“ในหมู่บ้านมีแค่หลินจินเป่ากับสวี่ตัวเป่าที่ไปศึกษาที่โรงเรียนส่วนตัว ท่านอาจารย์ที่นั่นจัดการได้แค่เด็กสองคนนี้ และมาคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านแค่เื่เด็กสองคนนี้เช่นกัน ข้าได้ยินเหล่าซานบอกว่าคนที่ทำร้ายเขายังมีจ้าวซานหวากับเฉียนโหย่วเกิน แต่คนที่แย่งเงินเหล่าซานไม่ใช่พวกเขาสองคน”
หลินหวั่นชิวพูดกับทั้งสองคน นางไม่เคยคิดที่จะปล่อยเด็กอีกสองคนที่ทำร้ายเจียงหงหนิงอยู่แล้ว
นางแค่ต้อง…ปล่อยข้อมูลออกไป ไม่จำเป็ต้องลงมือ
“อย่างไรกัน ยังมีเด็กสองคนนี้ด้วย?” อาสองจ้าวพูดเสียงสูง
หวางกุ้ยเซียงพูดตาม “ปกติสองคนนี้เป็ลูกน้องหลินจินเป่ากับสวีตัวเป่าอยู่แล้ว ไม่แปลกที่มีพวกเขาร่วมด้วย”
“ข้าจะเอาเื่นี้ไปคุยกับคนในหมู่บ้าน ลงมือรังแกคน ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้!”
“ใช่ ต้องประกาศให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้ วันหน้าลูกตัวเองเจอพวกเขาจะได้หลีกให้ไกล!”
หวางกุ้ยเซียงกับอาสองจ้าวพูดอย่างเคียดแค้นต่อความไม่เป็ธรรมเสร็จก็ลุกขึ้นบอกลา พร้อมกำชับกับหลินหวั่นชิวว่าเื่นี้พวกนางจะจัดการให้เอง จะให้คนทั้งหมู่บ้านรู้เื่นี้
ทั้งคู่เดินจากไป หลินหวั่นชิวนำตะกร้าของทั้งคู่เข้าห้องครัวและนำผักออกมา คิดไม่ถึงว่าด้านใต้จะมีไข่ไก่ซ่อนอยู่
ตะกร้าของหวางกุ้ยเซียงมีสิบหกฟอง ของอาสองจ้าวมีสิบฟอง
ไข่ไก่เป็สิ่งล้ำค่าเช่นกัน คนในหมู่บ้านตัดใจกินไม่ลง บ้านไหนดีหน่อยก็ให้คนที่ทำงานใช้แรงกินวันละหนึ่งฟอง บ้านไหนสภาพไม่ดีก็ได้กินแค่วันเกิด คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ส่วนใหญ่ยังมีแต่บุรุษ
หลินหวั่นชิวจดจำน้ำใจนี้ไว้ในใจ เก็บไข่ไก่เข้าตู้แล้วจัดการผัก นางเตรียมผักขมหนึ่งกำ เตรียมผัดไข่แล้วลวกผักขมจิ้มกิน
นี่ได้เวลาอาหารแล้วเช่นกัน หลินหวั่นชิวพับแขนเสื้อทำกับข้าว หุงข้าวในหม้อ ต้มน้ำในเตาเล็กเพื่อลวกผัก
จากนั้นหั่นผักกาดขาวเป็ชิ้นๆ ใช้กากหมูที่เหลือมาผัดกับผักกาดขาว
หลินหวั่นชิวซื้อเครื่องปรุงมาจากเสียนอวี๋ เนื่องจากเป็ของใกล้หมดอายุ นางจึงซื้อเก็บไม่มาก
นางอยากซื้อพวกที่ยังเหลือเวลาเก็บรักษาอีกนานเช่นกัน แต่นี่เป็ระบบเสียนอวี๋ ไม่ใช่เถาเป่า ของที่ขายในแพลตฟอร์มขายของมือสองย่อมมีแต่ของที่โละทิ้งจำนวนมาก
นางยังซื้อกระปุกกระเบื้องที่มีตำหนิเล็กน้อยเพื่อเก็บเครื่องปรุงพวกนี้ ทั้งผงชูรส เต้าเจี้ยว ผงเครื่องเทศสิบสามชนิด เม็ดฮวาเจียว โป๊ยกั๊ก อบเชย เหล้าขาวเหนียว เหล้าต้ม…เครื่องปรุงต้องครบ อาหารถึงจะอร่อย!
เด็กทั้งสองได้กลิ่นจากในห้อง “ข้าจะไปช่วยพี่สะใภ้ยกกับข้าว” แผลของเจียงหงหนิงดูน่ากลัว แต่เพราะหลินหวั่นชิวป้อนโอสถชำระไขกระดูกให้กิน อาการถึงได้ฟื้นตัวเร็วมาก
ภายนอกดูน่าใ แต่เขาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
อาหารยังคงจัดวางนอกลานบ้านเหมือนเดิม ให้เจียงหงป๋อได้สูดอากาศและตากแดด
แม้จะมีกับข้าวแค่สองอย่าง แต่หลินหวั่นชิวรู้จักใส่น้ำมันและเครื่องปรุง ดังนั้นไม่ว่าอาหารจะเรียบง่ายอย่างไรก็อร่อย อร่อยจนเด็กทั้งสองตั้งหรี่ตา
รสชาติของอาหารรสเลิศะเิในปาก ทำเอาพวกเขาอยากกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วย
“พี่สะใภ้…อาหารที่ท่านทำจะอร่อยเกินไปเสียแล้ว!” ถึงไม่กี่วันก่อนจะรู้สึกว่าอาหารที่พี่สะใภ้ทำอร่อยเช่นกัน ทว่ายังไม่อร่อยเท่าวันนี้
“ซื้อเครื่องปรุงกลับมาครบ อาหารที่ทำย่อมอร่อย หากอร่อยพวกเ้าก็กินเยอะๆ!” ตักกากหมูเพิ่มให้ทั้งคู่ ในท้องเด็กสองคนนี้ต่างก็ขาดไขมัน
กินมาถึง่ท้าย เจียงหงหนิงเทน้ำใส่จานแล้วดื่ม
น้ำเหลือเยอะมาก เขาเสียดายของ
หลินหวั่นชิวปิดประตูลานบ้านหลังจากกินเสร็จ นางเข้าห้องไปนอนกลางวัน ตื่นแล้วจึงลุกไปคัดหนังสือ
นางไม่รู้เลยว่าอาสองจ้าวกับหวางฟู่กุ้ยกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วจะมุ่งตรงไปที่ใต้ต้นไทรใหญ่หน้าหมู่บ้าน
บรรดาฟู่เหรินในหมู่บ้านไม่มีนิสัยชอบนอนกลางวันแบบนาง หลายคนกินเสร็จแล้วไม่มีสิ่งใดทำก็จะถือเก้าอี้มานั่งใต้ต้นไทร เย็บผ้าไปด้วย พูดคุยกันเล่นไปด้วย
“มาๆ นี่เป็เมล็ดฟักทองที่บ้านข้าเพิ่งผัด ทุกคนมาหยิบไปกินได้เลย” หลังจากอาสองจ้าวไปถึงก็ล้วงเมล็ดฟักทองกำใหญ่จากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนออกมาวางบนแผ่นหิน
“ไอ๊หยา…เมล็ดฟักทองบ้านเ้าไม่เลวเลยจริงๆ เนื้อแน่นทุกเมล็ด”
“แน่นอน ข้าคัดเมล็ดลีบออกหมดแล้ว”
“นี่ อาสองจ้าวว ตอนสายเ้าไปบ้านนายพรานเจียงมาไม่ใช่หรือ? เห็นเหล่าซานบ้านพวกเขาหรือไม่?”
“ใช่ รีบเล่าให้พวกข้าฟังเร็ว เหล่าซานบ้านพวกเขาเป็เช่นไรบ้าง? ถูกรุมทำร้ายรุนแรงหรือไม่?”
“นั่นน่ะสิ ได้ค่ายาตั้งสิบตำลึงเงินเชียวนะ! คงมีแต่บ้านเหล่าสวีกับบ้านเหล่าหลินที่มีเงิน มิเช่นนั้นใครจะมีเงินจ่าย!”
“เ้าพูดถูก ข้าว่าเด็กในชนบทมีมูลค่าปานนั้นตรงไหน ดื่มยาสักสองเทียบ[1]ก็หายแล้ว ค่ายาแพงขนาดนั้นที่ไหน สิบตำลึงเงินเชียวนะ…จิ๊ๆ…”
“พูดกระไรของพวกเ้าน่ะ จะไม่จ่ายหรือ เหอะ รอนายพรานเจียงกลับมา ข้าอยากเห็นนักว่าจะมีผู้ใดกล้าหาเื่เขา”
“ถึงเขาจะไม่พอใจอย่างไรก็ฆ่าคนไม่ได้นี่? ไม่เลี้ยงตัวขี้โรคที่บ้านแล้วหรือ?”
“พวกเ้าเลิกพูดได้แล้ว ให้อาสองจ้าวเล่าก่อนเถิดว่าเหล่าซานบ้านตระกูลเจียงเป็เช่นไรกันแน่”
ทุกคนมองไปที่อาสองจ้าว นางคายเปลือกเมล็ดฟักทองออกจากปาก พูดด้วยสีหน้าเกินจริงว่า “ข้าจะบอกให้นะ หัวของเด็กคนนั้นบวมราวกับหัวหมู หน้าตาเละเทะราวกับกระปุกเครื่องปรุงพลิกคว่ำ ทนดูไม่ได้ ข้าเห็นแค่แวบเดียวยังต้องรีบหนีออกมา ไอ๊หยา…อีกทั้งยังเป็ลมไม่ได้สติอีกต่างหาก! ภรรยานายพรานเจียงบอกว่าท่านหมอไม่แน่ใจว่าาเ็ภายในหรือไม่ หากาเ็ภายในขึ้นมาก็จบสิ้นแล้ว บอกว่าอย่างไรนะ…บอกว่าจะรอดหรือไม่รอดขึ้นอยู่กับดวง พวกเ้าดูสิ…เฮ้อ ไม่รู้นายพรานเจียงกลับมาจะอาละวาดขนาดไหน! สิบตำลึงเงิน…หากเป็ข้านะ ต่อให้สิบตำลึงเงินก็ไม่พอ!”
บรรดาฟู่เหรินใกับคำพูดของนาง แม่เ้า น่าใยิ่งนัก!
“เหตุใดเด็กสองคนนี้จึงลงมือไม่แยกแยะหนักเบาเลย?”
“ข้าว่าเหล่าซานบ้านตระกูลเจียงก็ขี้ขลาดไปหน่อยนะ อีกฝ่ายมีกันแค่สองคน เหตุใดไม่ตอบโต้ล่ะ? อย่างน้อยถ้าตอบโต้ก็คงไม่โดนหนักจนไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่กระมัง?”
“พวกเ้าจะไปรู้กระไร!” อาสองจ้าวได้ยินฟู่เหรินพวกนี้พูดสองประโยคก็เอ่ยปากอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าคนที่รุมทำร้ายยังมีเด็กอีกสองคนไม่ได้มีแค่หลินจินเป่ากับสวีตัวเป่า แต่เด็กสองคนจากบ้านตระกูลหลินกับตระกูลสวีแย่งเงินไปด้วย ได้ยินว่าเป็เงินสองพวง ทั้งหมดยี่สิบเหรียญ!”
“โอ้ ที่แท้ก็มีสี่คนหรือ ที่เหลือเป็ผู้ใดกัน?”
“นั่นน่ะสิ อาสองจ้าว รีบบอกมาเถิดว่ายังมีผู้ใดอีก?”
อาสองจ้าวยกมือปิดปากเหมือนโมโหที่ตัวเองหลุดปาก “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ภรรยานายพรานเจียงไม่ได้บอกมา”
“เอาล่ะๆ บ่ายนี้ข้ายังมีงานต้องทำ จะมามัวนั่งคุยไม่ได้ ขอตัวกลับบ้านก่อน พวกเ้าค่อยๆ คุยไปนะ”
พูดจบก็ลุกขึ้นจากไป ไม่สนใจเสียงะโเรียกนางจากด้านหลัง
“นางต้องรู้เป็แน่!”
“เฮ้อ ข้าเห็นกุ้ยเซียงไปบ้านตระกูลเจียงเช่นกัน กุ้ยเซียง เ้าบอกมาเถิดว่าที่เหลือเป็ผู้ใด?”
“ใช่แล้วกุ้ยเซียง เ้าได้เจอเหล่าซานบ้านตระกูลเจียง สภาพยับเยินแบบที่อาสองจ้าวเล่าจริงหรือไม่?”
หวางกุ้ยเซียงถูกทุกคนเข้ามามุง นางยิ้มกว้างและพูดว่า “ไม่ได้เจอ ข้าจะเข้าห้องเด็กผู้ชายได้อย่างไร ข้าเพียงเอาของที่ท่านแม่ฝากให้เจียงหงหนิงไปส่งเท่านั้น”
“เช่นนั้นเ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่รุมทำร้ายยังมีผู้ใดอีก?”
หวางกุ้ยเซียงทำท่าลำบากใจ คนเหล่านี้รีบซักไซ้ “พูดมาเถิด มีสิ่งใดต้องกลัว”
“มีจ้าวซานหวาด้วยใช่หรือไม่ เด็กคนนี้สนิทกับหลินจินเป่า ข้าเห็นพวกเขาเล่นด้วยกันบ่อยๆ”
“ไอ๊หยา นั่นน่ะสิ ต้องเป็จ้าวซานหวาแน่ๆ มิน่าเล่า อาสองจ้าวถึงไม่ยอมพูด”
“แล้วอีกคนเป็ผู้ใดกัน?”
หวางกุ้ยเซียงถูกรุมถามจนรับมือไม่ถูก พูดแค่ว่า “ก็คนที่พวกเขาสุงสิงด้วยบ่อยๆ นั่นแหละ มีแค่สองคน”
“ไอ๊หยา แบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว จ้าวซานหวากับเฉียนโหย่วเกินไม่ผิดเป็แน่…”
เชิงอรรถ
[1] เทียบ คือลักษณะนามเรียกยาจีนที่จัดเป็ชุด