ทันทีที่ได้ยินเสียงกระแอมไอเ็าของเสี้ยวเหวินตี้โอวหยางเทียนหลานและอวี้เฟยก็รีบเงยหน้าขึ้น และเมื่อได้เห็นบุรุษในชุดัสีเหลืองสว่างปรากฏกายอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพ จากนั้นเสี้ยวเหวินตี้ก็หันมองบุตรชายตนแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะเสวยก่อนจะกวักมือไปทางอวี้เฟย “สนมรัก มานั่งนี่เถิด”
เ้าเด็กบ้า เ้าคิดอยากจะกินของอร่อยโดยไม่รอผู้เป็บิดา เช่นนั้นเจิ้นก็จะให้เ้ายืนอยู่ตรงนี้เพื่อดูเจิ้นและพระมารดาของเ้ากินข้าวด้วยกันอย่างอิ่มหนำ
อวี้เฟยมองบุตรชายไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปนั่งลงข้างกายฮ่องเต้นางอมยิ้มแล้วพูดว่า “หม่อมฉันไม่ได้เข้าครัวเสียนาน เมื่อเห็นวัตถุดิบที่เ้าสี่ส่งมาให้ก็นึกอยากจะเข้าครัวไปทำอาหารให้ฝ่าากับลูกชายสักมื้อเพคะ”
เสี้ยวเหวินตี้มองสตรีตรงหน้าที่บนใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ สำหรับเขาแล้วตัวนางนั้นไม่เหมือนผู้ใด อวี้เฟยเด็กกว่าเขาหลายปี เมื่อครั้งที่ได้พบเจอกันก็เป็หลังจากที่เขาขึ้นครองราชย์แล้วและได้ปลอมตัวออกไปตรวจตรานอกวัง ตอนนั้นเขาอยู่ที่ชายแดนกำลังถูกโจรูเากลุ่มหนึ่งล้อมไว้ทว่า ในตอนที่กำลังเตรียมตัวจะจัดการกับผู้ไม่หวังดีก็บังเอิญเห็นอวี้เฟยในอาภรณ์แดงนั่งอยู่บนหลังม้าสูงใหญ่ในมือถือกระบี่ยาวกำลังเร่งม้าพุ่งเข้ามา
ความรู้สึกแรกที่เขามีต่อนางในตอนนั้นคือ ความองอาจสง่างามที่แตกต่างไปจากสตรีในห้องหอโดยสิ้นเชิงอีกทั้ง ฝีมือการตัดศีรษะโจรูเาของนางก็รวดเร็วหมดจด ท่าทีนั้นไม่เหมือนเหล่าคนในเมืองหลวงที่ฝึกฝนการขี่ม้ายิงธนูเพียงเพราะต้องเข้าร่วมงานขี่ม้ายิงธนูที่มีจัดขึ้นทุกปี
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้พบสตรีเช่นนี้ จึงอดที่จะยอมสยบให้กับความเสน่หาในตัวนางมิได้ต่อมา เขาก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่อวี้ จึงแต่งตั้งนางให้เป็พระราชชายาตำแหน่งเฟยและนับแต่ที่เข้าวังมา ท่าทีของนางก็สงบเงียบยิ่งอย่างที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดเข้าแย่งชิงความโปรดปราณใดๆ
ทว่า อวี้เฟยเองก็เป็สตรีที่เฉลียวฉลาดยิ่งในตอนที่เขารักใคร่โปรดปราณนางเป็ที่สุด นางก็ได้มีข่าวดีให้เขา ถึงกระนั้นในคราวที่ชีวิตราวกับยืนอยู่บนปากคลื่นปากพายุนางก็ยังสามารถปกป้องตนเองและบุตรในครรภ์ไว้ได้จนสามารถให้กำเนิดองค์ชายสี่ออกมาได้อย่างปลอดภัยไม่อาจไม่พูดได้ว่า นางเป็สตรีประเภทที่ภายนอกโดดเด่น ภายในเฉลียวฉลาดอีกทั้งยังรู้ดีว่าตนควรต้องวางตัวอย่างไร
ยิ่งกว่านั้น เพื่อที่นางจะสามารถดำรงอยู่ในวังหลังแห่งนี้ได้อย่างสงบสุขตอนที่กำลังจะให้กำเนิดองค์ชายสี่ก็ได้รับโอกาสอันดีจากฮ่องเต้เพื่อให้ดำรงอยู่เหนือพระราชชายาในตำแหน่งเฟยทั้งสี่ทว่า นางกลับตอบปฏิเสธ และไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่บิดาของนางเองก็ยังเข้าเฝ้าฝ่าาเพื่อส่งคืนอำนาจทางการทหารทั้งหมด
ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ท่าทีและการปฏิบัติของนางแสดงให้เขาเห็นว่า ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นนางและตระกูลอวี้ก็จะไม่ช่วยเ้าสี่แย่งชิงราชบัลลังก์ และสิ่งที่นาง้านับแต่ต้นก็มีเพียงความสงบสุขปลอดภัยของตัวนางเ้าสี่ และคนตระกูลอวี้
ยิ่งได้รู้ว่านางเป็สตรีเช่นนี้ ในใจเขาก็ยิ่งคะนึงหา แต่เขาก็รู้ดีว่า ที่นี่คือวังหลวงหากคิดอยากจะปกป้องนางและเ้าสี่ ทางเดียวที่ทำได้ก็คือ ห้ามแสดงท่าทีรักใคร่โปรดปราณนางมากจนเกินไปหรือแม้แต่จะใส่ใจก็จะมากไปไม่ได้ หากทำเช่นนี้ คนในวังหลังก็จะไม่สอดส่ายสายตาไปที่นางมาก
“แค่ได้มองดูก็รับรู้ได้ว่าเลิศรส” เสี้ยวเหวินตี้ยิ้ม จากนั้นจึงล้างมือในอ่างที่นางกำนัลยกมาให้และเมื่อเช็ดมือจนสะอาดสะอ้านแล้วก็รีบดื่มน้ำแกงเข้าไปคำหนึ่ง ฉับพลันนั้นกลิ่นหอมจางๆที่ลอยเอื่อย เมื่อดื่มเข้าไป ในปากก็เต็มไปด้วยรสหอมสะอาด “อืม น้ำแกงนี่ รสชาติไม่เลว”
“หม่อมฉันเห็นว่า่นี้ฝ่าามักจะทรงงานจนดึกดื่น และประจวบเหมาะกับวัตถุดิบที่เ้าสี่นำเข้าวังมาในครานี้ล้วนมีสมุนไพรดีๆมากมาย มีฤทธิ์ช่วยล้างพิษในตับและช่วยบำรุงให้สายตากระจ่างใส ดังนั้น หม่อมฉันจึงได้คิดเคี่ยวน้ำแกงสมุนไพรนี้ให้ฝ่าาเป็พิเศษเพคะ”อวี้เฟยคีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางลงบนถ้วยของฮ่องเต้ “นี่คือเนื้อตากแห้งฝ่าาลองเสวยดูสิเพคะ”
เนื้อตากแห้งนี้มิใช่เนื้อตากแห้งแบบธรรมดาทั่วไป แต่นางได้นำมาทำให้สุกอีกรอบหนึ่งแม้รสชาติที่ได้จะไม่เข้มข้นเหมือนของดั้งเดิม แต่ก็ยังนับว่าไม่เลว
“ไม่เลว” เสี้ยวเหวินตี้เสวยไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “อาหารที่ห้องเครื่องทำล้วนมีหน้าตาที่ดูแล้วงดงามยิ่งแต่เมื่อกินเข้าไปกลับไร้รสชาติ ข้าคงต้องบอกว่า หากคิดอยากจะกินอะไรดีๆ ก็ไม่แคล้วให้ต้องมากินอาหารของสนมรัก”
เมื่ออยู่ภายในพระตำหนักของอวี้เฟย เขาก็สามารถหลงลืมไปได้ว่าแท้จริงแล้วตนคือฮ่องเต้าาแห่งหนานเย่า จึงได้กินอาหาร ดื่มน้ำแกงที่สตรีของตนเป็ผู้ทำเป็ผู้เคี่ยวอย่างเรียบง่ายเช่นนี้เพราะทันทีที่ก้าวขาออกไปจากที่นี่ สารพันเื่ที่ทำให้คนรำคาญใจล้วนถาโถมเข้ามา
“อันที่จริงหม่อมฉันก็ทำแค่อาหารพื้นๆ ไม่กี่อย่างเท่านั้น หากให้เทียบกับพ่อครัวใหญ่ที่ห้องเครื่องก็ยังนับว่าห่างไกลไม่มีอันใดให้ชื่นชมหรอกเพคะ” ตัวนางเองที่ดื่มน้ำแกงไปได้คำหนึ่งก็คีบมันเทศชิ้นหนึ่งขึ้นมากินบ้าง
นี่เป็ครั้งแรกที่นางทำอาหารจากมันเทศ ทั้งยังทำตามสูตรน้ำผึ้งมันเทศที่เ้าสี่นำมาให้ด้วยสูตรนี้จะทำให้มันเทศทั้งนิ่ม และมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง รสชาติไม่เลวจริงๆ
โอวหยางเทียนหลานเห็นพระบิดาและพระมารดาของตนกินดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนตัวเองกลับต้องแข็งค้างอยู่ในท่าคารวะเขาอดมองไปยังเสด็จพ่อไม่ได้ พูดว่า “เสด็จพ่อ ยามนี้ท้องของลูกก็หิวมากแล้วเช่นกันอีกไม่นานร่างกายนี้ก็จวนเจียนจะล้มลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หากล้มลงเมื่อใด เจิ้นจะให้คนพาเ้ากลับไปที่ตำหนักองค์ชายสี่นู่น”ฮ่องเต้แค่นเสียงเ็า เ้าเด็กแล้งน้ำใจ ทำให้เขาโกรธแทบตายจริงๆ“แต่งงานมาก็สองปีกว่าแล้ว แต่ยังจะทำตัวเหมือนเด็กน้อยอยู่อีก”
“เสด็จพ่อ อย่าตรัสถึงแม่เสือร้ายที่บ้านลูกเลย จะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะอวิ๋นเซ่าหลันนั้นมองเช่นไรก็มิใช่สตรี ไม่รู้ว่าในคราวแรกเสด็จพ่อเสด็จแม่ไปลุ่มหลงชอบใจนางที่ตรงไหนถึงได้พระราชทานสมรสให้ลูก”เมื่อคิดถึงพระชายาที่บ้านตน โอวหยางเทียนหลานก็รู้สึกราวกับหนังศีรษะชา
ในแต่ละวันที่ต้องอยู่จวน เขาก็มักจะเอาแต่คิดหาทางหลบหนีสตรีนางนั้นอยู่ทุกเวลาแต่ไม่ว่าจะหลบไปทางใด สตรีนางนั้นก็มักจะมีวิธีตามหาเขาจนเจอ ยิ่งกว่านั้นหากมิใช่ว่าวันนี้นางต้องกลับไปบ้านเดิม ยามที่เขาเข้าวังมา นางก็คงต้องติดตามมาด้วยอย่างแน่นอน
อวี้เฟยเติมกับให้ฮ่องเต้พลางกล่าวอย่างปลงๆ “เ้านี่นะ เซ่าหลันน่ะ อาจจะเถรตรงเกินไปบ้างแต่ก็เป็สตรีที่จริงใจต่อเ้า อีกประการ พวกเ้าก็แต่งงานกันมานานเพียงนี้ ควรถึงคราวที่ต้องคิดหาพระนัดดาตัวน้อยให้ข้ากับเสด็จพ่อของเ้าได้แล้วใช่หรือไม่”
ในพระตำหนักของนางก็ดีเช่นนี้ คนในครอบครัวร่วมกินข้าวพลางพูดจาหยอกล้อกันได้แน่นอน นางรู้ดีว่านี่คือพระเมตตาของฮ่องเต้ มิเช่นนั้นนางคงได้แค่ต้องปฏิบัติตามกฎก้มหน้าก้มตากิน ไม่มีพูด ปรนนิบัติโดยไม่กล่าวเื่ราวต่างๆ แล้ว
“พี่รองกับพี่สะใภ้รองเองก็มิใช่ว่าแต่งงานกันมาสามปีกว่าแล้วหรอกหรือจนถึงตอนนี้พวกเขากลับยังไม่มีข่าวคราวใด อีกทั้งรัชทายาทและชายารัชทายาทเองก็มีแค่พระธิดาพระองค์เดียวดังนั้น หากเสด็จแม่ใคร่อยากอุ้มพระนัดดา ลูกเกรงว่าคงต้องเป็พวกเขาที่ควรรีบร้อนมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าพี่น้องผู้ชายทั้งห้าต่างแต่งงานกันหมดแล้ว จนถึงตอนนี้ก็มีแค่เ้าสามกับเ้าห้าที่ในจวนมีทั้งลูกสาวและลูกชายแต่สำหรับตัวเขาไม่ได้คิดรีบร้อนเลยสักนิด
“ลูกเพียงกังวลว่า ลูกที่เกิดมาจะเป็เหมือนซื่อจื่อน้อยที่จวนหยวนจวิ้นอ๋องเมื่อถึงตอนนั้นจะให้ลูกไปร้องไห้กับใครได้ หรือจะให้ยัดเด็กคนนั้นกลับเข้าไปในท้องมารดาเขาหรือไร”เทียนหลานไม่ได้สนใจแล้วว่าเสี้ยวเหวินตี้จะให้เขานั่งลงหรือไม่ เขาพูดพลางนั่งลงข้างพระบิดาตนจากนั้นก็คีบกับเติมให้ตนเอง
หากคิดอยากจะกินข้าว ตอนนี้ก็ทำได้แค่ต้องทำตัวเป็เด็กดีแล้ว
ขณะเดียวกันนั้นเทียนหลานไม่รู้เลยว่า เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ได้ยินคำว่าพี่รองและพี่สะใภ้รองนั้นมือของชายชราก็ถึงกับชะงักค้างไป ท่าทีนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของอวี้เฟยนางถอนใจในใจเบาๆ จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าเด็กคนนี้ ปากเ้านี่พูดอันใดดีๆไม่เป็เลยจริงๆ ”
“ลูกพูดความจริงนะ แน่นอนว่าหากเด็กที่เกิดมาน่ารักน่าชังเหมือนหวานหว่านน้อยในจวนพี่รองแล้วละก็ให้กำเนิดให้มากหน่อย ลูกก็ไม่ว่าอันใด” เมื่อพูดจบ เขาก็กินไปเล่าเื่สนุกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนเกี่ยวกับหวานหว่านในหานโจว“เสด็จพ่อเสด็จแม่คงไม่ทรงทราบ เด็กคนนั้นเขียนจดหมายมาให้ลูกด้วย”
เมื่ออวี้เฟยได้ยินก็นึกสงสัยขึ้นมา “แม่นางน้อยที่มีอายุแค่หกขวบน่ะหรือ?นางเขียนอันใดให้เ้า? ”
เสี้ยวเหวินตี้ทำทีเป็มองไม่เห็นพฤติกรรมนั่งเองกินเองของเ้าสี่ เขารู้ดีว่าลูกคนนี้หน้าหนาเพียงไรดังนั้น หากคิดว่าอันใดอีก คนย่อมต้องเล่นลูกไม้ใดขึ้นมาแน่ เขาจึงกินไป เงี่ยหูฟังบทสนทนาของสองแม่ลูกไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้