เมื่อพวกหยางเฉินออกจากศูนย์กีฬามาโม่เชี่ยนนีก็ยืนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
เห็นหยางเฉินยังคงไม่ปล่อยแขนของโม่เชี่ยนนีจนเธอต้องแกล้มกระแอมไอให้หยางเฉินรู้ตัว ใบหน้าของเธอตอนนี้เป็สีแดงสดใสไม่รู้ว่าเพราะความเขินอายหรือว่าเหนื่อยจากการวิ่งมาตลอดทาง
"เป็อะไรหรือครับ?คอของคุณเป็อะไรหรือเปล่า คุณโม่ครับ?"หยางเฉินแกล้งทำเป็ไม่รู้เื่
"เอาขาหน้านายออกไปนะ!"
หยางเฉินยิ้มหัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่เขาก็ยังปล่อยแขนนุ่มสีขาว
"คุณโม่ผมจะมีขาหน้ามาจับมือคุณได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย"
โม่เชี่ยนนีที่รู้อยู่แล้วว่าการทะเลาะกับหยางเฉินนั้นไม่มีประโยชน์เธอจึงไม่ได้เถียงกับเขาอีกและเดินตรงไปที่รถทันที
หลังจากที่สองเดินออกไปหยางเฉินหันไปมารอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครคอยไล่ตามหลังพวกเขาจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
โม่เชี่ยนนีเห็นดังนั้นก็เผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมาทันที
"คนหนังหน้าหนาบางคนก็ยังกลัวคนอื่นเป็ด้วยนายกังวลว่าโจวตงเฉิงจะตามเรามาหรือไง?"
หยางเฉินยิ้มอย่างเชื่องช้าพลางกล่าวว่า "คุณโม่ช่างสวยและชาญฉลาดจริงๆ"
"ผ่อนคลายเสียเถอะแม้ว่าเขาจะเกิดในครอบครัวมาเฟีย แต่เขาก็เจียมเนื้อเจียมตัวและสุภาพเห็นได้ว่าเขาไม่เคยใช้กำลังบังคับใคร"
"ดูจากที่คุณพูดแล้วดูเหมือนว่าเขาจะจิตใจดี..." หยางเฉินพึมพำ
โม่เชี่ยนนียืนมือออกไปลดเสียงเพลงลงพลางกล่าวต่อว่า
"แน่นอนตราบใดที่นายไม่ไปยั่วยุอำนาจของพ่อเขา เขาจะปฏิบัติต่อนายอย่างดีจุดนี้เองทำให้เขาแตกต่างจากพ่อของเขา"
"คุณเคยเจอกับโจวกวางเหนียนมาก่อนงั้นหรือ?"หยางเฉินถาม
โม่เชี่ยนนีมองหยางเฉินเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
"แน่นอนกลุ่มตงซิ่งเป็องค์กรขนาดใหญ่ ไม่แปลกที่จะได้เห็นเขาในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตามชายแก่คนนั้นดูไม่เหมือนนักธุรกิจเลยสักนิดทุกครั้งที่ฉันเห็นเขาฉันรู้สึกว่าตัวเขาปกคลุมไปด้วยออร่าแห่งความตาย"
หยางเฉินรู้สึกว่าโจวกวางเหนียนนั้นมีลักษณะเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว
เมื่อพูดถึงจุดนี้ความเงียบก็เข้าปกคลุมสุดท้ายโม่เชี่ยนนีก็เอ่ยขึ้นว่า
"ในฐานะที่นายช่วยฉันไว้ในวันนี้ฉันจะให้โอกาสนายได้เลือกร้านอาหารก็แล้วกัน"
ได้ยินดังนั้นหยางเฉินก็รู้แล้วว่าเขาไม่จำเป็ต้องตามโม่เชี่ยนนีไปที่แปลกๆอีกต่อไป เขานิ่งคิดสักครู่ จากนั้นเสนอว่า
"ผมอยากจะกินหม้อไฟ!"
"ยังไม่ถึงหน้าหนาวสักหน่อยจะกินหม้อไฟไปทำไม?ความร้อนจากเตาจะทำให้เป็สิวนะ"
"อ้าวไหนคุณบอกจะให้ผมเลือก?" หยางเฉินถามอย่างเศร้าโศก
"เราจะไปกินกันที่ร้ายแผงลอยริมถนน"
"ที่นั่นอีกแล้ว!?เจ๊ครับ ตกลงคุณจะไม่ให้ผมเลือกแล้วหรือไง!?" หยางเฉินยิ้มอย่างขมขื่น
โม่เชี่ยนนีไม่สนใจเธอกล่าวต่อไปว่า
"อย่างที่ฉันบอกฉันแค่ให้โอกาสนายเลือก แต่สิทธิในการตัดสินใจจริงๆ ยังไงก็ต้องเป็ฉันเราจะไปที่แผงขายริมถนนกันเดี๋ยวนี้!"
หยางเฉินปิดตาลงอย่างเ็ปผู้หญิงคนนี้จะไร้เหตุผลมากเกินไปแล้ว!
ครึ่งชั่วโมงถัดมาหยางเฉินก็นั่งอยู่ตรงข้ามโม่เชี่ยนนีด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยในร้านของพี่เซียง อาหารเสฉวนต่างๆ ถูกวางในด้านหน้าของพวกเขาและพริกสีแดงสดมากมายนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าหยางเฉินด้วยการมอง
เพราะมันยังคงไม่มืดดังนั้นจึงมีคนไม่มากนักเมื่อเทียบกับคราวก่อนสายลมเย็นของการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านมาพร้อมกับความเย็นเล็กน้อย
โม่เชี่ยนนีดื่มเหล้าขาวไปอึกหนึ่งพลางมองหยางเฉินที่มีท่าทางเหมือนเด็กในลักษณะที่ไม่พอใจพร้อมกล่าวว่า
"ทำไมทำหน้าอย่างนั้นฉันอุตส่าห์เลี้ยงข้าวนายเชียวนะ"
หยางเฉินเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางกล่าวว่า
"คุณกินเผ็ดมาั้แ่เด็กนี่ต่างประเทศหาอาหารเผ็ดยากจะตายไป"
"โอ้ฉันเกือบลืมไปว่านักวิชาการคนนี้จบจากต่างประเทศนังสารเลวชาวเขาชาวป่าอย่างฉันไม่สามารถเปรียบเทียบได้"โม่เชี่ยนนีเหน็บแนม
หยางเฉินไม่สนใจที่จะทะเลาะกับเธอทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
"คุณจะจัดการกับพ่อเลี้ยงของคุณยังไง?ก่อนหน้านี้ผมเห็นคุณเศร้าๆ แต่ไม่นึกว่าจะเป็เื่นี้ถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาผมได้ ผมว่างเสมอคุณก็รู้"
โม่เชี่ยนนีเธอเงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่หยางเฉินแล้วถามว่า
"นายสังเกตเห็นด้วยงั้นหรือ?"
"เอ่อ..." หยางเฉินยิ้มอย่างอายๆเขาไม่อาจพูดได้ว่าเขาแอบมองเธอทุกครั้งที่เธอเดินผ่านโดยเฉพาะก้นดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า"เพื่อนที่ทำงานบอกมาน่ะครับว่าคุณโม่อารมณ์ไม่ค่อยดี"
สายตาของโม่เชี่ยนนีมีร่องรอยของความผิดหวังเล็กน้อย
"นายจำได้มั้ยว่าครั้งที่แล้วที่เรามาที่นี่ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู?"
"ผมจำได้"นอกจากนั้นหยางเฉินยังจำได้ว่าเขาถูกบังคับให้กอดในคืนนั้น!
"แม่ของฉันโทรมาบอกว่าจางฟู่กุ้ยจะไปหางานที่จงไห่และ้าให้ฉันช่วย" โม่เชี่ยนนีถอนหายใจ
"ความจริงเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อหางานเขาสร้างหนี้ก้อนใหญ่ที่บ้านเกิดของฉัน ถ้าไม่ได้ฉันช่วยจ่ายหนี้ให้ป่านนี้เขาโดนเ้าหนี้กระทืบตายไปนานแล้ว แต่ชื่อเสียงอันเลวของเขาก็ยังคงอยู่เขาเลยหนีมากบดานที่นี่แทน"
"คุณก็รู้ว่าเขาเป็คนยังไงทำไมจึงยอมให้เขามาที่นี่อีก?" หยางเฉินถามอย่างไม่เข้าใจ
"เื่มันยาวนายอยากจะฟังมั้ยล่ะ?" โม่เชี่ยนนีตอบกลับด้วยคำถาม
"ถ้าครั้งต่อไปคุณไม่พาผมมาที่นี่ผมก็ยินดีจะฟัง..."
"งั้นไม่ล่ะ"
"เอ่อ..."หยางเฉินยิ้มเศร้า "คุณพูดต่อเลย"
โม่เชี่ยนนียิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงเริ่มเล่าต่อ
"ฉันเคยบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าพ่อของฉันตายไปั้แ่ฉัน13 ขวบแล้วแม่ของฉันก็แต่งงานกับจางฟู่กุ้ยซึ่งเป็หนึ่งในไม่กี่คนในหมู่บ้านที่ยังไม่ได้แต่งงาน เขายังหนุ่มและก็ชอบแม่ของฉัน ดังนั้นแม่จึงตกลงแต่งงานกับเขาในที่สุดอันที่จริงในเวลานั้นจางฟู่กุ้ยยังไม่ได้ติดพนันและถึงแม้เขาจะยากจนแต่เราก็ยังพออยู่กันได้"
"...แต่ไม่กี่เดือนต่อมาแม่ของฉันก็ล้มป่วยจากการทำงานอย่างหนักตอนนั้นฉันเพิ่งอายุสิบสาม ฉันที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนประถมในหมู่บ้านและก็ไม่ได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมอันที่จริงในหมู่บ้านก็ไม่มีโรงเรียนมัธยมอยู่แล้วล่ะนะ"
"ในตอนนั้นฉัน้าให้จางฟู่กุ้ยพาแม่ไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อหาหมอ เพราะฉันกลัวว่าแม่จะจากไปเหมือนกับพ่อฉันกลัวอย่างมาก เลยไปขอร้องจางฟู่กุ้ย… ก่อนหน้านั้นฉันไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยแต่เวลานั้นฉันต้องจำยอมเรียกเขาว่าพ่อ..."
"แต่จางฟู่กุ้ยก็เปลี่ยนไปเหมือนเขากลายเป็คนแปลกหน้า... เขาไม่ฟังคำพูดของฉันและไปขอสมุนไพรจากหัวหน้าหมู่บ้านมาให้ฉันต้มให้แม่กิน และไม่ได้ทำอะไรอีก..."
"แล้วคุณแม่ของคุณ..."หยางเฉินไม่ได้ตั้งใจจะถาม
"หลังจากนั้นแม่ของฉันก็อาการดีขึ้นไม่รู้ว่าเพราะ์เมตตาหรือเพราะยาสมุนไพรของหัวหน้าหมู่บ้านแต่อย่างไรก็ตามหลังจากป่วยคราวนั้นแม่ก็ดูเหมือนแก่ลงไปมาก..."
"แต่ฉันก็ยังกลัวว่าถ้าเกิดแม่ป่วยขึ้นมาอีกรอบพวกเราจะทำอย่างไร ตอนนั้นฉันคิดแต่เพียงว่าจะหาเงินมากๆ ได้อย่างไรเงินที่เพียงพอจะพาแม่ไปหาหมอ..."
"ดังนั้นคุณเลยมาที่เมืองจงไห่คนเดียว?"หยางเฉินเอ่ยถามขึ้นมา
โม่เชี่ยนนีพยักหน้าและหัวเราะเยาะตัวเอง
"โง่มากใช่มั้ยล่ะ?เด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงสิบสี่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ทั้งที่เธอไม่ได้รู้อะไรเลย เธอเพียง้าไปจริงๆไม่ได้รู้เลยว่าเธอจะต้องเจอกับอะไรบ้างเธอเพียงแค่้านั่งรถไฟไปเมืองจงไห่เพื่อหาเงินมารักษาแม่เท่านั้น"
"คุณไม่ได้โง่คุณช่างน่าเหลือเชื่อต่างหาก ฉันอยากรู้ว่าคุณหาเงินมาจ่ายค่าตั๋วรถไฟยังไง"หยางเฉินถาม
โม่เชี่ยนนีหลบสายตาเธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ฉันขโมยกระเป๋าสตางค์ของผู้โดยสารคนหนึ่งที่สถานีรถไฟ..."หลังจากที่เธอกล่าวจบ เธอลดเสียงของเธอลงและถามต่อว่า "นายคิดว่าฉันเลวและไร้ยางอายใช่มั้ย? แม้จะเป็อย่างนั้นฉันก็ยังอยากจะพูดมันออกมา"
ขโมยกระเป๋าสตางค์?เราเคยแม้กระทั่งปล้นธนาคารมาก่อน...หยางเฉินคิดแต่แน่นอนว่าไม่ได้บอกออกไปเขาส่ายหัวพลางกล่าวว่า
"มนุษย์ทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาดอย่างน้อยคุณก็มีทักษะที่ชำนาญกว่าผม ผมไปสถานีตำรวจตั้งสองครั้งแล้วในปีนี้"
โม่เชี่ยนนีหัวเราะออกมาในที่สุดแต่เธอก็ยังพูดต่อไปว่า
"หลังจากนั้นเมื่อฉันมาถึงที่นี่ ฉันก็มองหาวิธีที่จะได้เข้าเรียนต่อฉันได้รับความช่วยเหลือจากพี่เซียงและคนอื่นๆ ที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันและได้ทุนของโรงเรียนมัธยม หลังจากที่คุณย่าของรั่วซี ซีอีโอคนก่อนของอวี้เหล่ยมาที่โรงเรียนเพื่อกล่าวปราศรัย เวลานั้นเธอจุดประกายจินตนาการของฉันและให้การช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ฉัน จากนั้นฉันจึงเริ่มที่จะลืมตาอ้าปากได้ถ้าไม่มีซีอีโอคนก่อน คงไม่มีโม่เชี่ยนนีในวันนี้นายพอจะรู้แล้วใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงโกรธอย่างมากเมื่อได้ยินว่านายแต่งงานกับหลินรั่วซี"
หยางเฉินพยักหน้า
การที่จะชนะใจคนนั้นคือการยื่นมือเข้าช่วยเหลือแก่ผู้ที่้ามันมากที่สุดแม้ว่าโม่เชี่ยนนีจะดูเหมือนใจเย็นแต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ง่ายสำหรับเธอในการออกมาจากหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลโดยไม่ต้องพึ่งพาใครจากสาวน้อยที่ไม่ได้มีอะไร เธอได้รับเข้าศึกษาในสังคมชั้นสูงและแม้กระทั่งกลายเป็หนึ่งในชนชั้นสูงของโลกธุรกิจสิ่งที่คุณย่าของหลินรั่วซีทำคงไม่ใช่การช่วยเหลือด้านการเงินเพียงอย่างเดียวบางทีเธออาจจะเป็เสาหลักทางจิตใจของโม่เชี่ยนนี แน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาโม่เชี่ยนนีต้องเคยได้รับความทุกข์ทรมานที่เธอเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
"ต่อมาฉันก็ได้รับเงินเดือนในที่สุด ฉันยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ฉันส่งเงินให้แม่แม่ฉันถึงกับร้องไห้แต่เราก็มีความสุขกันมาก...แม่ของฉันรู้ว่าฉันได้เติบโตขึ้นและฉันก็รู้ว่าในที่สุดฉันก็สามารถดูแลแม่ได้..."
"แต่เมื่อจางฟู่กุ้ยเริ่มติดพนันหลังจากที่เขารู้ว่าฉันหาเงินมาให้ได้ทุกเดือน เขาก็ยิ่งถลำลึกมากขึ้นเรื่อยๆใน่สองปีที่ผ่านมาเขาเล่นพนันไปแล้วหลายร้อยครั้ง"
หยางเฉินขมวดคิ้ว
"แล้วทำไมคุณไม่ให้แม่คุณหย่ากับเขาและออกมาจากชีวิตเขาซะ แล้วให้เธอย้ายมาอยู่กับคุณ ผมเชื่อว่าด้วยรายได้ของคุณทั้งคุณและแม่ต้องมีชีวิตที่สุขสบายอย่างแน่นอน?"
โม่เชี่ยนนีเผยรอยยิ้มเศร้ากล่าวว่า
"ในสายตาของนายเขาเป็แค่ผีพนันและในสายตาของฉัน เขาเป็พ่อเลี้ยงที่ไร้ประโยชน์และน่าอับอาย...แต่สำหรับแม่เขาเป็ผู้ชายคนเดียวที่อยู่เคียงข้างใน่เวลาที่ลำบากที่สุดในชีวิตผู้ชายที่อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปีไม่ว่าจางฟู่กุ้ยจะไม่ดียังไงแต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายแม่ของฉัน..."
"ดังนั้นคุณเลยช่วยใช้หนี้พนันให้เขา?และแม้กระทั่งให้เขามาที่เมืองจงไห่?"หยางเฉินเข้าใจปมทุกอย่างแล้วและรู้สึกเศร้าทุกคนย่อมมีปัญหาของตัวเอง ใครจะเชื่อได้ล่ะว่าผู้บริหารระดับสูงจะมีอดีตที่ดำมืดเช่นนี้?
โม่เชี่ยนนีพยักหน้า
"ฉันจะทำอะไรได้ล่ะฉันไม่สามารถบังคับให้แม่หย่าได้ และฉันไม่สามารถปฏิเสธคำขอของแม่"
"คุณคิดว่าคุณแม่ของคุณรักจางฟู่กุ้ยอย่างนั้นหรือ?"หยางเฉินเอ่ยถาม
โม่เชี่ยนนีตะลึงงันจากนั้นจึงกล่าวว่า
"ถ้าเธอไม่ได้รักเขาเธอจะอยู่กับเขาในสถานที่ที่ลำบาก และแม้จะรู้ว่าลูกสาวของเธอมีบ้าน มีรถและอาชีพการงานที่ดีในเมืองที่เจริญ เธอก็ยังคงอยู่อย่างเงียบๆ กับจางฟู่กุ้ยในบ้านหลังเล็ก พร้อมที่เพาะปลูกไม่ถึงไร่ได้อย่างไร"
"ทำไมคุณจึงแน่ใจนักว่ามันเป็เพราะเหตุนั้น?ฉันเดาว่าบางทีคุณแม่ของคุณอาจเป็ห่วงหน้าที่การงานของคุณเธออาจคิดว่าการที่มาที่นี่จะทำให้คุณตกต่ำลง"
"ฉันไม่สนใจเื่นั้นสักหน่อย!"โม่เชี่ยนนีตื่นเต้นเล็กน้อยเธอไม่เคยคิดเื่นี้มาก่อนจนกระทั่งหยางเฉินจุดประกายมันขึ้นมา "นายคิดว่ามันเป็เพราะอย่างนั้นหรือเป็ไปได้มั้ยที่แม่ของฉันไม่มาอยู่ที่นี่เพราะเธอรักจางฟู่กุ้ยแต่เพราะเธอเป็ห่วงว่ามันอาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของฉันงั้นเหรอ?"
หยางเฉินคิดสักครู่จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา
"ถ้าคุณเชื่อผมเราสามารถทดสอบมันได้หลังจากนั้นความจริงก็จะมีเพียงหนึ่งเดียว"
"การทดสอบ?"โม่เชี่ยนนีมองหยางเฉินอย่างหวาดระแวงแต่สัญชาตญาณของเธอบอกว่าสามารถไว้ใจเขาได้ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้