หากจะขยายความเื่นี้ มันก็คงคล้ายกับผ้าพันเท้าของหญิงชราที่ทั้งยาวและเหม็นโฉ่ ซย่านีครุ่นคิดแล้วจึงสรุปสั้นๆ ว่า “พี่ก็แค่มีเื่ขัดแย้งกับครอบครัวสามีเฉยๆ พี่เขยของเธอก็เอาแต่อยู่ที่มหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้กลับบ้าน ครอบครัวเราจะมีหรือไม่มีเขาก็เหมือนกัน ตอนนี้พี่เองก็สามารถหาเงินด้วยตัวเองได้แล้ว หากอยากอยู่ที่ปักกิ่งต่อก็ไม่จำเป็ต้องพึ่งพาเขาอีกต่อไป พี่ก็เลยขอหย่ากับเขาก็แค่นั้น”
ซย่าซานนีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ คำพูดนี้ของซย่านีไม่ว่าตนฟังอย่างไรก็เหมือนกับพี่สาวกำลังเหยียดพี่เขยอยู่ พี่สาวของเธอคงจะคิดว่าพี่เขยนั้นไร้ประโยชน์ดังนั้นก็เลยอยากกำจัดเขาที่เป็ภาระทิ้งไปเสีย?
เธอว่านะ พี่หญิงใหญ่เอ๋ย คนเราต้องหัดมีใจเมตตาบ้างสิ!
ซย่านีสบตากับซย่าซานนีหลังจากพูดจบ เธอก็รู้ได้ทันทีเลยว่าน้องสาวของตนกำลังคิดอะไรอยู่ ซย่านีรีบพูดแก้ตัวทันที “แล้วก็เป็เพราะพี่เขยของเธอน่ะไม่ได้ชอบพี่เลยในใจเขามีคนอื่นอยู่แล้ว อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงเฝ้ารอเขามาโดยตลอด ที่พี่หย่ากับเขาก็เพราะหวังดีกับเขาจริงๆ”
ซย่าซานนีพูดไม่ออก “…”
หลังจากลองครุ่นคิดดูแล้ว ซย่าซานนีก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพี่หญิงใหญ่ถึงได้เลือกเส้นทางนี้ เธอรู้สึกว่าเื่นี้เป็เพียงข้อแก้ตัวที่พี่หญิงใหญ่สร้างขึ้นมาก็เท่านั้น “ไม่สิ ถ้าพี่เขยไม่ได้ชอบพี่แล้วเขาจะพาพี่กับลูกมาที่กรุงปักกิ่งด้วยทำไมกัน?”
“นั่นก็เพราะเขาต้องแสดงความรับผิดชอบล่ะมั้ง?”
ซย่าซานนีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “พี่รู้ได้อย่างไรว่าพี่เขยมีคนอื่นอยู่ในใจ เขาบอกพี่หรือ?”
ซย่านียิ้ม “เขาจะบอกกับฉันตรงๆ ได้อย่างไรกันเล่า? แบบนั้นจะไม่ใช่หาเื่ใส่ตัวหรือ...เอาล่ะ น้องสาวคนดีของพี่ พี่ไม่อยากพูดเื่ไร้สาระพวกนี้อีกแล้ว พี่ตัดสินใจเื่นี้ไปแล้วด้วย หานเจียงเองก็ตอบตกลงแล้วเช่นกัน เธอวางใจเถอะนะ ถึงพี่หญิงใหญ่ของเธอจะหย่ากับเขาไปแล้วพี่ก็ยังสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้ เธอไม่รู้หรอก่นี้พี่หาเงินได้เยอะมากเลยนะ เยอะมากขนาดที่ครอบครัวธรรมดาๆ ไม่อาจหาเงินจำนวนเท่านี้ได้ตลอดชีวิตเลยล่ะ”
ทันใดนั้นซย่าซานนีก็เหมือนถูกเบี่ยงความสนใจไปเื่อื่นแทนแล้ว เธอกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าตนเองจะฟังผิดไป “จริงหรือ? พี่หญิงใหญ่ พี่ทำอะไรอยู่จ้ะ ถึงหาเงินได้มากขนาดนี้? คงไม่ใช่...คงไม่ใช่ว่าพี่ไปนั่งบาร์หรอกนะ?”
ซย่านีหลุดหัวเราะ “พี่ทำธุรกิจจริงจังเลยต่างหาก เดี๋ยวถึงบ้านแล้วพี่จะเอาให้เธอดูนะ...แต่ว่าเธอห้ามบอกเื่นี้กับคนในบ้านเด็ดขาด” แล้วซย่านีก็พลันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
นั่นทำให้ซย่าซานนีมีท่าทางเคร่งขรึมตามไปด้วย เธอพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ฉันรู้จ้ะ ฉันจะไม่พูดแน่นอน”
“แล้วเื่ที่พี่หย่ากับพี่เขยของเธอก็ห้ามพูดนะ” ซย่านีกำชับ
ซย่าซานนีทำมือเป็กากบาทตรงริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า “วางใจเถอะ ฉันไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความอีกแล้วนะ”
หากคนในครอบครัวรู้ว่าซย่านีจะหย่าแล้วล่ะก็ ซย่าตัวจินกับสวีเจาตี้จะต้องรีบซื้อตั๋วรถไฟมาที่นี่อย่างแน่นอน แล้วจากนั้นก็จะดึงหูซย่านีไปตรงหน้าซ่งหานเจียงแล้วบีบบังคับให้ซย่านีขอโทษชายหนุ่ม หรืออาจจะต้องร้องขอให้เขาแต่งงานกับเธอใหม่อีกครั้ง
และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือหากคู่สามีภรรยานี้มาที่กรุงปักกิ่งจริง ธุรกิจของซย่านีก็คงไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป พวกเขาจะต้องขอเงินจากซย่านีอย่างแน่นอน
ซย่าซานนีไม่อาจปล่อยให้พ่อกับแม่มาสร้างปัญหาให้พี่หญิงใหญ่ได้ เพราะพ่อกับแม่เป็คนลำเอียงรักลูกชายแต่หมางเมินลูกสาว เพราะแบบนี้เธอเลยสนิทกับพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงรองมากที่สุดในบ้าน
ซย่านียิ้ม เธอรู้ว่าน้องสาวคนนี้เป็เด็กรู้ความและปากมีหูรูด ดังนั้นเธอถึงเรียกให้ซย่าซานนีมาช่วยงานเธอที่ปักกิ่งอย่างไรล่ะ
“ถึงแล้ว ที่นี่แหละ”
ไม่ทันได้รู้ตัวซย่านีก็พาซย่าซานนีมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ซย่าซานนีเงยหน้ามองประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเธอแล้วก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ “โอ้ ์เอ๋ย ประตูนี่สวยมากเลย! พี่ดูสิจ้ะ ้ามีลายสลักอยู่ด้วยนะ”
ซย่านีไขกุญแจและหันกลับมาพูดกับน้องสาว “ว่ากันว่าในอดีตที่นี่เคยเป็บ้านของขุนนางชาวแมนจูเชียวนะ บ้านมีถึงห้าชั้นเลยล่ะเรือนที่พี่เช่าก็เป็เรือนของข้ารับใช้ในจวนแห่งนี้”
ซย่าซานนีอุทาน “แม้แต่ข้ารับใช้ ก็ยังได้อาศัยอยู่ในเรือนที่งดงามขนาดนี้เชียวหรือ!”
หลังจากนั้นซย่านีก็พาซย่าซานนีเดินดูห้องต่างๆ หนึ่งรอบ สุดท้ายก็มาถึงห้องนอนของเธอเอง เธอวางซิงซิงลงบนเตียงต่อมาเธอก็เปลี่ยนผ้าอ้อมของลูกชายคนเล็ก ผ้าอ้อมนั้นมีปัสสาวะอยู่เต็มผืนั้แ่ระหว่างทางมาแล้ว จากนั้นเธอก็โยนผ้าอ้อมนั้นลงบนชั้นวางผ้าอ้อมสกปรก เด็กน้อยซิงซิงน่าจะง่วงนอนเต็มที ซย่านีเพิ่งจะจับเขานอนลงบนเตียง เด็กน้อยก็หลับตาไปแล้ว
ซย่านีกล่าว “ที่บ้านมีเตียงกับผ้านวมไม่พอ เธอนอนที่นี่กับพี่ไปก่อนนะ รอมีเวลาแล้วพี่ค่อยพาเธอไปเลือกซื้อเตียงกับผ้านวม”
“ซื้อผ้านวมอะไรหรือจ๊ะ?” ซย่าซานนีหลุบตาลงมองผ้านวมบนเตียงแล้วเธอก็ยื่นมือออกไปลูบมันพลางกล่าวว่า “พี่คงไม่ได้ซื้อผ้านวมผืนนี้มาหรอกใช่ไหม?”
ซย่านีตอบ “พี่ซื้อมาเอง”
ซย่าซานนีมองซย่านีด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนสุรุ่ยสุร่ายอยู่ จากนั้นเด็กสาวก็กล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่ พี่แค่ซื้อใยนุ่นกับปลอกผ้านวมให้ฉันก็พอ ฉันเย็บผ้านวมเองได้จ้ะ ฉันแค่กลัวว่าตอนกลางคืนถ้าห่มผ้านวมของพี่แล้ว ฉันจะนอนไม่หลับเพราะในใจเอาแต่นึกเสียดายเงินที่ซื้อเ้าสิ่งนี้ไปน่ะสิ!”
“ได้ๆๆ ตามใจเธอก็แล้วกัน” ซย่านีกล่าว “ไปกันเถอะ พี่จะพาเธอไปดูธุรกิจของพี่”
ซย่านีเดินนำซย่าซานนีไปยังห้องทำงานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นเธอก็หยิบยางรัดผมขึ้นมาสองอันแล้วส่งให้น้องสาว “เ้าของสิ่งนี้นี่แหละ มันเอาไว้ประดับศีรษะพี่ทำยางรัดผมขาย การค้าถือว่าดีใช้ได้เลยนะเรียกว่าขายดีมากเลยล่ะ”
ไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหนสามารถต้านทานการล่อลวงใจจากยางรัดผมได้เลย ซย่าซานนีเองก็ไม่มีข้อยกเว้นนี้เช่นกัน เธอเพิ่งจะเคยเห็นยางรัดพวกนี้ครั้งแรกแค่เห็นก็รู้สึกชื่นชอบเหลือเกิน เธอนำไปรัดที่ผมปักของตนเองแล้วหันมาถามซย่านีว่า “สวยไหมจ๊ะ?”
ซย่าซานนีถักเปียก็เลยมัดยางรัดผมไว้ตรงปลาย ซย่านีเพิ่งเคยเห็นทรงผมนี้เป็ครั้งแรก เธอหลุดยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “เธออยู่เล่นที่นี่ไปก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวพี่ไปทำอาหารมาให้”
ซย่าซานนีถูกยางรัดผมดึงดูดความสนใจไปแล้ว ไม่ทันได้ฟังที่ซย่านีพูด เธอก็โบกมือแล้วกล่าวว่า “ได้จ้ะ พี่ไปทำธุระเถอะ”
“เธอคอยดูซิงซิงไว้ด้วยนะ ถ้าซิงซิงตื่นแล้วก็ช่วยพี่ดูแลเขาที” ซย่านีเอ่ยกำชับ
ซย่าซานนีเริ่มศึกษาดูวิธีการทำยางรัดผมแล้ว ขณะเดียวกันเธอก็ตอบรับคำสั่งของซย่านีอย่างสบายๆ “ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ”
เมื่อน้องสาวแท้ๆ ที่สนิทกับเธอมากที่สุดมาเยือนที่บ้านทั้งที ซย่านีย่อมต้องต้อนรับขับสู้เธอเป็อย่างดี แรกเริ่มเธอออกไปซื้อเนื้อหมูสองชั่ง[1] ก่อน ซย่านีไม่ได้ไปร้านขายของชำที่ซึ่งมีของจำกัดและต้องใช้ตั๋วในการซื้อสินค้า แต่เธอไปยังสถานที่ที่เรียกว่า ‘ตลาดมืด’ ซึ่งเป็ตลาดค้าขายใต้ดินที่ถูกก่อตั้งขึ้นในยุคสมัยพิเศษ มันเกิดขึ้นตามการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนมีเกษตรกรจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมเต็มใจฆ่าสุกรที่พวกเขาเลี้ยงไว้ที่บ้านแล้วนำมาขายที่ตลาดแห่งนี้ เพราะสามารถขายได้ราคาที่สูงขึ้นกว่าราคาขายปกติ
ซย่านีไม่สนใจว่าจะมันจะมีราคาแพงหรือไม่ ครั้งนี้เธอซื้อเนื้อหมูมาสองชั่งเลยทีเดียว
เธอคิดว่าจะแบ่งเนื้อหมูหนึ่งชั่งไว้ใช้สำหรับการผัดอาหาร ส่วนอีกหนึ่งชั่งไว้นำมาสับทำเป็ไส้เกี๊ยว
ในยุคนี้ญาติสนิทมาเยือนที่บ้านทั้งทีจะพลาดการทานเกี๊ยวไปได้อย่างไรเล่า เดิมทีซย่านีตั้งใจไว้ว่าจะทำเกี๊ยวยัดไส้กุยช่าย ไข่ไก่และกุ้งแห้ง แต่ว่าซย่าซานนีได้กินขนมกุยช่ายทอดตอนระหว่างทางมาบ้านแล้ว ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป็ไส้ผักไจ้ไฉ่กับเนื้อหมูแทน ตอนซย่านียังเป็เด็กเธอเคยเห็นบทความหนึ่งบอกไว้ว่าเกี๊ยวยัดไส้ผักจี้ไฉ่นั้นอร่อยมากดังนั้นเธอจำเื่นี้ได้มาตลอด ปกติแล้วหากที่บ้านของเธอจะทำเกี๊ยวกินกันก็จะทำแค่่วันตรุษจีนเท่านั้น อีกทั้งผักจี้ไฉ่ยังมีแค่่เดือนมีนาคมด้วย ดังนั้นซย่าซานนีจึงไม่เคยได้กินอาหารชนิดนี้ตามที่ใจปรารถนาเลย
วันนี้ซย่านีจะต้องทำอาหารให้น้องสาวกินอย่างเอร็ดอร่อยให้ได้
หลังจากนั้นซย่านีก็ทำหมูเส้นผัดพริกกระเทียมและผัดผักดอกกะหล่ำ ซย่าซานนีชอบทานอาหารรสเผ็ดแต่พวกเด็กๆ กินเผ็ดกันไม่ได้ ซย่านีก็เลยแบ่งปลาออกเป็สองส่วนโดยนำครึ่งหนี่งมาผัดเผ็ดอีกครึ่งนำไปตุ๋นน้ำแดง
ยังมีปลาเหลืออยู่อีกหนึ่งตัว ซย่านีจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ก่อนเพื่อเอาไว้ทำน้ำแกงปลาในวันพรุ่งนี้
มื้อนี้มีอาหารสี่จานรวมกับเกี๊ยวอีกหนึ่งอย่าง ซย่านีสามารถพูดได้ว่ามื้อนี้อาหารช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก อีกทั้งทุกจานยังเต็มไปด้วยรูปรสและกลิ่นหอมกรุ่นน่ารับประทาน ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นอาหารเป็อันต้องน้ำลายสออย่างอดไม่ไหว
ซย่านีกังวลเล็กน้อยว่าพวกเราสามสี่คนจะกินกันไม่หมด
ทันใดนั้นคนที่แสนคุ้นเคยผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องครัว
“หอมจัง...” ซ่งหานเจียงสูดกลิ่นหอมของอาหารและเอ่ยถาม “นี่กำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
[1] ชั่ง 斤 คือ มาตราชั่งน้ำหนักของจีน 1 ชั่ง เท่ากับ 500 กรัม
