ลู่เชียนตื่นนอนล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เขาหยิบเสื้อคลุมตัวยาวสีม่วงอมฟ้าที่แขวนอยู่ที่หัวเตียงอย่างระมัดระวัง แสงแดดจากภายนอกส่องทะลุหน้าต่างเข้ามา ทำให้เห็นว่าตรงปกเสื้อและชายแขนเสื้อมีการปักลวดลายเอาไว้ ดูสง่างามไม่ฉูดฉาด
ผมสีดำถูกเกล้าขึ้นปักไว้ด้วยปิ่นหยก ด้านในสวมเสื้อติดกระดุมหน้าสีงาช้าง พื้นรองเท้าสีขาวตัวรองเท้าสีดำปักลายเมฆมงคล ดูราวกับคุณชายผู้สูงศักดิ์
หากเป็คนที่ไม่รู้อะไรมาเห็นเข้าเกรงว่าคงจะคิดว่าลู่เชียนมาจากตระกูลใหญ่จริงๆ ใครจะรู้ว่าเขามาจากหุบเขาลึก
เด็กรับใช้รออยู่หน้าประตูครู่หนึ่งแล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านในก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณชาย อาหารเช้าเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“เข้ามาเถอะ”
เด็กรับใช้เปิดประตูเข้ามาอย่างระมัดระวัง วางจานในมือลงบนโต๊ะ อดชื่นชมไม่ได้ “คุณชาย การสอบวันนี้ท่านไม่ต้องเขียนบทความ เพียงแค่ออกไปยืนตรงหน้า พวกอาจารย์ก็คงปล่อยให้ท่านผ่านแล้วขอรับ”
ลู่เชียนเคาะหน้าผากเด็กรับใช้คนนั้นเบาๆ อย่างขบขัน “ซุกซนจริง”
เด็กรับใช้คนนี้มีนามว่า โก่วจื่อ เป็เด็กรับใช้ที่เถ้าแก่เฉินช่วยซื้อแล้วส่งมาให้ตอน่ปลายฤดูใบไม้ผลิ เป็เพราะเสี่ยวหมี่กังวลว่าพี่ชายที่อยู่ไกลบ้านจะดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ อย่างไรเสียตอนนี้ที่บ้านก็ไม่ขาดเงิน จึงรบกวนให้เถ้าแก่เฉินช่วยหาเด็กน้อยที่บ้านยากจนแต่รู้ความส่งมาให้
ยามนี้โก่วจื่อเรียนหนังสืออยู่กับลู่เชียน ยามปกติก็จัดเตรียมอาหารซักผ้าอย่างเต็มที่ ทำให้ลู่เชียนมีเวลาทุ่มเทให้กับการเรียนมากขึ้น จึงรู้สึกมั่นใจเป็อย่างมาก
สองนายบ่าวนั่งลงกินอาหารเช้า ถ้วยหนึ่งเล็กถ้วยหนึ่งใหญ่ ถ้วยใหญ่มีเนื้อมากกว่าถ้วยเล็ก
ลู่เชียนตักเนื้อในถ้วยของเขาแบ่งให้โก่วจื่อ ทำให้เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ สุดท้ายก็ก้มหน้าก้มตากินด้วยขอบตาแดงก่ำ
ั้แ่ที่ได้มาอยู่กับคุณชายก็มักจะเป็เช่นนี้เสมอ คุณชายไม่เคยเห็นเขาเป็เพียงบ่าวรับใช้ ต่อให้ของที่ที่บ้านส่งมาจะเหลือไม่มากแล้ว แต่เ้านายเขาก็ไม่เคยกินเพียงแค่คนเดียว ยังคงแบ่งให้เขากินด้วยเช่นกัน
วันหน้าหากได้พบกับเถ้าแก่เฉิน จะต้องโขกศีรษะให้เขา ที่ทำให้ตนได้พบเ้านายที่ดีเช่นนี้ นี่คือความสุขที่สุดในชีวิตของเขา
“คุณชาย คุณหนูน่าจะใกล้ส่งของมาเพิ่มแล้วหรือไม่ขอรับ? นับวันดู คุณชายรองก็กลับบ้านไปได้เดือนกว่าแล้ว”
“เด็กตะกละ เ้าอยากกินอาหารของที่บ้านอีกแล้วใช่หรือไม่”
ลู่เชียนกินอย่างระมัดระวังไม่ให้อาหารเลอะเสื้อ ผ้าไหมชั้นดีเช่นนี้ซักให้สะอาดได้ยาก ทุกครั้งที่คิดถึงความยากลำบากของน้องสาวในการหาเงินแล้วหมั่นส่งของมาให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เขาในฐานะพี่ชายไม่อาจทำให้น้องสาวใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ แต่เขาก็ไม่อยากทำลายน้ำใจของนาง
“ใช่แล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่เคยพบคุณหนู แต่คุณหนูของเราจะต้องเป็คนเฉลียวฉลาดและจิตใจดีอย่างแน่นอน”
โก่วจื่อยกยอปอปั้นอย่างจริงใจ เพราะั้แ่ที่เขาได้มาติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย ทุกครั้งที่มีของจากที่บ้านส่งมา จะมีส่วนของเขาส่งมาด้วยเสมอ เขาจึงคิดว่าคุณหนูจะต้องเป็คนดีเช่นเดียวกับเ้านายของตนอย่างแน่นอน
“วันหน้าเ้าก็จะได้รู้ เสี่ยวหมี่เป็แม่นางที่ดีที่สุด หลังผ่านการสอบครั้งนี้ไปก็จะได้ลาหยุดกลับบ้านแล้ว เรากลับหมู่บ้านเขาหมีไปด้วยกัน”
“ดีเลยขอรับๆ”
สองนายบ่าวกินพลางสนทนากันไปพลาง เมื่อกินใกล้จะเสร็จ นอกประตูก็มีบัณฑิตสองคนะโเข้ามา คนหนึ่งสวมอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้าสดใส รูปร่างอ้วนท้วน อีกคนสวมเสื้อตัวยาวสีแดง รูปร่างสูงไหล่กว้าง คิ้วตาเป็ประกายแลดูสดใส เป็คุณชายรูปงามที่หาตัวจับยาก
“แหม เ้าหนูโก่วจื่อ เมื่อคืนตอนถามเ้าบอกว่าเนื้อเค็มหมดแล้ว ดูสิยามนี้มาแอบกินกันสองคน ถูกข้าจับได้เสียแล้ว”
บัณฑิตร่างอ้วนส่งเสียงตำหนิลู่เชียน “เต๋อจิ้งช่างไร้คุณธรรม”
โก่วจื่อรีบเก็บถ้วยของตนเองอย่างว่องไวพลางยิ้มร่า “คุณชายทั้งสองเชิญนั่งขอรับ เนื้อเค็มที่ที่บ้านส่งมาให้เหลือมื้อนี้เป็มื้อสุดท้ายแล้ว ตั้งใจเหลือเอาไว้เพื่อเพิ่มโชคดีให้กับพวกท่านสำหรับวันพิเศษวันนี้ขอรับ”
“เ้าเด็กนี่” บัณฑิตร่างอ้วนอดเคาะศีรษะเขาไปทีหนึ่งไม่ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้โมโหจริงๆ เป็แค่เพียงการล้อเล่นระหว่างสหายสนิทก็เท่านั้น ทุกครั้งที่สกุลลู่ส่งของกินมาให้ ลู่เชียนไม่เคยตระหนี่ใจแคบ มักจะเชิญพวกเขามากินด้วยเสมอ ดังนั้นเสียงนินทาในสำนักศึกษาเ่าั้ พวกเขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ ไม่ว่าจะชาติกำเนิดหรือฐานะ ก็ล้วนเป็แค่สิ่งที่บรรพชนสั่งสมกันมา คนเราจะทำอะไรเป็เช่นไรล้วนขึ้นอยู่กับจิตใจและนิสัยส่วนตัว และลู่เชียนเองก็เป็คนมีคุณธรรมน้ำมิตร ทั้งยังมีสติปัญญาล้ำเลิศ เป็สหายที่ล้ำค่าคนหนึ่ง
“ไปเถอะ พวกอาจารย์เตรียมการเพื่องานวันนี้มาหลายวันแล้ว พวกเราจะต้องทำให้เต็มที่เพื่อสอบผ่านให้ได้!”
ลู่เชียนจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ ถือพัดติดตัวแล้วเดินตามสหายไป
ชายสามคนสวมอาภรณ์สามสี คนหนึ่งผ่าเผย คนหนึ่งรูปงาม คนหนึ่งสูงศักดิ์ ทำให้ไม่ว่าใครมองมา ต่างก็อดรู้สึกกดดันขึ้นมาไม่ได้
ั้แ่ก่อตั้งสำนักศึกษาฮวางหยวนมา อาจเพราะยึดมั่นในหลักการมุมานะบากบั่นไม่ย่อท้อ จึงมีบัณฑิตมีชื่อเดินออกจากสำนักศึกษาแห่งนี้สู่โลกภายนอกมากมายหลายคน บ้างก็มีชื่อเสียงขจรขจาย และมีอีกมากมายที่เป็ขุนนางในราชสำนัก จึงยิ่งเป็เหตุให้พวกเขาเข้มงวดกับบัณฑิตที่ยังไม่ออกจากสำนักศึกษามาก
วันนี้อาจารย์ผู้คุมสอบขั้นหนึ่งแปดท่านสวมอาภรณ์ยาวสีดำสนิท นั่งรูปเคราสีขาวโพลนหรือแซมขาวของตนเอง แผ่บรรยากาศกดดันออกมา
ห้องที่ใหญ่ที่สุดในสำนักศึกษาวางโต๊ะไว้ทั้งสิ้นสามสิบตัว บนโต๊ะมีหมึกพู่กันแท่นฝนหมึกครบถ้วน ลู่เชียนและบัณฑิตคนอื่นๆ ต่างเดินเข้ามานั่งลงหลังโต๊ะเ่าั้ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
เสากลางห้องมีหัวข้อของข้อสอบในวันนี้แขวนไว้ บัณฑิตบางคนขมวดคิ้วขบคิดอย่างหนัก บางคนก็เตรียมพู่กันร่างบทความ ท่าทางแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน
ลู่เชียนฝนหมึกอย่างช้าๆ พิจารณาถึงข้อสอบวันนี้ ‘การทำอาหารก็เหมือนการบริหารแว่นแคว้น’ ก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้ หากว่าน้องสาวของเขาอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะสอบได้ที่หนึ่งก็เป็ได้
พึ่งพาวาสนาของเสี่ยวหมี่ ทุกเดือนขบวนพ่อค้าของสกุลเฉินจะแวะเวียนเอาของมาให้ที่สำนักศึกษา เขาจึงมักแบ่งของกินให้สหายบัณฑิต และแบ่งเป็ของขวัญให้บรรดาอาจารย์ในวันเกิดของพวกเขา ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเขาจึงได้คบค้าสหายมากมาย ทั้งยังกลายเป็ลูกศิษย์ที่เหล่าอาจารย์ภาคภูมิใจ นี่เป็สิ่งที่บัณฑิตคงแก่เรียนที่สนใจแต่อ่านตำราเช่นเขาคาดไม่ถึงเลย...
ธูปสองก้านมอดดับไปอย่างรวดเร็ว กระดาษคำตอบถูกเก็บไป พวกลู่เชียนจึงทยอยกันเดินออกไปรอด้านนอก
เหลือเหล่าอาจารย์ในห้องจับกลุ่มวิจารณ์กระดาษคำตอบตรงหน้ากันต่อไป คนทั่วหล้าต่างก็มีความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น อาจารย์แต่ละคนล้วนมีลูกศิษย์ที่ตนภาคภูมิใจเป็พิเศษเข้าร่วมการสอบด้วย ยามนี้ย่อมตั้งใจดูเพิ่มขึ้นเป็สามส่วน เพราะทางสำนักศึกษาจะให้สิทธิ์บัณฑิตเข้าสอบที่เมืองหลวงแค่ยี่สิบห้าคนเท่านั้น
เท่ากับว่ามีบัณฑิตอีกห้าคนที่ต้องรอสอบเข้ารับราชการในรอบถัดไป
ตามปกติแล้วปีที่ผ่านๆ มา บัณฑิตห้าคนนี้โดยมากมักมีพื้นเพยากจน มีฐานะทางสังคมต่ำ หรือไม่ก็เป็บัณฑิตที่ไม่มีอาจารย์คอยดูแลชี้แนะ
แน่นอนว่าลู่เชียนนั้นทั้งยากจนและมีฐานะทางสังคมต่ำ เขาจึงฝากความหวังไว้ได้แค่ในมือของอาจารย์ผู้มีพระคุณ แต่เนื่องจากบัณฑิตคนอื่นๆ มีการ ‘ร้องขอแบบพิเศษ’ ต่อท่านอาจารย์ผู้มีพระคุณไปแล้ว ผู้เป็อาจารย์จึงรู้สึกลังเลเล็กน้อย
ผลสุดท้าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลู่เชียนก็เป็หนึ่งในห้าคนนั้นเช่นกัน
ที่จริงแล้วพวกอาจารย์เองก็เสียดาย แต่จะให้เขาสละที่นั่งลูกศิษย์ ‘ของตนเอง’ ให้ก็ทำไม่ได้ จึงมีแต่ต้องนิ่งเก็บงำความในใจไว้
ยามนี้เอง อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาที่นั่งเงียบมาตลอดในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ไปเรียกบัณฑิตที่มีนามว่าลู่เชียนคนนั้นเข้ามา”
เด็กรับใช้หน้าประตูรีบไปประกาศเรียก เพียงไม่นานลู่เชียนที่มีสีหน้าสงสัยก็รีบเดินเข้ามา หลังจากแสดงความเคารพทุกคนจนครบแล้ว ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ลู่เชียนเองก็ไม่ร้อนใจ ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่กลางห้อง รอจนอาจารย์ใหญ่สถานศึกษาอ่านกระดาษข้อสอบของเขาจนจบ จึงเอ่ยปากถามว่า “เ้ายินดีจะเป็ศิษย์สายตรงของข้าหรือไม่?”
“อะไรนะขอรับ?”
ไม่รอให้ลู่เชียนตอบรับ อาจารย์คนอื่นก็พากันใตาโต อาจารย์ใหญ่ไม่ได้รับศิษย์สายตรงมาหลายปีแล้ว ลูกศิษย์คนล่าสุดยามนี้เป็ถึงรองเสนาบดีกรมมหาดไทย หรือก็คือหากว่าลู่เชียนตกลง ก่อนที่จะเข้าร่วมสอบ ก็นับว่ามีคนหนุนหลังนับไม่ถ้วนแล้ว
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ควรจะคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้หรือไม่ขอรับ”
มีบางคนเอ่ยปากเตือน แต่อาจารย์ใหญ่ก็โบกมือน้อยๆ “รสนิยมของหนุ่มน้อยคนนี้ถูกใจข้า แม้แต่หมูหมักไหที่เขายกตัวอย่างมาในบทความนี้ ข้าก็ยังอยากชิม”
ได้ยินเช่นนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คนอื่นเลือกศิษย์หากไม่ใช่เพราะความสามารถเหนือชั้น ก็เพราะชาติกำเนิดสูงส่ง แต่วันนี้อาจารย์ใหญ่กลับเลือกลูกศิษย์จากความ้าของท้องไส้ตัวเอง หากเล่าลือออกไปก็คงเป็ที่ขบขันยิ่ง
ลู่เชียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายมองตรงไปยังอาจารย์ใหญ่ ครู่หนึ่งเขาจึงคุกเข่าทั้งคู่ลง โขกศีรษะคารวะ “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์”
“ดี ไปเถอะ สอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้าต้องดูความสามารถเ้าแล้ว”
ลู่เชียนคารวะอีกครั้ง แล้วจึงลุกขึ้น ค่อยๆ เดินออกไป
นอกห้องสหายสองคนของเขาชะเง้อคอยืดยาวอยู่พักหนึ่งแล้ว เื่ลับๆ ในสำนักศึกษานี้ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยได้ยิน จึงลอบเป็ห่วงว่าสหายคนนี้ของตนจะถูกละทิ้ง
พวกเขาจึงร้อนใจกันไม่น้อย เมื่อลู่เชียนออกมาแล้วจึงลากเขาไปที่มุมหนึ่ง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น พวกเขาบอกให้เ้ารอสอบรอบต่อไปหรือ?”
อีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “หากเป็เช่นนั้นจริงจะยอมไม่ได้ เื่นี้มอบให้เป็หน้าที่ของข้า ขอแค่ยังไม่ประกาศชื่อออกมาก็ยังมีโอกาสอยู่”
ลู่เชียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ รอยยิ้มของเขาลามไปถึงดวงตา “พวกเ้าเข้าใจผิดแล้ว ที่เรียกข้าเข้าไปเพราะอาจารย์ใหญ่จะรับข้าเป็ศิษย์สายตรง”
“ไปไกลๆ เลย” สองคนนั้นเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน เพราะคิดว่าลู่เชียนกำลังปลอบใจพวกเขา แต่เป็นานก็ไม่เห็นว่าลู่เชียนจะแก้ไขคำพูดของตน จึงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “เป็เื่จริงหรือ?”
ลู่เชียนพยักหน้า คลี่ยิ้มอย่างเจิดจ้า “อาจารย์ใหญ่บอกว่าอยากกินเนื้อหมักไหฝีมือน้องหญิงข้า”
“หา เ้าโชคดีเกินไปแล้ว ข้าเองก็อยากมีน้องหญิงที่ทำกับข้าวเป็บ้าง”
สองสหายรักรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ยกลู่เชียนตัวลอย
เพียงไม่นานรายชื่อก็ถูกประกาศออกมา จากนั้นก็ตามมาด้วยข่าวที่ว่าอาจารย์ใหญ่รับลูกศิษย์สายตรงคนใหม่
ลู่เชียนเปลี่ยนจากคนธรรมดาๆ ที่ไม่เป็ที่สนใจ กลายเป็บัณฑิตผู้โชคดีที่สุดในสำนัก หรืออาจจะเรียกได้ว่าที่สุดในต้าหยวนเลยก็เป็ได้
มีคนอิจฉา มีคนริษยา มีคนเยาะหยันดูถูก แต่ลู่เชียนก็ยังเผชิญหน้ากับกระแสเ่าั้ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ เนื่องจากเพิ่งสอบใหญ่เสร็จไป จึงมีการปล่อยให้เหล่าบัณฑิตได้พักผ่อนกันสองชั่วยาม
ลู่เชียนเองก็ตามสองสหายออกไปโรงสุราเพื่อเฉลิมฉลองเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินออกจากสำนักก็เจอเข้ากับพี่รองที่อยู่ในสภาพมอมแมม
ลู่เชียนเข้าไปจับมือพี่รองอย่างตื่นเต้นยินดี “พี่รอง ท่านมาได้อย่างไร”
สองสหายคนสนิทก็ขยับเข้ามาใกล้พยายามชะเง้อมอง แต่จะอย่างไรก็ไม่เห็นรถม้าคันใหญ่ตามหลังพี่รองลู่มา จึงจ้องสิ่งที่เขาสะพายอยู่บนหลังเขม็งด้วยรอยยิ้มแทน
พี่รองลู่เองก็เป็คนใจกว้าง อีกทั้งยังมีเื่ด่วนต้องคุยกับน้องชายจึงปลดห่อผ้าด้านหลังส่งให้เสียเลย
สหายสองคนนั้นไม่คิดเกรงใจแม้แต่น้อย พวกเขาเดินไปนั่งลงบนโต๊ะในร้านน้ำชาใกล้ๆ ขอกาน้ำชาหนึ่งกา จากนั้นก็นั่งกินแป้งทอดไส้เนื้อกับถั่วลิสงเคลือบน้ำตาลอย่างสบายอารมณ์
โก่วจื่อรู้สึกปวดใจยิ่งนัก เขามีใจคิดจะเตือนเ้านายให้รีบไปชิงห่อผ้ากลับมา แต่เมื่อหันไปมองกลับเห็นว่าเ้านายทั้งสองสีหน้าไม่ค่อยดีนัก จึงสงบปากสงบคำอย่างชาญฉลาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้