เหยาเชียนเชียนเ็ปจากการสูญเสียคลังสมบัติ ด้วยเหตุนี้นางจึงทอดถอนใจอยู่หลายวัน และรู้สึกว่าสภาพจิตใจของนางไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้
จนกระทั่งถึงวันที่มีการจัดงานเลี้ยงร้อยบุปผาในวังหลวง ในที่สุดเป่ยเหลียนโม่ก็มีโอกาสได้เจอนาง หลังจากส่งคนไปแจ้งเหยาเชียนเชียนแล้วก็จัดเตรียมรถม้ารอนางั้แ่เช้าตรู่
“งานเลี้ยง? เข้าวังหลวง?”
เหยาเชียนเชียนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวแล้วพูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้าไม่อยากไป”
“โธ่ พระองค์จะไม่เสด็จไปไม่ได้นะเพคะ” หัวหน้าสาวใช้าุโพูดโน้มน้าว “ท่านอ๋องทรงรอพระองค์อยู่ อีกอย่างงานเลี้ยงครั้งนี้ก็น่าสนใจมากทีเดียวเพคะ หากพระองค์อุดอู้อยู่ในห้องทั้งวัน นานวันเข้าร่างกายจะอ่อนแอลงนะเพคะ”
เขาอยากไปก็ไปสิ เหยาเชียนเชียนยังคงเสียใจที่นางสูญเสียทรัพย์สมบัติ นางคิดว่าอาจจะ้าเวลาอีกสักสิบวันหรือครึ่งเดือนจึงจะดีขึ้นมาได้
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นายไร้การเคลื่อนไหว หัวหน้าสาวใช้าุโจึงนึกไปถึงคำสั่งที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “บ่าวได้ยินมาว่ามีคุณหนูตระกูลขุนนางหลายคนเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย เมื่อถึงเวลานั้นหากผู้ใดสามารถทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยได้จะได้รับรางวัลพระราชทานด้วยนะเพคะ”
รางวัลพระราชทาน?
เหยาเชียนเชียนดิ้นขลุกขลักใต้ผ้าห่ม นางอยากถามเหลือเกินว่าฮ่องเต้จะทรงเข้าร่วมงานเลี้ยงของเหล่าสตรีเช่นนี้ด้วยหรือ?
แต่ในเมื่อคนเยอะเช่นนั้นก็อาจจะมีความครึกครื้น จึงจะต้องมีผู้ดูแลภาพรวมคนหนึ่ง และรางวัลพระราชทานเป็สิ่งใดก็ยังไม่สามารถบอกได้
“มามากล่าวถูกต้องแล้ว หลายวันมานี้ข้าอุดอู้จนรู้สึกกลัดกลุ้มจริงๆ ช่วยข้าแต่งตัวเถิด อย่าให้ท่านอ๋องต้องรอนาน”
สาวใช้าุโตอบรับอย่างดีใจ วิธีของท่านอ๋องได้ผลดีตามคาด
เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเหยาเชียนเชียนก็ออกมาจากจวน เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองไปยังผู้มาใหม่ จากนั้นเขาก็เดินขึ้นรถม้านำไปก่อน โดยปกติเขามักจะขี่ม้าไปเอง แต่วันนี้ก็ได้รับความเพลิดเพลินจากการนั่งรถม้าเช่นกัน
เมื่อเห็นเขาก็อดนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้ เหยาเชียนเชียนอยากคว้าคอเสื้อเป่ยเหลียนโม่ให้เขาคืนเงินให้นางเหลือเกิน แต่พอคิดถึงแขนบอบบางและขาเล็กๆ ของตัวเองแล้วก็ทำได้เพียงแค่นยิ้มออกมา
“ทำท่านอ๋องรอนานแล้ว”
เป่ยเหลียนโม่กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ถือว่านานนัก เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้นเอง”
เหยาเชียนเชียนเงียบเสียงและขึ้นรถม้าไป อดพร่ำบ่นในใจไม่ได้ว่า ‘ข้าก็ไม่ได้ขอให้ท่านรอสักหน่อย อีกอย่างก็เห็นได้ชัดว่าท่านเพิ่งแจ้งข้าเมื่อไม่นานนี้เอง’
“หวังเฟยต่อว่าเปิ่นหวังในใจว่าอย่างไรหรือ” เป่ยเหลียนโม่พลันโน้มตัวเข้ามาใกล้ “เห็นสีหน้าของหวังเฟยราวกับไม่พอใจเปิ่นหวังเป็อย่างยิ่ง เปิ่นหวังทำสิ่งใดที่เป็การล่วงเกินหวังเฟยโดยไม่รู้ตัวหรือ”
คืนเงินมาให้ข้า!
เหยาเชียนเชียนกดยิ้มกว้างราวกับมีความสุขยิ่งนักพลางส่ายหน้ารัว “ย่อมไม่มีเื่เช่นนั้นเพคะ บางทีวันนี้หม่อมฉันอาจจะอารมณ์ไม่ดีนัก ทำให้ท่านอ๋องทรงเข้าใจผิดไป”
ยากจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสรุปคำใดเป็ความจริง คำใดเป็ความเท็จ เป่ยเหลียนโม่หลับตาลงไม่มองนางอีก เขาเองก็มีเื่ต้องครุ่นคิดเช่นกัน
ความรำคาญใจใน่หลายวันมานี้เป็เพราะเหตุใดกัน เป็เพราะสตรีผู้นี้อย่างนั้นหรือ?
รถม้าค่อยๆ หยุดลงที่หน้าประตูพระราชวัง ระหว่างทางเป่ยเหลียนโม่กล่าวกับนางสั้นๆ ด้วยเจตนาดีว่างานเลี้ยงในครั้งนี้เดิมทีควรถูกดำเนินการโดยสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวง
ทว่าที่ไม่บังเอิญคือ เดิมทีอวี๋เฟยที่เป็ที่โปรดปรานมากที่สุดได้กลายเป็อวี๋ผินไปแล้ว เมื่อไม่มีนาง หน้าที่นี้จึงตกไปถึงฮุ่ยเฟย
กล่าวถึงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ไหนเลยจะไม่นับเป็เกียรติยศอย่างหนึ่ง
เหยาเชียนเชียนทอดถอนใจ หวังว่าวันนี้นางจะได้รับผลประกอบการที่ดีนะ
งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงสตรีเข้าร่วมเสียทีเดียว เมื่อเทียบกับงานเลี้ยงทางการของราชสำนัก หรือการล่าสัตว์อันน่าตื่นเต้นเร้าใจ งานสังสรรค์ชมบุปผาอันแสนสบายประเภทนี้ย่อมเป็ที่นิยมมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เหยาเชียนเชียนเห็นองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองที่ได้พบเมื่อครั้งก่อน นางภาวนาในใจอย่างอดไม่ได้ว่าขออย่าให้องค์ชายสามที่น่ารำคาญผู้นั้นออกมาร่วมสนุกด้วยเลย ร่างกายไม่แข็งแรงก็นอนพักรักษาตัวอยู่เฉยๆ ไปเถิด
“น้องสี่” องค์ชายใหญ่เอ่ยทักเป่ยเหลียนโม่ั้แ่ไกล มีสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์สีสันสวยงามยืนอยู่ข้างกาย คาดว่านั่นคงเป็หวังเฟยของเขา
“ไม่คิดเลยว่าเ้าจะมาร่วมงานด้วย” องค์ชายใหญ่มองเป่ยเหลียนโม่ด้วยสายตาสื่อนัยอื่น “นี่คงเป็น้องสะใภ้ละสิ าแเป็อย่างไรบ้าง ครั้งนั้นทำเอาพวกข้าใแทบแย่”
เป่ยเหลียนโม่จับมือของเหยาเชียนเชียนไว้ ท่าทางผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“ลำบากพี่ใหญ่เป็ห่วงแล้ว าแของเชียนเชียนดีขึ้นมากแล้ว ข้ากลัวว่านางขลุกอยู่แต่ในจวนแล้วจะเบื่อ ดังนั้นวันนี้จึงพาออกมาด้วยกัน”
องค์ชายใหญ่สบตากับหวังเฟยของเขา จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง เมื่อเห็นสายตางุนงงของเหยาเชียนเชียนก็กระซิบบอกอย่างอดไม่ได้ว่า “น้องสี่ของข้าแต่ก่อนขอให้มาเท่าไรก็ไม่ยอมมา ทว่าวันนี้สามารถมาเป็เพื่อนน้องสะใภ้ เห็นได้ชัดว่าในใจของเขารักเ้ามากเพียงใด”
เหยาเชียนเชียนได้ฟังแล้วก็ไม่รู้สึกว่าเป่ยเหลียนโม่จะทำเพื่อนางจริงๆ นางทำเพียงถอนใจอยู่ในใจ ทักษะการแสดงของชิงผิงอ๋องผู้นี้นับวันก็ยิ่งยอดเยี่ยม ยามนี้เขาได้ประสบความสำเร็จในการปั้นแต่งตัวเองเป็ชายหนุ่มผู้มีความรู้สึกลึกซึ้งและหลงใหลในรัก
นางจะไม่ยอมให้เขามาว่านางเป็ตัวถ่วงเด็ดขาด
“ใช่แล้วเพคะ ท่านอ๋องทรงเอาใจใส่หม่อมฉันมาตลอด” เหยาเชียนเชียนพยักหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย “ยามที่าเ็หนักก็มีท่านอ๋องคอยอยู่ข้างๆ ความรู้สึกนี้หม่อมฉันมิอาจลืมเลือนได้เลยเพคะ”
อีกทั้งยังถือโอกาสที่ร่างกายของนางไม่ค่อยดีแย่งชิงคลังสมบัติน้อยของนางไปอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะเนื้อแท้จิตใจของนางแข็งแกร่งมากพอ มิเช่นนั้นนางคงจะสลบไปในลมหายใจเดียว
องค์ชายใหญ่ซาบซึ้งใจไม่หยุดหย่อน เขาย่อมรู้การพลิกผันของการแต่งงานจอมปลอมครั้งนี้ ทว่ายามนี้ได้เห็นทั้งคู่รักกันชื่นมื่นเช่นนี้ก็นับว่าเป็เื่ดี
ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีคนผู้หนึ่งเข้ามาค้อมกายคารวะให้อย่างงดงาม
“ถวายบังคมองค์ชายใหญ่ ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
หญิงสาวผู้มีคิ้วงามงอนและฟันขาวสะอาด บุคลิกงดงามบริสุทธิ์ดุจกล้วยไม้ นางในชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีชมพูนั้นดูงดงามหรูหราน่าประทับใจ เหยาเชียนเชียนได้ยินผู้คนทักทายนาง จึงได้รู้ว่าสตรีผู้นี้เป็บุตรสาวของเฉิงเซี่ยง [1] มีนามว่า ซ่งอีอี
เพียงแต่เมื่อดูไปแล้ว ความคิดของคุณหนูซ่งผู้นี้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าสถานะของนางเสียอีก
“ท่านอ๋อง” ซ่งอีอีมีท่าทีเขินอาย “อีอีได้ยินพระนามของท่านอ๋องมาเนิ่นนานแล้ว วันนี้มีวาสนาได้พบ ท่านอ๋ององอาจกล้าหาญเหนือผู้อื่นยิ่งกว่าคำเล่าลืออีกเพคะ”
“ขอบคุณคุณหนูซ่ง เปิ่นหวังไม่ต่างจากผู้อื่น คำเล่าลือนั้นเกินจริงไปมาก คุณหนูฟังแล้วอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองเหยาเชียนเชียน แต่กลับเห็นเพียงสีหน้านิ่งขรึมของนาง ราวกับนางไม่เห็นว่ากำลังมีคนพูดคุยกับเขาอยู่ ถึงอย่างไรสถานะของนางก็เป็ถึงหวังเฟยของเขา เห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วจะไม่กล่าวอันใดสักสองสามคำเลยหรืออย่างไร?
คล้ายกับมีสายตาคับแค้นใจส่งมาจากข้างกาย เหยาเชียนเชียนหันไปมองด้วยความสงสัย เห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางเ็าอีกแล้ว เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ เหตุใดถึงเปลี่ยนสีหน้าอีกแล้วเล่า
ว่ากันว่าจิตใจของสตรีนั้นคาดเดายาก แต่นางคิดว่าจิตใจของท่านอ๋องผู้นี้คาดเดายากยิ่งกว่า
“นั่งลงเถิด งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของเหยาเชียนเชียน เป่ยเหลียนโม่ก็ทำได้เพียงดึงให้นางนั่งลง ส่วนซ่งอีอีถูกทิ้งให้ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว จึงจำต้องกลับไปยังที่นั่งของตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์
“คราแรกเปิ่นหวังคิดว่าหวังเฟยยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ดูท่าว่ายามนี้เปิ่นหวังจะคิดมากไปเอง”
เหยาเชียนเชียนอยากส่ายหน้าเหลือเกิน เขาไม่ได้คิดมากไปเองหรอก แย่งทรัพย์สินของนางไปมากขนาดนั้น หากนางยังดีใจได้อยู่ถึงจะเรียกว่าประหลาด
“ท่านอ๋องทรงกังวลเกินไปแล้วเพคะ ได้ทำประโยชน์เพื่อทหารของเป่ยจิ้งเป็เกียรติของเชียนเชียนเพคะ”
เอาเถิด ขนาดกล่าวเื่ความรู้สึกนางก็ยังมีแต่เื่เงินเ่าั้ เป่ยเหลียนโม่หัวเราะอย่างโกรธเคือง สิ่งที่เขาพูดและนางพูดเป็คนละเื่กันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้หญิงสาวต้องเชื่องช้าเพียงใดถึงััไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
หรือต้องให้เขาเตือนนางว่าเมื่อครู่ซ่งอีอีผู้นั้นยังไม่ละสายตาไปจากเขาเลย ส่วนนางเป็ถึงหวังเฟยของเขาแต่กลับมีท่าทีทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น อยากเว้นที่ว่างไว้ให้ผู้อื่นหรืออย่างไร?
หากกล่าวในแง่ของสถานะ เห็นได้ชัดว่าซ่งอีอีซึ่งเป็บุตรสาวของเซียงฝู่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในการเป็ชายาของชิงผิงอ๋อง หากไม่ใช่เพราะเป่ยเหลียนโม่ร้องขอราชโองการจากฮ่องเต้ในคราแรก บุตรสาวอนุอย่างเหยาเชียนเชียนจะมีคุณสมบัติในตำแหน่งนี้ได้อย่างไร
อีกทั้งสตรีผู้นี้มักมีท่าทางไม่เต็มใจอีกด้วย ชิงผิงอ๋องเงยหน้าขึ้นกระดกสุราจนหมดจอก พลางคิดว่าวันนี้ตนไม่ควรพานางมาด้วยกัน
“ผู้คนในปีนี้เยอะกว่าปีที่ผ่านมามากทีเดียว” หลังจากฮุ่ยเฟยนั่งลงแล้วจึงกวาดสายตามองไปรอบด้านและมองเห็นเป่ยเหลียนโม่อย่างคาดไม่ถึง นางจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ชิงผิงอ๋องเป็แขกที่นานๆ มาครั้ง ปีที่แล้วไม่ได้เห็นท่านอ๋อง ปีนี้เรียกได้ว่าให้เกียรติเปิ่นกงไม่น้อย”
เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นคำนับเล็กน้อย และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าตนมาเพื่อหวังเฟย นางาเ็หนักอยู่หลายวัน จึงอยากพานางออกมาเปิดหูเปิดตา เมื่อคำนี้กล่าวออกมาก็ยิ่งทำให้สตรีที่นั่งอยู่พากันอิจฉา
“ชายาของชิงผิงอ๋องมีวาสนายิ่งนัก” ฮุ่ยเฟยหัวเราะน้อยๆ “เหตุการณ์ในการล่าสัตว์ครั้งนั้นเปิ่นกงก็ทราบแล้ว เด็กๆ ไปนำโสมสองแท่งจากตำหนักของเปิ่นกงมามอบแด่หวังเฟย โสมเ่าั้ล้วนเป็สิ่งที่ฝ่าาพระราชทานแด่เปิ่นกง ทว่าของดีวางทิ้งไว้เฉยๆ ก็เสียเปล่า ชายาของชิงผิงอ๋องนำไปบำรุงร่างกายก็ดีเหมือนกัน”
เหยาเชียนเชียนรับของมาและค้อมกายคำนับ ของสิ่งนี้นางเคยได้ยินมาตลอดแต่ไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเอง แม้จะกล่าวว่าเป็โสมพันปีที่ดูเหมือนโสมธรรมดาทั่วไป ทว่าเมื่อได้รับมาอยู่ในมือแล้วนางจึงััได้ถึงความล้ำค่าของสิ่งนี้
ส่วนมากในตลาดล้วนเป็ของปลอมทั้งสิ้น ทว่าชิ้นที่อยู่ในมือนางเป็ของจริง ไม่รู้ว่าโสมแท่งนี้จะสามารถขายได้ราคาเท่าไร เป็ของดีเสียด้วย นางไม่ได้มาร่วมงานโดยเสียเปล่าจริงๆ
“ขอบพระทัยเหนียงเหนี่ยง”
เป่ยเหลียนโม่มองสตรีผู้นั้นพลางยกมุมปากขึ้น ในใจทั้งโกรธทั้งขบขัน หวังเฟยผู้นี้ของเขาช่างสนใจแค่ผลกำไรโดยแท้ เกรงว่าในใจของนาง เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็คงมีประโยชน์มากกว่าเขากระมัง
“ที่นี่ไม่เคร่งครัดพิธีรีตอง ทุกคนผ่อนคลายสักหน่อยก็ดี”
ฮุ่ยเฟยมีความสุขมากที่ได้รับความช่วยเหลือจากเหยาเชียนเชียน ประการแรก เหยาเชียนเชียนช่วยนางทางอ้อม เดิมทีอวี๋เฟยเป็ที่โปรดปรานมานานหลายปี แต่คราวนี้หญิงผู้นั้นประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ หากนางไม่ถูกปลดเป็อวี๋ผิน ตำแหน่งแม่งานในงานเลี้ยงร้อยบุปผาครั้งนี้คงไม่ตกมาถึงนาง
ประการที่สอง ชิงผิงอ๋องได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้มาโดยตลอด นางสามารถทำดีต่อเขาได้ ในอนาคตเขาก็จะจดจำความดีเหล่านี้ของนาง
“ท่านอ๋องดูอะไรอยู่หรือ” เหยาเชียนเชียนซ่อนโสมไว้กับตัวเอง อย่าบอกนะว่าของเล็กน้อยเหล่านี้ก็ยังจะแย่งชิงไปอีก “ท่านอ๋องดูดอกไม้ดอกนั้นสิเพคะ ผลิบานได้งดงามนัก”
ในเมื่อเป็งานเลี้ยงร้อยบุปผา ย่อมขาดดอกไม้สดนานาพันธุ์ไปไม่ได้ ยามนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว และมีเพียงในวังหลวงเท่านั้นที่จะสามารถจัดงานเลี้ยงได้ใน่เวลาแบบนี้ กำลังทรัพย์ในเื่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้
“นั่นคือดอกโบตั๋น หวังเฟยชอบดอกโบตั๋นหรือ?”
เป่ยเหลียนโม่มองนาง พลางเด็ดดอกไม้ข้างๆ กันติดมือมาด้วย จากนั้นก็ค่อยๆ เสียบลงบนมวยผมของนางอย่างเบามือและพินิจอย่างละเอียด
“แต่เปิ่นหวังคิดว่าดอกไห่ถังมีเสน่ห์อันน่าพิลาสมากกว่า ทว่าคนงามกว่าบุปผา ดอกไห่ถังดอกนี้เมื่ออยู่บนศีรษะของหวังเฟยก็สูญเสียความสดสวยไปหลายส่วน”
เหยาเชียนเชียนถูกเขาจ้องมองอย่างตั้งใจเช่นนี้ นางรู้สึกเพียงใบหน้าที่เห่อร้อนจนต้องก้มหน้าลงอย่างเสียไม่ได้ แม้ในยามปกติคนผู้นี้จะดูแปลกไปบ้าง และที่หนักกว่านั้นคือชอบทรมานนาง แต่ก็ต้องกล่าวอย่างสัตย์จริงว่าใบหน้าอันมีเสน่ห์เช่นนั้นยากจะต้านทานจริงๆ
เป่ยเหลียนโม่อดไม่ได้ที่จะบีบหูของหญิงสาว ใบหูของนางเปลี่ยนเป็สีแดงทั้งหมดรวมถึงติ่งหูเล็กๆ นั้นด้วย จะวิเศษเพียงใดถ้าเขาสามารถละเลียดน้ำชาในปากแล้วค่อยๆ ลิ้มรสอย่างระมัดระวัง
เชิงอรรถ
[1] เฉิงเซี่ยง หมายถึง อัครมหาเสนาบดี เป็ข้าราชการฝ่ายบริหารชั้นสูงสุดในจักรวรรดิจีน มีชื่อเรียกในภาษาจีนต่างกันไปตามแต่ละยุค อำนาจหน้าที่ก็แตกต่างกันไปในแต่ละสมัย
