“ไม่ได้ เราจะใช้เงินเ้าคนแซ่หลินนั่นไม่ได้!” ใช้เงินของคนเขามันไม่ใช่เื่เลย หากชิ่งเจียรู้เข้า สกุลเจิ้งของพวกเขาคงไม่พ้นโดนดูถูกเหยียดหยาม!
“ไม่ใช้เงินของเขาเหรอ? งั้นคุณจะไปยืมค่าผ่าตัดเทียนิจากไหน? เงินที่มีนิดหน่อยในบ้านคุณก็เอาไปจุนเจือพี่ใหญ่หมดแล้ว มีเงินเหลือเสียเมื่อไร? จะยืมพี่ชายคุณเหรอ? แล้วพี่ชายคุณเขามีเงินไหมล่ะ? หรือคุณตั้งใจจะไปยืมน้องชาย? เจิ้งเฉวียนกัง อย่าหาว่าฉันพูดจาน่าเกลียดเลยนะ แต่คุณคิดว่าน้องชายตัวเองเป็คนดีนักเหรอ? หากเขาดีจริงๆ แล้วยังกินหรูอยู่สบายที่บ้านขนาดนั้นแล้ว ยังจะดั้นด้นมาขอส่วนแบ่งแป้งขาวบ้านเราทุกปีไหม? อีกอย่างนะ ถึงน้องชายคุณจะยอมควักเงินออกมา แต่ภรรยาเขาจะยอมเหรอ?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นยิ่งพูดยิ่งโมโห ใบหน้าพลันซีดเซียวลง อาการป่วยของเธอทุนเดิมก็โมโหมากไม่ได้อยู่แล้ว คนในห้องพักเดียวกันล้วนมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ สหายชายที่อยู่เฝ้าคนไข้คนหนึ่งทนมองไม่ไหว จึงช่วยเกลี้ยกล่อมด้วยอีกแรง “คุณลุงหยุดยั่วโมโหคุณป้าเขาเถอะ ใจเย็นๆ กันก่อน อย่าทำให้คุณป้าโมโหจนร่างกายไม่สู้ดีเลย”
พอถูกเตือนสติ เจิ้งเฉวียนกังจึงพลันสำนึกผิด เขาร้อนรนไปหน่อยจนลืมไปเสียสนิทว่าภรรยายังป่วยอยู่ แต่คำพูดของเฉินชุ่ยอวิ๋นกระทบแผลใจเขาเต็มเปา และตีแผ่ความไร้สามารถของเขาออกมาตำหนิอย่างชัดเจน ทว่าโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่อาจทะเลาะกับเธอได้ จึงเพียงเอามือกุมหน้า พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาละ เธออย่าโมโหเลย ฉันจะลองหาทางอื่นดู”
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจใช้เงินของสกุลหลินได้
ในขณะเดียวกันนั้นที่ห้องพักผู้ป่วยของเจิ้งเทียนิชั้นล่าง
เฝิงิเยว่ทานข้าวที่บ้านมาแล้วก็เลยไม่หิวเท่าไรนัก เธอจึงถือโอกาสตอนเจิ้งเทียนิกับหลี่ชุนเซิงกินกันเอร็ดอร่อย ส่งสายตาเป็นัยให้เจิ้งหยวนออกมาด้านนอก
“เงินนั่น เธอเอามาจากไหนกันแน่?” ก่อนหน้านี้จิตใจเธอว้าวุ่นเพื่อรวบรวมเงิน ไม่ทันได้คิดเยอะ เวลานี้จัดการเื่ราวทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว เลยนึกขึ้นได้ทีหลัง พอใคร่ครวญดูก็รู้สึกไม่ดีเท่าไร เฝิงิเยว่กวาดสายตามองโดยรอบจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ จึงค่อยลดเสียงลงยามถามประโยคถัดมา “เธอยืมเงินมาจากคนรักเก่านั่นใช่ไหม?”
เจิ้งหยวนนิ่งค้างทันทีที่ถูกถามเช่นนี้ พลางขบคิดในใจว่าคราวนี้เธอคงไม่ต้องสาดน้ำโคลนใส่หลินเสี่ยวหยางก่อนแล้วกระมัง
“เธอยืมมาจากเขาเท่าไร?” เห็นเจิ้งหยวนทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เฝิงิเยว่ก็ยิ่งมั่นใจ
เจิ้งหยวนพูดอ้อมแอ้ม “…ก็ ก็ไม่เท่าไรหรอก”
เฝิงิเยว่จับจ้องน้องสามีของตัวเอง รูปร่างหน้าตาเจิ้งหยวนสะสวยมากจริงๆ ทั้งที่เป็คนชนบทลงนาประจำ แต่ผิวพรรณกลับไม่ดำลง แถมยังขาวนวลเนียน กอปรกับมีดวงหน้ารูปไข่ห่านอิ่มเอิบ มิน่าเล่า หลินเสี่ยวหยางถึงตกหลุมรักเธอหัวปักหัวปำเสียขนาดนั้น หนำซ้ำหลินเสี่ยวหยางยังเป็คนดียิ่ง เื่ที่เขาลอบคบหากับเจิ้งหยวนพูดอย่างไรเจิ้งหยวนก็เป็ฝ่ายผิด เธอมีสัญญาหมั้นหมายติดตัวอยู่ ดันดูใจกับพ่อหนุ่มเขา แล้วตัดไมตรีอย่างไร้เยื่อใย คนปกติตัดแล้วตัดเลย แต่นี่เขายังให้เนื้อและให้ยืมเงิน ชัดเจนว่าไม่เคยคิดตัดใจจากเจิ้งหยวน พอคิดเช่นนี้แล้ว เฝิงิเยว่พลันเกิดคำถามหนึ่งในใจ เธอลังเลครู่หนึ่ง ก่อนว่า “หยวนหยวน ตกลงเธอคิดยังไงกับหลินเสี่ยวหยางกันแน่?”
“หา?” เจิ้งหยวนตกตะลึงกับคำถามเบี่ยงประเด็นกะทันหัน พี่สะใภ้้าจะสื่ออะไรกันแน่?
“ฉันหมายความว่า เธอยังชอบเขาอยู่ไหม?”เฝิงิเยว่ชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันแค่คิดว่าหากเธอยังชอบเขา อยากอยู่ด้วยกันกับเขา ฉันจะลองหาทางออกเื่คุณพ่อให้” เธอไม่ได้้าตอบแทนเพราะหลินเสี่ยวหยางให้ยืมเงิน ถึงเอ่ยเช่นนี้กับเจิ้งหยวน เธอแค่คิดว่าเด็กหนุ่มหลินเสี่ยวหยางผู้นี้จิตใจดี หากเจิ้งหยวนกับหลินเสี่ยวหยางรักกันจริงๆ เธอก็ไม่อยากแยกคู่รักออกจากกัน อยู่กินฉันสามีภรรยา บางทีก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นเพครอบครัวไปเสียหมดหรอก ดังคำที่เขาพูดกันว่า เมื่อมีรัก เพียงน้ำดื่มก็อิ่มได้ สกุลเฝิงฐานะดีแค่ไหนจะมีประโยชน์อะไรล่ะ หากเฝิงเจี้ยนเหวินเป็ทหาร ไม่อยู่บ้านตลอดปี แถมสกุลเฝิงยังมีลูกชายตั้งห้าคน เจิ้งหยวนแต่งเข้าไปต้องมีพี่น้องสะใภ้ตั้งสี่คน บ้านใหญ่โตเช่นนี้ ปัญหาย่อมมากตาม สกุลเฝิงจะเหมาะสมกับเจิ้งหยวนจริงหรือ? แค่คิดก็เหนื่อยใจแล้ว
เจิ้งหยวนคาดไม่ถึงว่าครานี้จะสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ให้เ้าหนุ่มหลินเสี่ยว
หยางต่อหน้าพี่สะใภ้ขนาดนั้น จึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง เธอถาม “พี่ตั้งใจจะพูดกับคุณพ่อยังไงเหรอ?”
เฝิงิเยว่ขมวดคิ้วมุ่น เธอยังไม่ได้ตรองดูชัดเจน แต่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีไม่ใช่หรือ “หนนี้หลินเสี่ยวหยางให้บ้านเรายืมเงินมาก ถือเป็โอกาสดี คุณพ่อเธอเองก็ไม่ใช่คนแข็งทื่อเสียทีเดียว เขาย่อมเห็นความจริงใจของหลินเสี่ยวหยาง ขอเพียงพวกเธอสองคนขอร้องเขาดีๆ และขอขมาสกุลเฝิงอย่างจริงใจ ฉันว่าพอจะเป็ไปได้นะ” เฝิงิเยว่ไม่รู้ว่าเพราะเจิ้งเฉวียนกังเห็นน้ำใจของหลินเสี่ยวหยางเนี่ยแหละ ถึงต่อต้านเงินของสกุลหลินขนาดนี้ พบปะบุรุษแสนดีที่ถวายความจริงใจให้ หากเจิ้งหยวนโดนล่อลวงไปอีกจะทำอย่างไร ครานี้เขาคงห้ามปรามไม่ได้แล้ว
“โธ่ พี่สะใภ้ของฉัน” เจิ้งหยวนรีบขัดเธอ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อกี้ฉันล้อพี่เล่นน่ะ ฉันไม่คิดกลับไปคืนดีกับหลินเสี่ยวหยางหรอก อย่าสนใจเลยว่าเขาให้ฉันยืมมาเท่าไร ฉันต้องหาทางคืนเขาแน่”
เฝิงิเยว่จ้องเธอเขม็ง แล้วแบมือขึ้น “ล้อเล่นง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง!” ก่อนเว้น่ไปสักพัก “แต่หยวนหยวน เธอบอกความจริงฉันมาเถอะ ตกลงเธอคิดยังไงกันแน่ ตั้งใจจะตัดขาดกับหลินเสี่ยวหยางจริงๆ เหรอ? ฉันว่าผู้ชายคนนี้… เขาชอบเธอมากนะ แถมก่อนหน้านี้เธอยังบอกว่าต่อให้ตายก็จะตายกับหลินเสี่ยวหยางนี่? พ่อตีเธอแรงมากเธอยังไม่กลับคำเลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าเจิ้งหยวนชะงักค้าง รู้สึกเหมือนยกหินขึ้นมาทับเท้าตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“พี่สะใภ้ นั่นฉันพูดด้วยความโมโหเพียงเพื่อจะเอาชนะคุณพ่อน่ะ” เจิ้งหยวนพยายามหวนครุ่นคิดเหตุการณ์ที่ทะเลาะกับเจิ้งเฉวียนกังในอดีต มันเป็เื่เมื่อชาติก่อน ซึ่งผ่านไปหลายสิบปีแล้วสำหรับเธอ มานึกตอนนี้เลยจำความคิดสมัยก่อนไม่ค่อยละเอียดนัก ทว่าพอคิดทบทวนกับตัวเองทีหลัง ยามนั้นเธอน่าจะไม่ได้รักหลินเสี่ยวหยางมากนักหรอก อย่างมากก็แค่ชอบพอเท่านั้น เพียงแต่ความเกลียดชังต่อสัญญาหมั้นหมายระหว่างสกุลเฝิง รวมทั้งความคิดหัวขบถต่อคุณพ่อ ถึงบีบเธอจนไม่ยอมแต่งกับใครยกเว้นหลินเสี่ยวหยาง แต่หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันทั้งวันทั้งคืนมาสักพัก ััความเอาใจทุกอณูของหลินเสี่ยวหยาง เธอจึงตกหลุมรักผู้ชายคนนี้จริงๆ แต่พูดไปก็ไร้ประโยชน์ในเมื่อมันเป็เื่ของชาติก่อนไปแล้ว ในชาตินี้ โดยเฉพาะปัจจุบัน เธอปล่อยวางความรู้สึกที่มีต่อหลินเสี่ยวหยางไปตั้งนานแล้ว จะอยู่ร่วมกับเขาอีกได้อย่างไร ครั้นคิดตกแล้วจึงเอ่ยตอบ “พี่สะใภ้ ฉันตอบกลับจดหมายเฝิงเจี้ยนเหวินยอมรับการแต่งงานแล้ว และตัดขาดกับทางหลินเสี่ยวหยางแล้วด้วย จะมากลับกลอกได้ยังไง? ฉันจะกลายเป็คนเช่นไรเล่า?”
“หยวนหยวน…”
“พี่สะใภ้ไม่ต้องพูดแล้วละ ฉันกับหลินเสี่ยวหยางมีบุพเพ แต่ไร้วาสนา ส่วนเงิน… ความจริงก็ไม่เท่าไร พี่ทำงานในกลุ่มเย็บปักได้เงินเดือนหนึ่งตั้งสิบยี่สิบหยวน บ้านเราแค่การเงินติดขัดชั่วคราว อยากคืนต้องคืนได้ในเร็วอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอพลันััได้ถึงสายตาที่จ้องมองข้างหลังเธอ เมื่อหันกลับไป จึงเผชิญกับดวงตาของเจิ้งเฉวียนกัง
เจิ้งเฉวียนกังนึกถึงเื่ของหลินเสี่ยวหยางจนกินข้าวแทบไม่ลง หลังกินไปสองสามคำพอเป็พิธีก็ลงมาชั้นล่าง เตรียมคุยกับเจิ้งหยวนเื่นี้ และเตือนลูกสาวว่าอย่าคิดไม่ตกจนโดนเด็กแซ่หลินนั่นล่อลวงไปอีก สุดท้ายได้ยินคำสารภาพเช่นนี้ ใจเจิ้งเฉวียนกังพลันโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก เป็ครั้งแรกที่รู้สึกว่าหน้าลูกสาวน่ามองขึ้น
หัวคิ้วยับย่นของเขาคลายออก ดวงตาที่มองเจิ้งหยวนแฝงแววพึงพอใจและปลื้มปีติ เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาหาช้าๆ แล้วหยุดลงตรงหน้าทั้งสอง
“ฉันมาเยี่ยมพี่ชายแก” เขาว่า จากนั้นก็เดินผ่านทั้งสองไป และเลี้ยวเข้าห้องพักผู้ป่วย
เจิ้งหยวนกับเฝิงิเยว่สบตากัน บรรยากาศรอบข้างตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาดครู่หนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้