"ซิ่วเอ๋อร์ ไยเ้าจึงเงียบไปเล่า?" กู้หลินหลางเอ่ยถาม พลางมองอันซิ่วเอ๋อร์ที่ดูคล้ายใจลอยไปไกล ดวงตาฉายแววขุ่นเคืองจางๆ เขาจำได้ว่าแต่ก่อนนางเฝ้ามองเขาด้วยสายตาเปี่ยมชื่นชมเสมอ แล้วเหตุใดบัดนี้นางจึงเมินเฉยต่อเขาราวกับคนแปลกหน้า?
"เอ๊ะ... ขออภัยเ้าค่ะ พี่กู้" อันซิ่วเอ๋อร์สะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียก นางรีบรวบรวมสติ เก็บข้าวของเข้าที่ ก่อนจะเอ่ยว่า "ข้ากำลังจะแต่งงาน อีกไม่กี่วันพี่ก็จะเดินทางแล้ว ข้าคงไปส่งไม่ได้ จึงขออวยพรให้พี่กู้เดินทางโดยสวัสดิภาพตรงนี้เลยนะเ้าคะ"
กล่าวจบ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยกตะกร้าขึ้นเดินจากไปทันที เมื่อผ่านหน้าสำนักศึกษานางยังโบกมือให้หลานชายครู่หนึ่ง
กู้หลินหลางยืนนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน ในแววตามีประกายวูบไหวขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะดับมืดลง... สตรีที่เขาหมายมั่นไว้ เหตุใดเื่ราวจึงกลับกลายเป็เช่นนี้ไปได้?
เมื่อได้แสดงความในใจต่อกู้หลินหลางจนหมดสิ้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกคล้ายยกูเาออกจากอก บ้านเรือนอันเก่าโทรมปรากฏอยู่เบื้องหน้า นางก้าวเข้าสู่ลานบ้าน พลันเห็นเหลียงซื่อผู้เป็มารดามีคราบน้ำตาอาบแก้ม พอเห็นบุตรสาวกลับมา เหลียงซื่อก็เพียงถอนหายใจแ่เบา พลางเบือนสายตาหลบเลี่ยง
"ท่านแม่ เกิดอันใดขึ้นหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์รีบเดินเข้าไปถามไถ่
เหลียงซื่อมิได้ตอบคำ อันซิ่วเอ๋อร์จึงเดินเข้าบ้านไปเอง เห็นเนื้อหมูชิ้นหนึ่งกับปลาอีกสองตัววางอยู่บนโต๊ะ
"จางเจิ้นอันมาแล้วหรือเ้าคะ?" นางเอ่ยถาม
เหลียงซื่อพยักหน้ารับ "เมื่อครู่เขามากับแม่สื่อ เดิมทีตั้งใจจะมาดูตัวเ้า พอแม่บอกว่าเ้าไม่อยู่ เขาก็มิได้ว่ากระไร เพียงแต่ทำหน้าถมึงทึง วางของไว้แล้วก็จากไป"
จางเจิ้นอันคือชื่อจริงของจางตาบอด อันที่จริง อันซิ่วเอ๋อร์เพิ่งทราบชื่อนี้เมื่อสองวันก่อนเท่านั้น พอได้ยินชื่อนี้ นางกลับยิ่งรู้สึกว่าคงหนีไม่พ้นต้องแต่งกับเขาเป็แน่... จางเจิ้นอัน เจิ้นอัน [1] ... มิใช่มีความหมายว่ามาเพื่อกดขี่นางหรอกหรือ?
"ในเมื่อเขานำของมาให้แล้ว ท่านแม่ยังจะกังวลอันใดอีกเล่าเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ฝืนยิ้มปลอบมารดา "ถึงเขาจะหน้าตาเคร่งขรึมไปบ้าง ก็ใช่ว่าจะเป็คนไม่ดีเสียหน่อย คนรูปงามก็ใช่ว่าจิตใจจะดีงามเสมอไปนี่เ้าคะ เขามาหาข้า ยังอุตส่าห์นำของมาฝาก แสดงว่าเขาก็ใส่ใจข้าอยู่บ้าง ให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้"
"แต่ว่า..." เหลียงซื่อพูดไม่ทันจบประโยค ก็คว้าแขนบุตรสาวไว้ น้ำตาเอ่อคลอ อันซิ่วเอ๋อร์จึงได้แต่ลูบหลังปลอบโยนมารดาเบาๆ
อาจเพราะฝันร้ายเมื่อคืนวาน ประกอบกับได้ยินเหล่าบัณฑิตขับขานบทกวีมู่หลานในวันนี้ ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกราวกับตนเองเติบโตเป็ผู้ใหญ่ขึ้นในชั่วข้ามคืน
เพียงไม่กี่วันก่อน นางยังคงกลัดกลุ้มร่ำไห้ ทว่าบัดนี้นางกลับสงบใจลงได้แล้ว แม้นางจะเป็สตรี แต่ก็ควรทำประโยชน์ให้ครอบครัวได้เช่นเดียวกับฮวามู่หลาน จึงจะสมกับที่บิดามารดาเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูมาสิบกว่าปี
เื่รักๆ ใคร่ๆ ที่ดูจะเป็เื่ไร้สาระนั้น นางไม่ขอคิดถึงอีกต่อไป บัดนี้นางคิดเพียงว่า เมื่อต้องแต่งกับไก่ก็ต้องตามไก่ แต่งกับหมาก็ต้องตามหมา ต่อให้จางเจิ้นอันจะร้ายกาจเพียงใด หรือผู้ใดจะรังเกียจเดียดฉันท์เขา แต่นางในฐานะภรรยา ก็ควรจะปกป้องสามีของตน
ดังนั้น เมื่อเหลียงซื่อเอ่ยขึ้นว่า "เ้าจางตาบอดนั่น หน้าตาดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก..." อันซิ่วเอ๋อร์จึงรีบห้ามไว้ "ท่านแม่ ท่านคิดเช่นนั้นได้อย่างไร คนอื่นจะดูแคลนจางเจิ้นอัน เรียกเขาว่าจางตาบอดก็ช่างเถิด แต่ท่านกำลังจะเป็แม่ยายเขา เป็ญาติผู้ใหญ่ เหตุใดจึงไปดูถูกเขาเหมือนคนอื่นเล่าเ้าคะ? ต่อไปนี้ ข้าไม่อยากได้ยินท่านแม่พูดเช่นนี้อีก"
"ดูเอาเถิด ซิ่วเอ๋อร์นี่ช่างรู้จักเอาอกเอาใจคนเสียจริง ยังไม่ทันแต่ง ก็ออกรับปกป้องว่าที่สามีเสียแล้ว" แม่สื่อฮวายืนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลอัน โบกผ้าเช็ดหน้าในมือ กล่าวกับจางเจิ้นอันที่ยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อครู่นางได้ยินคนบอกว่าอันซิ่วเอ๋อร์กลับมาแล้ว จึงย้อนกลับมาอีกครั้ง ตั้งใจจะพาจางเจิ้นอันมาดูตัวให้เห็นกับตา ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูกเข้าพอดี
แม่สื่อฮวาลอบชำเลืองมองสีหน้าจางเจิ้นอัน เห็นเขายังคงมีใบหน้าเรียบเฉย เคร่งขรึม ไร้ความรู้สึกใดๆ นางถึงกับงุนงง ไม่รู้จะชวนคุยต่ออย่างไรดี แต่ในเมื่อนางเป็แม่สื่อ ก็ต้องพยายามทำทุกทางให้งานนี้สำเร็จลุล่วง นางจึงกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยว่า
"วางใจเถอะน่า ป้าฮวาไม่หลอกเ้าหรอก อันซิ่วเอ๋อร์น่ะเป็หญิงงามอันดับหนึ่งของหมู่บ้านเราเชียวนะ ไม่ใช่แค่รูปโฉมงดงาม จิตใจนางยังดีอีกด้วย ครานี้นับว่าเ้าโชคดีมาก หากไม่ใช่เพราะบ้านตระกูลอันกำลังขัดสนเงินทอง หญิงสาวดีๆ เช่นอันซิ่วเอ๋อร์จะตกมาถึงมือเ้าได้อย่างไร"
พูดไปแล้ว แม่สื่อฮวาก็รู้สึกเห็นใจอันซิ่วเอ๋อร์ขึ้นมา จึงเผลอพูดไม่เข้าหูไปบ้าง โชคดีที่จางเจิ้นอันดูจะไม่ใส่ใจ นางจึงรีบตั้งสติแล้วถามว่า "แล้วนี่... เ้าจะยังเข้าไปดูตัวนางหรือไม่?"
"ไม่ล่ะ" จางเจิ้นอันส่ายหน้า ควักห่อเงินออกมาจากอกเสื้อ "เงินสินสอดนี่ ฝากท่านมอบให้บ้านตระกูลอันด้วย" กล่าวจบ เขาก็ก้าวเท้าจากไปทันที
แม่สื่อฮวามองห่อเงินในมือ พลางครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเ้าจางตาบอดผู้นี้พอใจอันซิ่วเอ๋อร์หรือไม่กันแน่ นางถอนหายใจแ่เบา ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้ม เดินเข้าไปในลานบ้าน พร้อมกับส่งเสียงร้องทักแต่ไกล "ข่าวดีจ้า ข่าวดี คุณชายจางฝากข้ามาสู่ขอลูกสาวบ้านนี้แล้ว!"
"จริงหรือ?" เหลียงซื่อรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ลุกขึ้นต้อนรับ "แม่สื่อฮวามาแล้ว เชิญนั่งก่อนๆ"
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าเป็แม่สื่อฮวา จึงก้มหน้า เก็บกวาดโต๊ะ แล้วรินชาให้แขก
"แหม ซิ่วเอ๋อร์นี่งามสมคำร่ำลือจริงๆ เป็สาวงามอันดับหนึ่งของหมู่บ้านเราโดยแท้" แม่สื่อฮวารับถ้วยชาจากอันซิ่วเอ๋อร์ เห็นใบหน้านวลผ่องของนางแดงระเรื่อ ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดู จึงอดที่จะเอ่ยชมไม่ได้
"ซิ่วเอ๋อร์ เ้าเข้าห้องไปก่อนเถอะ" เหลียงซื่อนั่งลง แล้วบอกกับบุตรสาว
อันซิ่วเอ๋อร์จึงเชื่อฟัง เดินเลี่ยงเข้าไปในห้องด้านใน นั่งลงบนขอบเตียง แต่หูก็ยังคอยเงี่ยฟังคำพูดของแม่สื่อฮวาที่คุยกับมารดาอยู่ด้านนอก
"อันที่จริง ตามธรรมเนียมหมู่บ้านชิงสุ่ยเรา ซิ่วเอ๋อร์ควรจะได้พบหน้ากับจางเจิ้นอันก่อน แต่เมื่อครู่เขามาถึงหน้าประตูแล้ว พอได้ยินคำพูดของซิ่วเอ๋อร์เข้า เขาก็พอใจมาก ข้าบอกเขาไปว่าซิ่วเอ๋อร์เป็คนอ่อนโยน กตัญญู เขาก็ยิ่งชอบใจ ควักเงินให้ข้ามาสู่ขอทันที เห็นหรือไม่ว่าเขาให้ความสำคัญกับลูกสาวบ้านท่านเพียงใด?"
แม่สื่อฮวาพยายามพูดจาหว่านล้อมยกยอ แต่เห็นเหลียงซื่อยังคงมีสีหน้าอมทุกข์ ไม่ค่อยจะยินดีนัก จึงวางห่อเงินลงบนโต๊ะ "นี่ เงินหกตำลึงเต็ม ไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียว ไม่เหมือนบ้านอื่นที่ให้สินสอดเพียงน้อยนิด แถมยังต้องต่อรองแล้วต่อรองอีก คนผู้นี้ถึงจะอายุมากไปหน่อย แต่ก็รู้จักเอาใจใส่คนอื่น แถมยังเป็คนตรงไปตรงมา"
"เ้าค่ะ ใช่เ้าค่ะ" เหลียงซื่อรีบพยักหน้ารับ ในใจเริ่มคล้อยตามและยินดีขึ้นมาบ้าง
"ถึงแม้ว่าเ้าจางเจิ้นอันนี่จะมีรูปพรรณสัณฐานดูดุดันไปสักหน่อย แต่เขาก็มีข้อดี ลูกสาวท่านแต่งไปแล้ว ต่อไปใครหน้าไหนจะกล้ามารังแกนางได้?" แม่สื่อฮวาเสริม
เหลียงซื่อลองคิดตามดูก็เห็นว่าจริง จึงพยักหน้าเห็นด้วย
แม่สื่อฮวาเห็นดังนั้นจึงกล่าวสรุป "เป็อันว่าตกลงตามนี้ เงินทองข้าจะวางไว้ให้ การแต่งงานครั้งนี้ถือว่าเป็การตกลงกันแล้ว พวกเราเป็ชาวบ้านธรรมดา ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย ข้าดูท่าทีจางเจิ้นอันแล้ว เขาคงอยากรับซิ่วเอ๋อร์ไปเป็ภรรยาโดยเร็ว พวกท่านก็เอาเงินนี่ไปตัดชุดใหม่ให้ซิ่วเอ๋อร์ เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน"
"แล้วจางเจิ้นอันได้บอกฤกษ์ยามไว้หรือไม่?" เหลียงซื่อเอ่ยถาม
"ข้าคำนวณกับเขาดูแล้ว วันที่ยี่สิบแปดเดือนนี้นี่แหละ เป็ฤกษ์งามยามดี" แม่สื่อฮวาตอบ
"เร็วถึงเพียงนั้นเชียว?" เหลียงซื่อใจหายวาบ ไม่อยากให้บุตรสาวต้องรีบแต่งออกไปเร็วถึงเพียงนี้
"แหม ก็พูดคุยกันมาหลายวันแล้วนี่นา จางเจิ้นอันเขาก็อายุไม่น้อยแล้ว อยากจะรีบรับลูกสาวท่านไปอยู่ด้วยเร็วๆ น่ะ" แม่สื่อฮวายิ้มอย่างมีความนัยให้เหลียงซื่อ ก่อนจะลุกขึ้น "ตกลงตามนี้นะ ข้าขอตัวก่อนล่ะ"
หลังจากแม่สื่อฮวาจากไปแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์จึงค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง เหลียงซื่อนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ พอเงยหน้าขึ้นเห็นบุตรสาว ก็เอ่ยถาม "ซิ่วเอ๋อร์ เ้าได้ยินหมดแล้วสินะ?"
"เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า
"เ้าอย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย เดี๋ยวตอนเย็นแม่จะลองปรึกษากับพ่อเ้าดู ลองพูดคุยกับทางจางเจิ้นอัน ว่าจะขอเลื่อนวันออกไปอีกหน่อยได้หรือไม่" เหลียงซื่อเอ่ยปลอบ
"ท่านแม่ อย่ากังวลไปเลยเ้าค่ะ แต่งเร็วแต่งช้า อย่างไรก็ต้องแต่ง มีอันใดให้ต้องยืดเยื้ออีก" อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า "ข้าได้ยินมาว่าจางเจิ้นอันทำประมง แต่งไปเร็วเท่าไร ข้าจะได้รีบมีหลานชายให้ท่านอุ้ม ให้เขามาช่วยพวกเราทำงานบ้านเร็วๆ"
"พูดจาเหลวไหล ลูกเขยที่ไหนเขาจะมาทำงานให้บ้านแม่ยายกัน" เหลียงซื่อเอ็ดเบาๆ แต่มองสีหน้าบุตรสาวที่ไม่ได้แสดงความขุ่นข้องใจออกมา ก็ค่อยวางใจลงได้บ้าง
อันซิ่วเอ๋อร์เพียงยิ้มตอบมารดา ที่จริงแล้ว นางอยากจะรีบแต่งออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้หลีกหนีกู้หลินหลาง เกรงว่าเขาจะยังคงคิดไม่ซื่อกับนางอยู่อีก
"ท่านแม่เ้าคะ ท่านส่งข้าวให้ท่านพ่อแล้วหรือยัง?" อันซิ่วเอ๋อร์นึกขึ้นได้
"ไอหยา แม่ลืมไปเลย" เหลียงซื่อตบหน้าผากตัวเองเบาๆ รีบลุกไปทางห้องครัว "ป่านนี้พ่อเ้าคงหิวแย่แล้ว"
"ท่านแม่ค่อยๆ ไปก็ได้เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ยกปลาและเนื้อที่เหลียงซื่อวางไว้ในตะกร้าตามเข้าไปในครัว "่นี้ท่านพ่อทำงานหนัก เอาปลาไปต้มน้ำแกงให้ท่านซดหน่อยเถิดเ้าค่ะ พอบ่ายๆ กลับมา จะได้ไม่บ่นว่าท่านแม่ปล่อยให้หิวโซ"
"เออ จริงของเ้า" เหลียงซื่อว่าพลางรีบลงมือจัดการกับปลา
อันซิ่วเอ๋อร์ช่วยอุ่นข้าวในหม้อ พลางถาม "แล้วต้ายากับเอ้อร์ยาเล่าเ้าคะ ไปไหนกัน?"
"แม่ให้พวกนางไปเก็บหญ้าหมู" เหลียงซื่อตอบ "เด็กสองคนนี้นะ ไปเก็บหญ้าหมูประเดี๋ยวเดียว ป่านนี้ยังไม่กลับ ไม่รู้มัวไปอู้ที่ไหน"
อันซิ่วเอ๋อร์ฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างจนใจ "ท่านแม่อย่าเพิ่งบ่นเลยเ้าค่ะ ่นี้คนออกไปหาหญ้าหมูกันเยอะแยะ สองคนนั้นจะรีบกลับมาได้อย่างไร"
ในบ้านตระกูลอัน ทุกคนล้วนมีงานต้องทำ หากจะมีใครว่างที่สุด ก็คงเป็อันซิ่วเอ๋อร์นี่เอง วันๆ นางมักจะอยู่แต่ในบ้าน ปักผ้าบ้าง ช่วยนำส่งข้าวให้บิดาบ้าง ยามถึงฤดูทำนาจึงจะออกไปช่วยงานไร่งานนาบ้างเล็กน้อย นับแต่เล็กจนโต นางเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อเฒ่าอันและเหลียงซื่อ สองสามีภรรยาเฝ้าทะนุถนอมนางยิ่งนัก พอนึกถึงสิ่งที่ตนเลือกในความฝัน อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมา
อย่างไรเสีย นั่นก็เป็เพียงความฝัน อันซิ่วเอ๋อร์ปลอบใจตนเองเช่นนั้น ก็รู้สึกสบายใจขึ้น นางลงมือตักข้าวอย่างคล่องแคล่ว ล้างเนื้อที่จางเจิ้นอันนำมา หั่นเป็ชิ้นพอดีคำ คลุกเคล้ากับแป้งข้าวเ้าเล็กน้อย ใส่ในจาน เตรียมจะนำไปนึ่งพร้อมกับน้ำแกงปลา
"เ้าเด็กคนนี้นะ ทำอะไรก็ดีไปหมด เสียแต่ว่ามือเติบไปหน่อย" เหลียงซื่อกำลังขอดเกล็ดปลาอยู่ เห็นการกระทำของบุตรสาวก็อดที่จะเอ็ดไม่ได้
อันซิ่วเอ๋อร์หาได้โกรธเคืองไม่ นางเดินไปที่เตา ช่วยก่อไฟ พลางเอ่ยว่า "่นี้ท่านพ่อทำงานหนัก ให้ท่านได้กินเนื้อดีๆ บ้าง จะได้มีกำลังใจเ้าค่ะ"
"แล้วเ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเนื้อนี่มันแพงแค่ไหน?" เหลียงซื่อเดินมา เห็นหม้อล้างสะอาดดีแล้ว จึงตักน้ำมันหมูเล็กน้อยทาก้นหม้อ ใส่ขิงซอยลงไปเจียวพอหอม แล้วจึงใส่ปลาลงไป
น้ำมันน้อยเกินไป ปลาจึงเริ่มติดก้นหม้อ เหลียงซื่อรีบตักน้ำใส่ลงไป แล้วต้มต่อไป
"เอาเนื้อลงไปต้มด้วยกันเลยสิเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์เสนอ เหลียงซื่อเหลือบมองบุตรสาวอย่างตำหนิ ก่อนจะหาซึ้งไม้ไผ่มาวางซ้อนบนหม้อ แล้วจึงวางจานเนื้อลงไปนึ่ง
"รู้ทันน่าว่าเ้าอยากกิน" เหลียงซื่อพูดพลางต้มปลาไปพลาง จัดเตรียมข้าวของใส่กล่องอาหาร เตรียมให้อันซิ่วเอ๋อร์นำไปส่งที่นา
ฟืนในเตาให้ไฟแรงดี ปลาจึงสุกเร็ว เหลียงซื่อเปิดฝาหม้อ ยกซึ้งไม้ไผ่กับจานเนื้อนึ่งออกมา โรยต้นหอมซอยกับเกลือเล็กน้อยลงในหม้อแกงปลา ก็เป็อันเสร็จเรียบร้อย
นางใช้หม้อดินใบเล็กตักแกงปลาใส่ ก่อนจะบรรจงจัดวางลงในตะกร้าอย่างดี แล้วเปิดกล่องอาหาร คีบเนื้อนึ่งสองชิ้นใส่ลงไปในชามผักดอง
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นแล้วจึงว่า "ใส่เพิ่มอีกชิ้นเถิดเ้าค่ะ พี่สะใภ้รองก็ทำงานหนักเหมือนกัน"
"เ้าเด็กโง่เอ๊ย" เหลียงซื่อว่า แต่ก็ยอมตามใจ คีบเนื้อใส่ลงไปอีกชิ้น
"ท่านแม่ใจดีที่สุดในโลกเลยเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยชมเอาใจมารดา จากนั้นจึงปิดฝากล่องอาหาร แล้วยกตะกร้าและกล่องอาหาร มุ่งหน้าไปยังทุ่งนา
เชิงอรรถ
[1] คำว่า ‘เจิ้น’ แปลว่า กด เหมือนรวมกับคำว่า ‘อัน’ ซึ่งเป็ชื่อของตระกูลอัน ‘เจิ้นอัน’ จึงสามารถสื่อได้ว่า กดขี่ตระกูลอัน
