าสัตว์ ให้รีบขึ้นรถม้าแต่เช้า โดยให้เหตุผลว่าข้าป่วย”
แม้ว่าเซี่ยถิงจะสงสัย ทว่าเขาก็ไม่ได้ถาม
ยามกลางคืน ไป๋เซี่ยเหอมองขวดกระเบื้องบนโต๊ะ นางกัดฟัน จากนั้นก็กรีดแขนแล้วปล่อยให้เืสดๆ ไหลลงไปในขวด
จะทำหกไม่ได้เป็อันขาด
เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ห้ามเื นางเก็บขวดกระเบื้องด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็นอนลงบนเตียง
ยามดึก สายลมยามราตรีเย็นเยียบเล็กน้อย
ณ เรือนสุ่ยฉิงแห่งจวนแม่ทัพไป๋
แสงสีขาวสายหนึ่งลอยข้ามกำแพงออกไป จากนั้นก็อันตรธานหายไปท่ามกลางความมืดมิดของราตรี หลงเหลือไว้เพียงเส้นขนนุ่มๆ สีขาวไม่กี่เส้นบนพื้น
สิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนเซี่ยถิงที่เฝ้ายามอยู่ที่เรือนสุ่ยฉิงไม่แม้แต่จะสังเกตเห็น
ไป๋เซี่ยเหอวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ก่อนจะวิ่งเข้าไปในเรือนอันหรูหราหลังหนึ่ง
จวนเซ่อเจิ้งอ๋องดับไฟหมดแล้ว ทั้งจวนตกอยู่ในความเงียบสงัด
มีเพียงตำแหน่งของห้องหนังสือที่ไฟยังคงสว่างไสว
เขายังไม่หลับ!
จิ้งจอกน้อยวิ่งไปทางห้องหนังสือด้วยความคุ้นเคยในเส้นทาง ราวกับเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ของเรือนตนเองก็ไม่ปาน
นางไม่เคยมีความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ยามอยู่ในจวนสกุลไป๋
“ท่านอ๋อง ข้าต้มน้ำแกงให้ท่าน ท่านดื่มสักหน่อยเถิด อดนอนเช่นนี้จะเสียสุขภาพเอานะเ้าคะ”
เสียงของสตรี?
ฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง
ร่างสีขาวหิมะะโขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นดวงตาสีดำขลับก็มองลงมายังเบื้องล่าง
โหยวพิงถิง?
เหตุใดนางถึงได้อยู่ในจวนเซ่อเจิ้งอ๋องยามดึกดื่นเช่นนี้?
ประตูถูกเปิดจากด้านในและปิดลงอย่างรวดเร็ว
อิ๋งเฟิงยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว “อันหนิงจวิ้นจู่ ท่านอ๋องบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
นอนหลับแล้วแต่ไฟยังสว่าง?
หลอกผู้ใดกัน?
นิ้วของโหยวพิงถิงที่ถือชามอยู่สั่นเทาเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านอ๋อง ข้าไม่ได้มารบกวนจริงๆ ท่านก็ทราบนี่เ้าคะว่าข้าไม่มีที่ไปแล้ว”
อิ๋งเฟิงไม่ตอบ ภายในห้องหนังสือก็เงียบสนิทเช่นเดียวกัน
มีเพียงเสียงของโหยวพิงถิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น “ในจวนแม่ทัพเวยอู่มีเงาของท่านพ่ออยู่ทุกที่ ข้าคิดถึงเขาเหลือเกิน หัวใจของข้าทรมานจนเ็ป ข้ากลัวว่าข้าจะเสียสติไปเ้าค่ะ”
สุดท้ายแล้วเสียงของฮั่วเยี่ยนไหวก็ดังแว่วมาจากในห้องหนังสือ น้ำเสียงฟังดูเฉยเมย ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความจนใจ
“ข้างนอกอากาศหนาว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
คิ้วที่ขมวดมุ่นจนเป็ก้อนของจิ้งจอกน้อยที่หมอบอยู่บนหลังคาจึงค่อยๆ คลายออก
โหยวพิงถิงเองก็ไม่ได้ดื้อรั้น หลังจากมอบน้ำแกงให้อิ๋งเฟิงแล้วก็หมุนกายจากไป ร่างบอบบางนั้นยิ่งดูนุ่มนวลเมื่ออยู่ท่ามกลางสายลมหนาว
อิ๋งเฟิงเข้าไปในห้องหนังสือก่อนจะปิดประตู
จิ้งจอกน้อยช้าไปหนึ่งก้าว นางเข้าไปไม่ได้เพราะประตูถูกปิดแล้ว นางโมโหเสียจนต้องแยกเขี้ยวและตะปบเล็บ!
โชคดีที่ยังมีอีกวิธี
ไป๋เซี่ยเหอกระโจนเข้าไปทางหน้าต่างห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก้อนเล็กสีขาวก็ขดเป็ก้อนกลม และใช้อุ้งเท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างปิดดวงตาเอาไว้
ความเ็ปจากการที่ร่างกายตกลงบนพื้นกลับไม่เกิดขึ้นอย่างที่คาดการณ์ไว้
อุ้งเท้าดอกเหมยที่มีขนปุกปุยแยกออกจากกันเล็กน้อย ดวงตาโตสีดำขลับมองไปโดยรอบ
นึกไม่ถึงว่านางจะบังเอิญตกลงมาในอ้อมแขนของฮั่วเยี่ยนไหว
ทว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้นางใที่สุด
สิ่งที่ทำให้นางใที่สุดนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่อิ๋งเฟิงคาบซี่โครงครึ่งชิ้นไว้ในปาก!
อิ๋งเฟิงถือน้ำแกงชามนั้นไว้ในมือ เห็นได้ชัดว่าเป็น้ำแกงที่โหยวพิงถิงยื่นให้เขาเมื่อครู่
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้