หยางหนิงทำท่าทางเป็ผู้ใหญ่ในร่างเด็กแล้วพูดว่า “หลายครั้ง สิ่งที่เราได้ยินมักจะไม่สู้สิ่งที่เรามาเห็นด้วยตา ถึงแม้สิ่งที่เราเห็นด้วยตาในหลายครั้งก็อาจจะไม่ใช่เื่จริงก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าเราฟังอย่างเดียว เราอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เื่ที่ดินศักดินาเราได้ยินจากปากคนอื่นทั้งนั้น ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราได้เห็นด้วยตา มันก็ดีกว่าที่เราคาดเดาจากการฟัง”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์พูดถูก ข้าประมาทเอง หากไม่ใช่เ้า ตอนนี้ข้าก็ยังอยู่ในกะลา” สายตาของนางเปลี่ยนเป็ความโกรธแล้วพูดต่อว่า “พรุ่งนี้ข้าจะถามพ่อบ้านใหญ่ ว่าทำไมเจียงหลิงถึงกลายเป็เช่นนี้?” ทันใดนั้นเองนางก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ สายตาก็เปลี่ยนไป เหมือนแสร้งทำเป็ยิ้มแล้วหันไปมองหยางหนิง แล้วถามว่า “หนิงเอ๋อร์ ข้าถามเ้าหน่อย เ้าไปเรียนวิชาพวกนั้นมาจากที่ใด?”
“วิชาอะไรรึ?”
“เ้าอย่ามาทำเป็ไขสือ” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ไม่ดีนักแล้วถามขึ้นว่า “วรยุทธ์ของเ้า ใครถ่ายทอดให้เ้ากันแน่? อย่าบอกนะว่าพวกต้วนชางไห่แอบสอนให้เ้า?”
หยางหนิงกลัวคำถามนี้ของกู้ชิงฮั่นมากที่สุด ทำได้เพียงทำเป็ไม่รู้เื่แล้วพูดว่า “ข้าเกิดในตระกูลนักรบ รู้วิชาการต่อสู้บ้างเสียหน่อยก็ไม่เห็นว่าจะแปลกอะไร”
“เหตุใดข้าจะไม่รู้เล่า?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วพูดว่า “หลายปีก่อนข้าให้เ้าฝึกวรยุทธ์พร้อมกับเหล่าองครักษ์ในจวนโหว เ้าไม่สนใจเลย แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเป็วรยุทธ์ขึ้นมาได้เล่า?”
หยางหนิงกำลังคิดว่าจะอธิบายให้กู้ชิงฮั่นฟังอย่างไรดี เพราะยังไงกู้ชิงฮั่นก็เป็หญิง จะไปหลอกง่ายๆ ไม่ได้ ทันใดนั้น หานอี้ก็เดินเข้ามาชวนไปกินข้าวพอดิบพอดี ถือว่าหยางหนิงรอดตัวไป
ในหมู่บ้านนี้มีกฎ หากมีแขกมาจากด้านนอก ผู้หญิงจะมานั่งบนโต๊ะด้วยไม่ได้ ดีที่กู้ชิงฮั่นแต่งตัวเป็ชาย จึงได้มานั่งด้วยกัน ข้าวปลาอาหารของในบ้านชาวนาก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อาหารเต็มโต๊ะ หานอี้ก็เชิญคนที่พอมีบารมีในหมู่บ้านมาร่วมโต๊ะด้วย
บนโต๊ะอาหาร ที่สำคัญก็ต้องขอบคุณหยางหนิง เหล้าที่ดื่มก็เป็เหล้าที่หมักกันเองในหมู่บ้าน รสชาติไม่เลว
ทุกคนได้เห็นความสามารถของหยางหนิง บนโต๊ะอาหารก็กล่าวชื่นชมกันยกใหญ่ เมื่อพูดถึงผู้ดูแลหลัวกับพวก ทุกคนก็รู้สึกว่าพวกเขาต้องไม่ยอมเลิกราแน่นอน
“พวกเ้าวางใจได้ ผู้ดูแลหลัวโอหังได้ไม่กี่วันหรอก” หยางหนิงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าทางจวนจิ่นอีโหวได้ส่งคนมาที่เจียงหลิงแล้ว ถึงเวลานั้นก็แค่ร้องเรียนเื่นี้ไป ผู้ดูแลหลัวก็ไม่น่ารอดแล้ว”
หานอี้ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น้องชาย ต่อให้จวนจิ่นอีโหวส่งคนมาจริง พวกเขาจะยอมออกหน้าให้ความเป็ธรรมกับเราหรือ? ผู้ดูแลหลัวเป็คนของตระกูลฉี อย่างไรเสียก็คงไม่มีทางลงมือกับคนของตัวเอง เพื่อชาวบ้านจนๆ อย่างเราหรอก”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างจริงจังว่า “หานอี้ ข้าเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ตระกูลฉีไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า เื่ที่เกิดขึ้นที่นี่ จิ่นอีโหวไม่รู้แน่ๆ หากเขารู้เร็วกว่านี้ ไม่มีทางให้เื่พวกนี้เกิดขึ้นแน่นอน”
หานอี้เห็นกู้ชิงฮั่นพูดออกหน้าแทนจวนจิ่นอีโหวหลายต่อหลายครั้ง แถมยังพูดจามั่นใจ ในใจก็แอบแปลกใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจถามกลับไปว่า “เหตุใดเ้าถึงได้มั่นใจเช่นนั้นเล่า? ผู้ดูแลหลัวพูดมาคำหนึ่งข้าว่ามันก็ถูก หากไม่ได้รับอนุญาตจากตระกูลฉี พวกเขาก็ไม่มีทางโอหังถึงเพียงนี้ได้”
“หานอี้ เ้าเป็หัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่ การรวบรวมผลผลิตส่งไปตระกูลฉี เ้าเป็คนส่งไปเองกับมือใช่หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นถาม
หานอี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ที่นาของเรา ผลผลิตของพวกเรามันกำหนดไว้แล้ว ขอแค่ไม่เกิดภัยธรรมชาติอะไร ในทุกปีข้าก็จะเรียกเก็บตามจำนวนที่กำหนด” จากนั้นก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “ในทุกปีข้าจะเรียกเก็บผลผลิตแล้วส่งไปที่ตระกูลฉี ชั่งน้ำหนักเพื่อตรวจสอบดู”
“เท่าที่ข้ารู้มา พ่อบ้านใหญ่ตระกูลฉีที่บ้านเก่าเป็คนรับผิดชอบเื่เก็บภาษีที่ดินศักดินาที่เจียงหลิงนี่” กู้ชิงฮั่นถามอีกว่า “ข้าได้ยินเ้าบอกว่า ตอนนี้จิ่นอีโหวเรียกเก็บภาษีสี่ส่วน ก่อนหน้านี้ไม่ได้เรียกเก็บสองส่วนหรือ? ทำไมจู่ๆถึงได้ขึ้นเอาได้เล่า พ่อบ้านใหญ่เป็คนมาแจ้งพวกเ้าเองหรือ?”
“พ่อบ้านใหญ่ฉีหรือ?” หานอี้มองไปที่กู้ชิงฮั่นด้วยความสงสัย แล้วถามว่า “เ้ารู้จักพ่อบ้านใหญ่ฉีด้วยหรือ?” ในใจก็แอบคิดว่า คนผู้นี้พูดปกป้องจิ่นอีโหวตั้งหลายครั้ง แถมยังเหมือนจะรู้จักพ่อบ้านใหญ่ฉีเป็อย่างดี หรือว่าสองคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับจิ่นอีโหว?
จวนเก่าตระกูลฉีถึงแม้จะมีพ่อบ้านใหญเป็คนดูแล นี่เป็เื่ที่ไม่ใช่ใครก็รู้ สำหรับชาวบ้านส่วนใหญ่ พวกเขาต้องทำงานั้แ่เช้าถึงเย็น ส่งภาษีผลผลิตให้ตรงเวลา ส่วนใครเป็คนดูแลตระกูลฉีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนสนใจ หานอี้เป็หัวหน้าหมู่บ้านที่นี่ ทุกปีจะต้องส่งผลผลิตไป เพราะเหตุนี้เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าพ่อบ้านใหญ่เป็ใคร
ในเมื่อเขารู้สึกว่ากู้ชิงฮั่นมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลฉี เขาก็เริ่มพูดจาระวังตัวมากขึ้น
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น “เจอแล้ว เจอแล้ว สัตว์ป่าที่แอบมาขโมยไก่ มันหลบอยู่บนเขา”
เสียงนั้นแหลมทิ่มหู หานอี้ก็ลุกขึ้น คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นตาม หานอี้หันไปมองหยางหนิงแล้วพูดว่า “ท่านทั้งสองกินกันไปก่อน ข้ามีเื่ต้องไปทำ” ก็ไม่อธิบายอะไรมากนัก แล้วก็รีบออกไป คนอื่นๆ ก็เดินตามไปเช่นกัน เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนเอาไว้
หยางหนิงได้ยินเสียงข้างนอกวุ่นวาย ก็ทนไม่ไหวถามกลับไปว่า “เกิดเื่อะไรขึ้น? หาอะไรเจอกันหรือ?”
“สัตว์ป่าขโมยไก่” ชายแก่คนหนึ่งพูดขึ้นมา “หลายวันมานี้ ไก่ในหมู่บ้านมักจะหายไปโดยไม่มีสาเหตุ น่าจะมีประมาณสิบตัวได้แล้ว ที่หลังเขาเองก็ไม่มีสัตว์ป่าอะไร หมาป่าก็ไม่เคยเจอ ตอนแรกก็คิดว่ามีคนขโมยไก่ หลายวันมานี้ก็เลยสั่งให้คนเฝ้ายามตอนกลางคืน เพื่อแอบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คืนวันนั้นก็เห็นเงาๆ หนึ่งเข้ามาที่เล้าไก่ เราก็เลยเตรียมคนเพื่อเข้าไปจับ ใครจะคิดว่าเ้านั่นมันจะวิ่งไวเช่นนั้น เราเห็นไม่ชัดว่าเป็หมาป่าหรือว่าหมา” เขากระดกเหล้าขึ้นดื่มแล้วพูดต่อไปว่า “มันมีขนสีดำ เราวิ่งตามไป ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน คนที่ตามไปกลับมาบอกว่ามันวิ่งเร็วเหมือนกระต่าย ยังมีคนบอกอีกว่ามันวิ่งสองขาเหมือนคน”
“หา?” หยางหนิงใ “วิ่งสองขาอย่างนั้นรึ?” ในใจก็รู้สึกแปลกใจ เท่าที่เขารู้ บนโลกนี้สัตว์ที่วิ่งสองขาได้มีไม่มาก แต่ว่าสิ่งที่ชายชราผู้นี้พูดนั้น มันวิ่งเร็วมาก คิดไปคิดมา สามารถวิ่งสองขาได้เหมือนคนแต่รวดเร็วเหมือนสัตว์ป่า มันเป็อะไรที่หายากมาก แอบคิดในใจว่าเป็ลิงหรือไม่
“สงสัยจะตาลาย” ชายชราอีกคนพูดขึ้นมาว่า “ข้าอยู่มาจนอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินเลยว่ามีสัตว์ที่ไหนวิ่งสองขาได้”
“มันก็ไม่แน่” ชายชราคนก่อนหน้านี้เถียงกลับมาว่า “มีตั้งหลายคนเห็น คงไม่ตาลายกันหมดหรอกกระมัง” แล้วหันไปมองหยางหนิงแล้วพูดว่า “ผ่านไปหลายวัน มันก็กลับมาที่หมู่บ้านอีก ครั้งนี้พวกเราเตรียมตัวไว้พร้อม แต่ว่ามันก็หนีไปได้อีก ยังดีที่ว่าพวกเราเห็นว่ามันหนีไปยังหลังเขา หนุ่มในหมู่บ้านพากันไปหาที่หลังเขาของหมู่บ้านกันทั้งวัน กลับไม่พบร่องรอยของมันเลย เขาลูกใหญ่เช่นนั้น จะให้ไปดูทุกซอกทุกมุมก็เป็ไปมิได้”
หยางหนิงจึงถามกลับว่า “ด้านหลังเขามีสัตว์ป่าอย่างนั้นรึ?”
“หลายปีก่อนยังพอมีหมูป่าอยู่บ้าง แต่พอเจอภัยแล้งเข้า คนในหมู่บ้านก็ต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาเป็อาหาร บนเขาจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก หมูป่าบนเขาโดยล่าไปจนหมดแล้ว หลายสิบปีมานี้ ก็ไม่เจอสัตว์ป่าอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะงูหรือหนู” ชายชราอธิบายต่อว่า “เพราะเหตุนี้บนเขาก็มีอะไรไม่รู้มาขโมยไก่ พวกเราไม่มีทางปล่อยมันไปแน่ ไก่ในหมู่บ้านก็มีน้อยอยู่แล้ว มันถือเป็ของมีค่าของพวกเรา แต่กลับโดยขโมยไปตั้งสิบกว่าตัว เราเ็ปใจยิ่งนัก หากไม่กำจัดมัน เกรงว่าต่อไปวัวกับแพะก็คงจะไม่เหลือเช่นกัน”
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกตื่นเต้นมาก แล้วหันไปมองกู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “พี่...พี่สาม ท่านรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าไปเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวข้ากลับมา”
กู้ชิงฮั่นคิดจะห้าม แต่หยางหนิงก็วิ่งเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก พริบตาเดียวก็พุ่งออกนอกประตูไป
หัวหน้าหมู่บ้านตอนนี้อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มยี่สิบกว่าคน มีคบเพลิงประมาณห้าถึงหกอัน มีคนตื่นเต้นแล้วพูดกับฮานอี้ว่า “ครั้งนี้มันหนีไม่รอดแน่ เราให้คนแอบที่ตีนเขา พอมันลงมาจากเขา แล้วก็จะแอบตามไป เ้านั่นมันคิดว่าหลบขึ้นเขาแล้วจะจบอย่างนั้นหรือ คงไม่คิดว่าเราจะตามไป ตอนนี้เราเจอรังของมันแล้ว เป็ถ้ำๆ หนึ่งบนเขา ข้าให้คนเฝ้าปากถ้ำไว้แล้ว อย่างไรก็หนีไปไม่รอด”
หานอี้จึงพูดว่า “เด็กๆ ตามข้าขึ้นเขา เ้านั่นมันวิ่งเร็วยิ่งนัก ถ้าไม่ระวังมันจะวิ่งหนีไปได้อีก เราต้องล้อมมันเอาไว้อย่าให้มีช่องว่างให้มันหนี มีหรือว่ามันจะมุดออกไปทางไหนได้” จากนั้นกวักมือ แล้วก็นำกลุ่มคนอ้อมไปทางด้านหลังหมู่บ้าน แล้วเดินไปที่หลังเขา ชาวบ้านถืออาวุธครบมือ ทั้งไม้ทั้งกระบองทั้งจอบทั้งเสียม
หยางหนิงคิดแค่ว่าสัตว์ชนิดนี้ต้องเป็สัตว์ที่หายากแน่ๆ จึงรู้สึกสนใจยิ่งนัก จึงตามกลุ่มคนพวกนั้นไปด้วย
พอกลุ่มคนพวกนั้นไปถึงตีนเขา คนที่แจ้งข่าวก็เดินนำทางอยู่ด้านหน้า หลังเขาถึงจะไม่สูงมาก แต่มันก็ชันอยู่ บนเขามีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ทุกคนกระจายตัวออกไป เดินไปพักหนึ่ง ก็มาถึงกลางเขา จากนั้นก็ได้ยินคนะโขึ้นมาว่า “มันอยู่ในนี้”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นมีคนสามคนยืนรออยู่ เห็นชาวบ้านเดินมา มีคนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “มันอยู่ในถ้ำนี้ พวกข้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ เ้านั่นมันไม่กล้าออกมา”
หยางหนิงเดินเข้าไป ด้านหน้านี้เหมือนผนังกำแพงเขาที่มีเถาวัลย์เลื้อยบังอยู่ เถาวัลย์ถูกแหวกออก มันมีปากถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีปากถ้ำที่อื่น ไม่มีทางอื่นให้หนีไปได้?” หานอี้เดินเข้าไปดูที่ปากถ้ำ กลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย
“พวกข้าไปตรวจดูรอบๆ มาแล้ว มีแค่ปากถ้ำนี้โพรงเดียว มันเป็ถ้ำปิดตาย” คนที่เฝ้าปากถ้ำรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าลองโยนก้อนหินเข้าไป ยังได้ยินเสียง” จากนั้นเขาก็นั่งลง แล้วเก็บก้อนหินขึ้นมา แล้วขว้างไปในถ้ำ ได้ยินเสียง “อู้อู้” คนผู้นั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเ้าได้ยินใช่หรือไม่ มันอยู่ในนี้แน่นอน”
“หาไม้แห้งๆ มา” หานอี้ประสบการณ์สูงยิ่งนัก “เผาไฟที่หน้าถ้ำ เ้านั่นมันต้องทนควันไฟไม่ได้แน่นอน แล้วมันก็จะวิ่งออกมา”
คนยิ่งมากกำลังยิ่งมาก พริบตาเดียว หน้าถ้ำก็มีกองฟืนกองใหญ่ หานอี้สั่งว่า “ทุกคนล้อมเป็สองชั้น เ้านั่นดุร้ายมาก หลังจากที่มันออกมาแล้ว อย่าทำร้ายมัน แต่จะให้มันหนีไปไม่ได้” เขายื่นไปหยิบคบเพลิงมา แล้วจุดไฟขึ้นบนกองฟืนกองนั้น