บทที่ 2:สตรีวิปลาสในเรือนสลัม
ความเ็ป...
มันเป็สิ่งแรกที่กระชากสติของหลินเจียหนิงให้กลับคืนมาอีกครั้ง ความเ็ปที่ท้องน้อยราวกับถูกบิดคว้าน ตามมาด้วยความเย็นเยียบที่กัดกินไปถึงไขกระดูก และกลิ่นคาวเืที่คละคลุ้งจนแทบสำลัก
"เสวียนหรง!"
นั่นคือคำแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากแห้งผากของนาง ดวงตาเบิกโพลง พยายามกวาดมองไปรอบกายเพื่อค้นหาร่างของชายที่ถูกแสงสว่างกลืนกินไปพร้อมกับนาง แต่ภาพที่เห็นกลับบดขยี้ความหวังจนแหลกละเอียด
ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลหลวงซิงเฉิง...
นางอยู่ในห้องไม้ซอมซ่อที่เต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นหนาเตอะ ร่างของนางสวมเพียงอาภรณ์ผ้าป่านเก่าขาด นอนจมกองเือยู่บนพื้นฟางเน่าๆ ที่เย็นเฉียบ
แล้วความทรงจำที่ไม่ได้เป็ของนางก็ทะลักเข้ามาในหัวอีกครั้ง...ภาพชีวิตอันน่าสมเพชของเด็กสาวนาม จ้าวิ่หลาน ผู้ถูกทอดทิ้ง ถูกรังแก และสุดท้าย...ถูกวางยาพิษจนตายอย่างอนาถาด้วยน้ำมือของแม่เลี้ยงใจั์
หลินเจียหนิงนอนนิ่งงันอยู่บนพื้น ร่างกายของจ้าวิ่หลานสั่นสะท้าน แต่จิตใจของศัลยแพทย์อันดับหนึ่งกลับเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว ความตระหนกถูกแทนที่ด้วยความเดือดดาลอันเงียบงัน
พวกมันฆ่าเด็กคนนี้...และตอนนี้พวกมันกำลังจะฆ่าฉัน
ยังไม่ทันที่นางจะได้วางแผนต่อ เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่หน้าประตู ร่างของสาวใช้ในชุดสีมอซอคนหนึ่งเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามา ในมือถือถาดไม้ที่ว่างเปล่า คงจะมารอดูผลงานและเก็บถ้วยาพิษกลับไป
"คุณหนูสาม...ตายรึยัง..." สาวใช้ที่ชื่อหยางซูพึมพำเสียงค่อย ขณะที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
วินาทีที่สายตาของหยางซูสบเข้ากับดวงตาที่ลืมโพลงและเปื้อนเืของจ้าวิ่หลาน...
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!"
เสียงกรีดร้องแหลมสูงราวกับได้เห็นภูตผีปีศาจกลางวันแสกๆ ดังลั่นไปทั่วบริเวณ หยางซูเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด นางทำถาดไม้ในมือหล่นดังลั่น ก่อนจะหันหลังวิ่งสะดุดชายกระโปรงตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานหนีออกไปจากเรือนเก็บฟืนราวกับมีเพลิงนรกไล่ตามมา
"ปีศาจ! คุณหนูสามกลายเป็ปีศาจไปแล้ว!"
เสียงร้องของนางค่อยๆ จางหายไป แต่คำพูดนั้นได้ทิ้งะเิเวลาลูกใหญ่ไว้ให้ิ่หลานแล้ว
พวกมันรู้แล้วว่าข้ายังไม่ตาย...พวกมันกำลังจะกลับมา!
เวลามีไม่มาก! นางต้องรีบลงมือ!
สัญชาตญาณแพทย์เข้าควบคุมทุกอย่าง นางประเมินสภาพร่างกายตัวเองอย่างรวดเร็ว ภาวะช็อกจากการเสียเื...พิษต้านการแข็งตัวของเื...หากไม่ได้รับการรักษาภายในหนึ่งชั่วยาม นางได้ตายจริงสมใจพวกมันแน่
ความหวังเดียว...คือสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ติดตัวนางมา
นางกัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างแรงจนเืซิบ แล้วจงใจป้ายหยดโลหิตสีแดงสดของตนลงบนกำไลหยกสีเทาหม่น
วูบ!
แสงสีเขียวมรกตอันอบอุ่นสว่างวาบขึ้นจากกำไล และในพริบตา...นางก็เข้ามาอยู่ใน "ตำหนักพันโอสถ" อีกครั้ง
"นายท่าน...ร่างกายของท่านอยู่ในสภาวะวิกฤต" เสียงจิตแห่งโอสถดังขึ้นทันที
"ข้ารู้!" ิ่หลานตอบเสียงห้วน "ยาแก้พิษบุปผาโลหิตสลายที่ออกฤทธิ์เร็วที่สุด!"
[กำลังสร้าง...โอสถทิพย์ฟื้นฟูโลหิต] หน้าจอแสงปรากฏขึ้น [คำเตือน: พิษได้ซึมลึก จำเป็ต้องใช้สมุนไพรเสริมเพื่อล้างพิษตกค้าง แนะนำ 'หญ้าเกล็ดั' พบได้ตามที่ชื้นแฉะริมกำแพงเก่า]
ขวดยาหยกขาวปรากฏขึ้นบนแท่นศิลา นางรีบคว้ามันมาดื่มรวดเดียวจนหมด ความอบอุ่นแห่งชีวิตแผ่ซ่านไปทั่วร่าง อาการเืไหลไม่หยุดทุเลาลงทันที
นางไม่รอช้า รีบออกจากมิติกลับสู่เรือนเก็บฟืน ร่างกายยังคงอ่อนแอ แต่ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว นางพยุงตัวลุกขึ้น เดินไปที่มุมห้องซึ่งมีรอยชื้นจากน้ำฝนรั่วซึม และที่นั่น...ข้างกอวัชพืชรกๆ เธอเห็นหญ้าต้นเล็กที่มีใบเป็เกล็ดซ้อนกันงอกอยู่สองสามต้น 'หญ้าเกล็ดั' ไม่ผิดแน่!
นางเด็ดมันมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ นี่คือ 'หลักฐาน' สำหรับการรอดชีวิตของนาง
ครืด...
เสียงประตูไม้ถูกผลักเข้ามาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่หยางซู ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือหญิงสูงวัยในชุดสีเทาเข้ม ใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว...หลี่มัวมัว คนสนิทของฮูหยินรองหลิวซื่อ
ในมือของนางถือถาดไม้ที่วางชามกระเบื้องบิ่นๆ ใบหนึ่งไว้ ภายในมีเพียงข้าวต้มใสจนแทบจะเป็น้ำเปล่ากับผักดองสองสามชิ้น
"คุณหนูสาม" หลี่มัวมัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก เมื่อเห็นิ่หลานยืนอยู่ได้แม้จะโซซัดโซเซ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ "ฮูหยินรองเป็ห่วง กลัวท่านจะหิวจนสิ้นใจไปเสียก่อน จึงให้บ่าวนำอาหารมาให้"
คำพูดเหมือนแสดงความห่วงใย แต่ความหมายที่ซ่อนเร้นคือการมาดูให้แน่ใจว่านางตายแล้วหรือยัง
จ้าวิ่หลานมองนางนิ่ง สายตาของเธอไม่ได้หวาดกลัวหรือวิงวอนเหมือนเช่นเคย แต่กลับสงบนิ่งและลุ่มลึกจนน่าประหลาดใจ
"ขอบใจหลี่มัวมัวที่เป็ห่วง" ิ่หลานกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยแต่ชัดเจน "แต่ข้าว่า...ท่านน่าจะเอาข้าวต้มถ้วยนี้ไปให้หยางซูจะดีกว่ากระมัง"
หลี่มัวมัวชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงอย่างจับผิด "เหตุใดคุณหนูจึงกล่าวเช่นนั้น?"
จ้าวิ่หลานยิ้มบางเบา รอยยิ้มนั้นไม่สาสมกับสภาพของนางเลยแม้แต่น้อย
"เมื่อครู่นี้นางดูขวัญหนีดีฝ่อไปไม่น้อย คงต้องใช้เวลาปลอบขวัญอีกนาน อีกอย่าง...คนที่มีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกอยู่บ่อยๆ ไม่ควรกินของเย็นๆ ในเวลาที่อากาศแปรปรวนนะเ้าคะ...เดี๋ยวโรคจะกำเริบเอาได้"
ฉ่า!
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงกลางใจของหลี่มัวมัว! เื่ที่หยางซูเจ็บหน้าอกเป็โรคประจำตัวนั้น มีเพียงนางกับฮูหยินรองเท่านั้นที่รู้ เพราะเป็คนจัดยาให้!
เด็กเหลือขอนี่...มันรู้ได้อย่างไร!?
บัดนี้ แววตาที่หลี่มัวมัวมองจ้าวิ่หลานไม่ได้มีเพียงความดูแคลนอีกต่อไป แต่ฉายแววแห่งความตื่นตระหนกและหวาดระแวงอย่างปิดไม่มิด
สตรีวิปลาสที่ควรจะนอนรอความตายอย่างเงียบๆ ในเรือนสลัม...เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไป!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้