“ไอ๊หยา ขอบคุณ์ บ่าวรอมาทั้งวัน ในที่สุดท่านก็กลับมา คุณชายใหญ่ไปที่ใดมาขอรับ เหตุใดจึงไม่พาบ่าวไปด้วยเล่า”
บ่าวรับใช้สยงหวงโผล่จากหลังรูปปั้นสิงโตตระกูลหลัว เงยหน้าพลางเลิกม่านรถม้า ก่อนเอ่ยกระซิบ “คุณชายใหญ่รีบเข้าจวนก่อนเถิดขอรับ เรือนของพวกเราเกิดเื่ใหญ่แล้ว นายหญิงใหญ่ตามหาท่านแทบคลั่ง ข้าน้อยก็ตามหาท่านทุกที่เช่นกัน ในห้องหนังสือก็ไม่พบ ในร้านยาก็ไม่พบ ในเรือนแยกก็ไม่มีร่องรอยของท่าน จวนใต้เท้าติงก็ไร้เงาท่านเช่นกัน นายหญิงใหญ่ร้อนใจแทบบ้า นางบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปแจ้งคนหายที่ศาลาว่าการ”
หลัวไป๋เฉียนดื่มเหล้ามาไม่น้อย เมื่อเขาเลิกม่าน กลิ่นเหล้าก็ลอยตลบอบอวลทั่วรถม้า เขาไม่ยอมให้สารถีพยุง ทั้งยังผลักมืออีกฝ่ายด้วยความรำคาญ ก่อนลงจากรถด้วยร่างโงนเงน เดินเข้าใกล้สยงหวงพลันตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงพร้อมก่นด่าเสียงดัง “ดึกดื่นค่อนคืนจะะโหาผีหรืออย่างไร กลัวคนไม่รู้หรือว่าข้ากินเหล้าแล้วเพิ่งกลับจากหอนางโลม อยากประกาศให้คนอื่นรู้แทนข้าหรืออย่างไร?”
หลัวไป๋เฉียนพอมีวรยุทธ์อยู่บ้าง ด้วยความมึนเมาจึงไม่รู้น้ำหนักมือเมื่อครู่ ขณะฝ่ามือประทับ ปากของสยงหวงก็เืไหลทันที สยงหวงถอยกรูดสามสี่ก้าวก่อนจับรถม้าพยุงตัวยืนอย่างมั่นคง มือกุมใบหน้าบวมเป่งของตน พลางเอ่ยด้วยปากสั่นเทา “คุณชายใหญ่ นายน้อยจูไม่ไหวแล้วขอรับ ท่านรีบไปดูเขาครั้งสุดท้ายเถิดขอรับ นายน้อยหมดสติไปั้แ่เช้าแล้ว”
ในที่สุดหลัวไป๋เฉียนก็จับประเด็นได้ว่า “ลูกชายของตนกำลังจะตาย” อาการมึนเมาหายไปถึงเจ็ดแปดส่วน เขาไม่มีเวลาสนใจเื่เคาะประตูใหญ่ตระกูลหลัว พลันวิ่งโงนเงนเลี้ยวเข้าตรอกเล็กหลังเรือน ก่อนถีบประตูอย่างแรง
“ดึกดื่นป่านนี้ เ้าเป็ใครกัน? หยุดเดี๋ยวนี้นะ ต้องลงชื่อก่อนจึงจะเข้าได้” หม่าโต้วติงที่เพิ่งส่งหยางมามากลับเรือนหาวหวอดพร้อมร้องห้ามคนผู้นั้น ด้วยตกอยู่ในความมืดจึงจำไม่ได้ว่าเป็หลัวไป๋เฉียน ความฝันอันแสนหวานของหม่าโต้วติงถูกรบกวน เขาจึงไม่พอใจมาก อย่างไรคนส่วนใหญ่ที่เดินผ่านประตูนี้ก็เป็พวกบ่าวรับใช้ที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ หากเป็เ้านายก็จะเข้าทางประตูหน้าจวน
หลัวไป๋เฉียนวิ่งไปถีบบ่าวรับใช้ให้พ้นทาง ก่อนเร่งรีบเข้าเรือนโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
หม่าโต้วติงมองใบหน้าคนผู้นั้นไม่ชัดเจนนัก เมื่อจู่ ๆ ถูกโจมตีจึงคิดว่ามีผู้บุกรุก เขาร้องะโสุดเสียง “มีขโมย ช่วยด้วย ๆ มาจับขโมยเร็วเข้า มีโจรบุกรุก” ยังไม่ทันเอ่ยจบ หม่าโต้วติงก็ถูกปิดปากแน่น เขานึกว่าพวกบุกรุกจะฆ่าปิดปากจึงใกลัวยิ่งนัก ใช้แรงทั้งหมดที่มีผละออกจากคนผู้นั้น เมื่อหันไปมองกลับพบว่าคนผู้นั้นคือสยงหวงบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายใหญ่
“นี่ สยงหวง เ้าปิดปากข้าทำไม? ในจวนของพวกเรามีคนบุกรุก ข้ากำลังร้องขอความช่วยเหลือ” หม่าโต้วติงะโเสียงดังพลางถลึงตามอง
“บุกรุก บุกรุกกับผีน่ะสิ เ้าตาบอดหรืออย่างไร” สยงหวงชกท้องของหม่าโต้วติง คล้ายจะระบายความโกรธทั้งหมดที่ได้รับจากผู้เป็นาย ก่อนก่นด่าอย่างเดือดดาล “ตากว้างเท่าหมาเช่นเ้าดูไม่ออกหรืออย่างไร เมื่อครู่คุณชายใหญ่เพิ่งเดินเข้าไป กล้าด่าคุณชายใหญ่เป็โจรบุกรุก เ้าอยากโดนโบยหรือ”
สยงหวงกล่าวจบก็วิ่งเหยาะ ๆ ตามหลัวไป๋เฉียน ก่อนะโเสียงแหลม “คุณชาย เดินระวังหน่อยขอรับ คืนนี้น้ำค้างลงหนัก พื้นอาจลื่นได้”
หลัวไป๋เฉียนเดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นสิ่งที่สยงหวงเอ่ยก็เกิดจริง ๆ เขาหงายหลังล้มกองกับพื้น สยงหวงรีบพยุงหลัวไป๋เฉียนทันที ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “คุณชาย ท่านไม่ได้าเ็ตรงไหนนะขอรับ? หมออูรออยู่ที่ห้องโถงหลิวหลี่ ท่านอยากให้เขาดูอาการสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?” กล่าวจบก็สำรวจอาการาเ็ของหลัวไป๋เฉียนอย่างละเอียด
หลัวไป๋เฉียนหาได้สนใจเขาไม่ เพียงจ้องตรงไปยังพุ่มหญ้าเบื้องหน้า ก่อนร้องเสียงหลง “เฮ้ย... นั่นสิ่งของอันใดกัน?”
......
ลู่เจียงเป่ยมองใบหน้าหล่อเหลาของเลี่ยวจือหย่วนด้วยสายตาแฝงความสงสัย ก่อนเอ่ย “นางเคยทำสิ่งใดให้เ้าไม่พอใจ เหตุใดจึงเรียกชื่อคนอื่นมั่วซั่วเช่นนี้? หากเ้าไม่เรียกชื่อจริงของนาง ก็ควรจะเรียกนางว่า ''คุณหนูเหอ''... เฮ้อ เมื่อครู่เ้าบอกว่ารู้ความลับของนางหรือ? ความลับอันใดกัน?”
“เฮอะ” เลี่ยวจือหย่วนแค่นเสียงออกจมูก “นางไม่ได้ล่วงเกินข้ากระนั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะนาง เสี่ยวต้วน เกาเจวี๋ยและเ้าก็คงไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นนี้ เมื่อครู่ข้าเกือบถูกเกาเจวี๋ยสังหาร หากไม่โทษนางแล้วจะโทษใคร”
ลู่เจียงเป่ยชกเขาหนึ่งหมัด “เ้าถูกตีเพราะปากเ้าพาซวย เอาล่ะ รีบพูดมา ความลับอันใดของคุณหนูเหอ? ยังมีเื่ใดที่ข้าไม่รู้อีก”
เลี่ยวจือหย่วนเหลือบมองลู่เจียงเป่ย ก่อนแค่นเสียงเ็าออกจมูกหลายครา พลางยื่นแขนออกเพื่อคลำหาของบางอย่างในเสื้อคลุม ไม่นานก็โยนฝักกริชด้ามเล็กให้ลู่เจียงเป่ย พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “นี่แน่ะ... เ้าดูนี่ กริชเล่มนี้เป็อย่างไรบ้าง? เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าจะใช้มันแลกเงินหนึ่งร้อยตำลึงกับเสี่ยวต้วน”
ลู่เจียงเป่ยชั่งน้ำหนักกริชด้วยความสงสัย ก่อนดึงฝักกริชออกเพื่อทดสอบความคมของกริช แม้จะเป็กริชดี แต่ก็ไม่คุ้มค่าเงินหนึ่งร้อยตำลึง
แม้เสี่ยวต้วนจะโง่ แต่คงไม่มีทางจ่ายเงินหลายสิบเท่าเพื่อซื้อกริชเล่มนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความโง่ของเสี่ยวต้วนก็มีเพียงเื่สตรีเท่านั้น เช่นตอนกลับไปรายงานการปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองหลวงในครั้งนี้ หมู่บ้านป๋าชาซานในเมืองอิ๋นหม่าเป็จุดแวะพักสุดท้ายที่พวกเขาพักโดยไม่มีกำหนด ก่อนกลับบ้านในเมืองหลวง มีเพียงเสี่ยวต้วนที่แม้แต่ชาสักแก้วก็ยังไม่ได้ดื่ม ทว่ากลับบังคับรถม้ามุงหลังคาสีแดงวิ่งไปทางเมืองอิ้งเทียน
เสี่ยวเลี่ยวใช้กำลังภายในวิ่งตาม เมื่อผ่านไปครึ่งทางก็กลับมาบอกทุกคนด้วยความดีใจว่าครั้งนี้เสี่ยวต้วน ''ได้ทำเกินหน้าที่'' ในเวลาครึ่งเดือนกลับเลือกสตรีถึงสิบคน ทว่าทุกคนไม่เชื่อคำพูดเขา เลี่ยวจือหย่วนจึงแบมือนับนิ้ว นอกจากแม่นางเสวี่ยและลูกสาว ยังมีสตรีวัยสาวสวมชุดสีเหลืองอีกเจ็ดคน ส่วนใหญ่เป็คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาราวกับเคยพบที่วัดสุ่ยซังมาก่อน สุดท้ายเสี่ยวเลี่ยวก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม การมาหยางโจวครั้งนี้ถือเป็รางวัลก้อนโตจริง ๆ เขาไม่เพียงให้คำสัญญาว่าจะแต่งงานกับ ''เหอตังกุยคนรักตัวน้อย'' ซ้ำยังปิดบังเื่แม่ชีทั้งเจ็ดจากพวกเขาทั้งหมด เมื่อมารดาของต้วนเสี่ยวโหลวเห็นสตรีเ่าั้คงจะโกรธไม่น้อย
“ตามความเห็นของข้า กริชเล่มนี้คงขายได้เพียงหกตำลึง เสี่ยวต้วนมีกริชตั้งหลายเล่ม เหตุใดต้องซื้อกริชเล่มนี้กับเ้าด้วย” ลู่เจียงเป่ยส่งกริชคืนเลี่ยวจือหย่วน พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เ้าเป็ลูกชายคนเดียวของตระกูลเลี่ยว แม้เงินเจ็ดร้อยตำลึงในแต่ละปีจะไม่พอให้เ้าใช้ แต่เมื่อรวมค่าเช่านาและค่าเช่าร้านของครอบครัวเ้าก็ยังไม่พอใช้อีกหรือ?"
เลี่ยวจือหย่วนผายมือด้วยความเศร้าใจ ก่อนเล่าประสบการณ์ชีวิต “พี่ลู่อาจยังไม่รู้ แม้ตระกูลของข้าจะไม่มีพี่น้องแบ่งสมบัติ ั้แ่ข้าเจ็ดขวบ พ่อกับแม่ก็ให้กำเนิดน้องสาวคนหนึ่ง ทว่ามีน้องสาวเพียงคนเดียว กลับแย่กว่ามีพี่น้องสิบคนเสียอีก ทุกครั้งที่ถุงเงินหนัก ๆ ของข้าผ่านมือนาง เมื่อเปิดดูอีกทีแม้เศษเงินก็ไม่เหลือ จมูกของนางดียิ่งกว่าหมาเสียอีก ข้าซ่อนเงินไว้ที่ใด นางก็หาเจอทุกครั้ง”
ลู่เจียงเป่ยได้ยินดังนั้นก็คิดในใจ ‘ไม่รู้ว่านายท่านและนายหญิงตระกูลเลี่ยวเป็คนเช่นไร จึงเลี้ยงลูกชายลูกสาวให้กลายเป็คนไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้’
เลี่ยวจือหย่วนโยนกริชให้ลู่เจียงเป่ย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเ้าชักกริชออกจากฝักก็จะรู้ว่าคุ้มค่าหนึ่งร้อยตำลึงหรือไม่ หัวหน้า ข้าเห็นแก่ความเป็พี่น้อง จึงไม่ใจจืดใจดำคิดราคาหนึ่งพันตำลึง”
ลู่เจียงเป่ยดึงกริชออกจากฝัก ความแหลมคมของมันมีอะไรพิเศษนักหนา มองอย่างไรก็เป็เหล็กดำธรรมดา เขาจึงไหวศีรษะพลางพลิกกริชอีกด้าน ไม่นานก็เห็นลวดลายหลังกริชชัดเจน ลู่เจียงเป่ยอดตะลึงไม่ได้ ใบมีดกริชนั้นมีรูปแกะสลักอย่างเรียบง่าย เมื่อพิจารณาภาพอย่างละเอียดนี่คือ...
“คือนาง” ลู่เจียงเป่ยหลุดพูดออกมา “คุณหนูเหอ”
เลี่ยวจือหย่วนเอ่ยแนะนำกริชของตนด้วยรอยยิ้ม “ไม่ผิด ‘นี่คือภาพแกะสลักของเหอตังกุย’ แม้มันจะถูกแกะอย่างเรียบง่าย ลายเส้นไม่มากนัก แต่ในใต้หล้าแทบไม่มีใครสามารถทำให้ใบมีดเหล็กดำมีรอยขีดข่วนได้แม้แต่เส้นเดียว ข้าใช้ความพยายามอย่างมากที่จะแกะสลักให้เสร็จสมบูรณ์ ในขั้นตอนการแกะสลัก แม้ข้าจะเชี่ยวชาญการใช้ลมปราณเจินชี่แกะสลักมีด แต่ผิวเหล็กดำนั้นเรียบและลื่นกว่ากระจก จนมีดแกะสลักนั้นลื่นบาดนิ้วข้า”
เลี่ยวจือหย่วนยกนิ้วข้างซ้ายที่มีผ้าพันไว้ขึ้นมา ก่อนถอนหายใจพลางเอ่ยต่อ “แน่นอนว่าเื่นี้ไม่ใช่จุดที่น่าสนใจที่สุดของกริช สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในรูปแกะสลักคือภาพต้นฉบับของมันมาจากมือของเหอตังกุย เป็อย่างไรหัวหน้า? สำหรับ ‘ความรักที่เปี่ยมล้นใจของต้วนเสี่ยวโหลว’ กริชเล่มนี้คุ้มค่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงหรือยัง?”
ลู่เจียงเป่ยไล้ปลายนิ้วตามลายแกะสลักของร่างบอบบางบนมีดนั้น พลางเอ่ยถามแ่เบา “เ้าเอารูปนางมาจากที่ใด? ไม่ได้ขโมยมาใช่หรือไม่?”
เลี่ยวจือหย่วนขยับนิ้วชี้ไปมาด้วยความภาคภูมิใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ภาพต้นฉบับเป็ภาพเหมือนที่ถูกตัดจากกระดาษอย่างประณีตด้วยมือของเหอตังกุย ต่อมาคนในตระกูลหลัวมอบสิ่งนั้นให้ฉีฉยงไว้ดูเล่น ฉีฉยงพบความลับที่ยิ่งใหญ่จึงเก็บกระดาษนี้ไว้ เมื่อฉีฉยงมาถึงเมืองหลวงก็ตรงมายังหอฉางเยี่ย ส่งคนไปสอบถามทุกอย่างเกี่ยวกับเหอตังกุย ก่อนได้รับรายงานจากสายข่าว เขาก็ได้ยินว่าพวกเราให้หอฉางเยี่ยสืบเื่นางเช่นกัน เขาจึงมาหาข้า ข้าเห็นว่าภาพนั้นประหนึ่งมีชีวิต จึงอยากขอภาพนั้นแทนต้วนเสี่ยวโหลว พยายามเกลี้ยกล่อมครั้งแล้วครั้งเล่า เ้าคนแซ่ฉีก็เพียงยอมให้ข้าคัดลอกภาพเท่านั้น ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ต้นฉบับแก่ข้า ฮึ ช่างขี้เหนียวเสียจริง รอให้เสี่ยวต้วนได้แต่งงานกับคุณหนูก่อนเถอะ กระดาษภาพเหมือนแบบนี้ ข้าจะตัดมันสักสิบตะกร้าเลย คอยดู”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้