หวังิชงขมวดคิ้วจนเป็ปม
ั้แ่ที่เขาเริ่มเข้าร่วมสังกัดกับองค์ชายเก้ามานั้น เขารู้สึกว่าองค์ชายท่านนี้ดูจะดูแลเอาใจใส่ตระกูลเฉินและเฉินเย่เซิงมากเป็พิเศษ
พอเฉินเย่เซิงตายไปเขาก็ได้เห็นสีหน้าอันเกรี้ยวกราดของเ้าชายผู้ที่ปกติมักจะทำหน้านิ่งสงบดูฉลาดล้ำลึกอยู่เสมอคนนั้น
เขาไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเ้าชายกับเฉินเย่เซิงนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไรแต่เขากล้าฟันธงเลยว่า ทั้งองค์ชายเก้าและตัวเขาเองนั้นไม่มีทางปล่อยตระกูลเวินไปง่ายๆ แน่!!
และยิ่งไม่มีทางปล่อยให้ไอ้หลินอี้มีชีวิตรอดต่อไปเช่นกัน!!!!
น้ำเสียงขององค์ชายเก้าเ็าดุจน้ำแข็ง “ท่านหวัง ไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่ชื่อหลินอี้คนนั้นฆ่าคนในที่สาธารณะแบบนี้ อีกทั้งยังทำร้ายหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักรเราจนาเ็สาหัสอีกมันสมควรโดนลงโทษอย่างไร?”
หวังิชงเข้าใจความนัยของคำพูดประโยคนี้จึงยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา “องค์ชาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่การฆ่าคนในที่สาธารณะนั้นล้วนต้องถูกโทษปะา!! ยิ่งไปกว่านั้นมันยังแสดงตัวเป็ศัตรูกับทหารของราชสำนักอย่างชัดเจนคิดแข็งข้อกับอาณาจักรชูอวิ๋นเรา มันต้องถูกโทษด้วยการกรีดแทงด้วยมีดพันเล่ม!!!!”
“แล้วพวกตระกูลเวินเล่า?”
“หึ!! ไอ้เวินติ่งเทียนนั่นเห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็ผู้บงการอยู่เื้ั ถือว่ามีความผิดเช่นกัน!! องค์ชายโปรดวางใจเถอะ วันพรุ่งนี้ข้าจะรายงานองค์จักรพรรดิให้ออกคำสั่งให้ทำลายตระกูลเวินในทีเดียวเสีย สังหารพวกระดับหัวหน้าของตระกูลเวิน และเนรเทศคนที่เหลือของตระกูลมันออกไปให้หมด!!!!”
หวังิชงเชื่อมั่นในคำพูดของตัวเองมาก
เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตระกูลเวินและหลินอี้ไม่มีทางแก้ตัวได้เด็ดขาดไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดไม่ให้เขาลงโทษไอ้พวกฆาตกรพวกนี้ได้!!!!
“ดี!!!!”
องค์ชายลำดับที่เก้าพลันพยักหน้าเห็นด้วยทันทีเหมือนกับว่าไม่มีใจจะพูดอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอฝากให้ท่านหวังจัดการเื่ทั้งหมดด้วยแล้วกันข้าจะรอข่าวดีจากท่าน”
“องค์ชายโปรดวางใจ ถ้าอย่างนั้นข้าขอลาก่อน...”
และในขณะที่หวังิชงกำลังจะออกไปจากพระตำหนักนั่นเองภายในนั้นก็มีเสียงขององค์ชายเก้าดังขึ้นเหมือนกับว่ากำลังกัดฟันพูดอยู่
“ท่านหวัง หลินอี้ผู้นั้น ต้องจับเป็เท่านั้นโทษกรีดแทงพันครั้งนั่น หลินหยางจะเป็คนลงมือเอง!!”
หวังิชงอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้วองค์ชาย ข้าขอตัว!!”
พอหวังิชงเดินจากไปแล้วภายในพระตำหนักก็อุณหภูมิลดต่ำลงจนคล้ายกับห้องน้ำแข็งจิตสังหารขององค์ชายเก้านั้นรุนแรงจนน่าใ
และในตอนนั้นเองก็มีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากส่วนหลังของพระราชตำหนัก แล้วมายืนอยู่ตรงมุมมืดสายตาที่เฉี่ยวคมดุจพญานกอินทรีย์นั่นกำลังจ้องมองไปยังเฉินเฉาเกอเงียบๆ
“เ้าอารมณ์เสียรึ หลินหยาง?”
เฉินเฉาเกอสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ตอบกลับโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียงว่า
“นิดหน่อยน่ะเ้าหวังิชงนี่ทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน...”
คนในเงามืดนั่นก็กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเย็นเยือกว่า “แต่เดิมมันก็แค่หมาตัวหนึ่งอยู่แล้วเ้าจะไปคาดหวังกับมันทำไมเล่า?”
“เป็อย่างที่ท่านสอนจริงๆ”
เฉินเฉาเกอปฏิบัติต่อชายผู้นี้ด้วยความเคารพนอบน้อมเป็อย่างมาก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงนั่นดังขึ้นมาอีกว่า “ถ้าข้าเป็เ้า ข้าจะไม่ไปสนใจไอ้สวะไร้ค่าที่กลายเป็ศพไปแล้วอย่างเฉินเย่เซิงอีกแต่เดิมเราแค่อยากจะใช้ความสามารถของตระกูลเฉินค่อยๆ เข้าไปยึดตลาดงานช่างมาทั้งหมดจากนั้นก็ควบคุมการผลิตอาวุธของฝ่ายทหาร แต่ดูเหมือนว่าแผนนี้ท่าจะล่มไปแล้วแน่นอนแถมไม่รู้จะรายงานทางราชอาณาจักรโล่ยื่อไปอย่างไรดีด้วย...”
พอใจเย็นลงมาได้แล้ว ใบหน้าของเฉินเฉาเกอก็ปรากฏรอยยิ้มอันเ็าที่ชวนให้ใจเต้นแรงนั่นออกมาให้เห็นอีกครั้ง
เขากล่าวว่า “แต่ข้ากลับไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านอย่าลืมสิว่าคนที่ฆ่าซ่างกวันเฟยไปน่ะมันคือไอ้หลินอี้นั่น!!”
“เ้าจะบอกว่า...”
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว” เฉินเฉาเกอมองไปที่แสนไกลด้วยสายตาอันโเี้อำมหิตราวกับว่าเขามองเห็นภาพที่การฆ่าล้างครั้งใหญ่ได้เข้ามาถล่มในอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้แล้ว
“การตายของซ่างกวันเฟยจะเป็ข้ออ้างที่ดีที่สุดให้กับตระกูลซ่างกวันอีกไม่นาน อาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้... ก็จะตกเป็ของข้ากับท่านสองคนแล้ว ท่านอา!!!!”
..................................
ในขณะเดียวกันนั้นเองภายในห้องลับห้องหนึ่งของตึกที่ตั้งอยู่ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองอวิ๋นเฉิงนี้ตู้ิกำลังบ่นพึมพำอะไรสักอย่างออกมาไม่หยุด
ตรงหน้าของตู้ิ มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่
ชายผู้นี้มีโครงหน้าดุจหยก ใบหน้าดูสมมาตรเส้นผมสีดำสนิทที่มัดขึ้นสูง และมีผมทัดอยู่ข้างหูทั้งสองฝั่งช่างเป็รูปโฉมที่งดงามดุจภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น
ดูท่าทางชายผู้นี้จะมีอายุน้อยกว่าตู้ิอยู่บ้างแต่ตู้ิคนนั้นกลับมีท่าทางเคารพยำเกรงมากเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ขนาดน้ำเสียงเวลาพูดยังต้องคุมเอาไว้ไม่ให้พูดดังเกินเลย
มองหาทั่วทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้แล้วคนที่สามารถทำให้ตู้ิมีท่าทียำเกรงได้ขนาดนี้นอกจากท่านจักรพรรดิคนปัจจุบันแล้ว ก็คงจะมีอีกแค่คนเดียวเท่านั้น...
เทพาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยแห่งอาณาจักรชูอวิ๋นแม่ทัพหลี่จิ้ง!!!!
แม่ทัพหลี่จิ้งผู้นี้คือหนึ่งในสามยอดฝีมือระดับ “อวิ้นหลิง” ของอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้และยังเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ของประชาชนอาณาจักรชูอวิ๋นอีกด้วยอาณาจักรชูอวิ๋นภายใต้การคุ้มครองของเขานั้นไม่ได้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่มานานกว่าห้าสิบปีแล้ว
“ท่านแม่ทัพหลี่ ท่านคงไม่รู้ว่าเ้าหลินอี้นั่นมันแข็งแกร่งมากแค่ไหนฝ่ามืออัคคีขนาดใหญ่นั่น ซัดใส่ซุิชุนจนมันต้องยอมถอยหลังจากนั้นตอนมันฆ่าเฉินเย่เซิงนี่ ดูจะไม่สนใจไอ้โง่เง่าหวังิชงนั่นเลยด้วยเสียดายที่ท่านไม่ได้เห็นท่าทางของหวังิชง มันโมโหจนจมูกบี้ไปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!!”
ตู้ิยิ่งเล่ายิ่งตื่นเต้น แต่พอเห็นแววตาอันนิ่งเฉยของหลี่จิ้งพลันเปล่งประกายขึ้นก็รู้ตัวทันทีว่าตัวเองเผลอใส่อารมณ์มากไป จึงรีบเก็บอาการเปลี่ยนสีหน้ากลับมานิ่งสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง
หลี่จิ้งมองดูลูกน้องของตนที่มีนิสัยซื่อตรงแบบนี้แล้วก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ ออกมา จากนั้นก็ถามกลับไปว่า “หลังจบจากเื่นั้นแล้วตระกูลเวินได้เคลื่อนไหวอะไรอีกหรือไม่?”
“ไม่เลย พวกนั้นกลับไปที่คฤหาสน์ทันทีจากนั้นก็ปิดประตูแน่น ดูเหมือนจะไม่กลัวว่าหวังิชงจะมาแก้แค้นเลย”
“โอ๋? อย่างนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย”
หลี่จิ้งค่อยๆ ยิ้มตรงมุมปาก แววตาเขาส่องประกายอันล้ำลึกออกมาแต่ไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ทำให้ตู้ิที่อยู่ตรงหน้าเขาอดทนต่อไปไม่ได้แล้วจึงกล่าวออกไปว่า
“ท่านแม่ทัพหลี่ แล้วฝ่ายทหารอย่างพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?ถ้าดูจากสถานการณ์ในวันนี้แล้ว เกรงว่าพรุ่งนี้ ไอ้พวกหวังิชงมันจะต้องมาหาเื่ตระกูลเวินั้แ่เช้าแน่เลยเราควรไปช่วยพูดให้กับตระกูลเวินหน่อยไหม อย่างไรพวกนั้นก็ช่วยพวกเราฝ่ายทหารมา...”
“ไม่จำเป็” หลี่จิ้งโบกมือปฏิเสธท่าทีอันเ็าแบบนี้ทำเอาตู้ิงุนงงไม่เข้าใจความคิดเขาเลยสักนิดเดียว
หลี่จิ้งพูดต่อว่า “นี่เป็เื่ของฝ่ายผู้ดูแลภายใน ปล่อยให้พวกนั้นไปจัดการกันเองกองกำลังพิทักษ์เมืองของเ้าแค่คุ้มครองความปลอดภัยให้ชาวเมืองไปก็พอแล้ว”
“แต่ว่าท่านแม่ทัพหลี่ หวังิชงมันเสียท่าไปแล้วแบบนี้ครั้งหน้ามันจะต้องใช้งานพวกระดับหัวหน้าคนอื่นๆ อีกแน่ แล้วถ้าท่านผู้นั้นลงมือละก็ตระกูลเวินไม่มีทางต้านทานได้แน่!! หรือว่าเราจะยืนมองตระกูลเวินล่มสลายไปทั้งๆแบบนี้หรือ?”
“จำเอาไว้” หลี่จิ้งิมองไปทางตู้ิจากนั้นก็พูดออกมาทีละคำอย่างชัดเจนว่า “คำสั่งของข้าคือ ดูแลปกป้องความปลอดภัยของชาวเมืองไม่ต้องไปยุ่งเื่ของพวกตระกูลเวินด้วย!!ต้องให้ข้าพูดซ้ำรอบที่สามไหม?”
ตู้ิถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้ััถึงความเด็ดขาดในน้ำเสียงของเขา
เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่า แม่ทัพหลี่ที่ปกติเป็คนยุติธรรมมาโดยตลอดนั้นตอนนี้เป็อะไรไปแล้ว แต่ในเมื่อเป็ทหารแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่การเชื่อฟังคำสั่งของเบื้องบนเท่านั้น
“รับทราบ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอลา”
หลังจากแสดงความเคารพตามแบบทหารไปแล้วตู้ิก็เดินออกจากห้องทันที
ส่วนหลี่จิ้งนั้นก็ค่อยๆ ปิดตาลงช้าๆเอนกายพิงไปที่พนักพิงของเก้าอี้
ในมือของเขามีแหวนวงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนอยู่ด้วยรูปร่างหน้าตาของมันดูอย่างไรก็เป็แหวนที่เป็ยุทธภัณฑ์ระดับวิถีราชันที่ตระกูลเวินมอบให้กรรมการในการแข่งขันของเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาที่เพิ่งล่มไปแหวนพระสุเมรุ
นิ้วของหลี่จิ้งนั้นค่อยๆ ลูบไปบนตัวแหวนอย่างเบามือภายในหัวเหมือนจะเริ่มจินตนาการถึงเื่ราวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตไปแล้วจากนั้นก็พึมพำออกมาว่า
“หลินอี้ ถ้าครั้งนี้ ท่านผู้นั้นที่อยู่ราชสำนักเป็คนลงมือละก็....เ้าจะนำเื่น่าใอะไรมาให้พวกข้าได้เห็นกันอีกนะ?”
..................................
เมฆหมอกอันมืดครึมเริ่มลอยเข้ามาแล้ว
เช้าวันต่อมาหวังิชงที่อยู่ในห้องโถงอันใหญ่โตที่ถูกประดับด้วยเครื่องตกแต่งจนมีสีทองอร่ามนั้นกำลังยืนตะเบ็งเสียงรายงานเื่ของตระกูลเวินและหลินอี้อยู่โดยบอกว่าพวกนั้นไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เป็พวกชั่วร้ายที่สามารถฆ่าคนได้อย่างโเี้อำมหิต
พวกมันไม่เพียงแต่ก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ในงานเทศกาลเท่านั้นแต่มันยังลงมือฆ่าคนต่อหน้าสาธารณชนไปถึงหกคน าเ็อีกจำนวนมากหนึ่งในนั้นมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงอย่างประมุขตระกูลเฉิน เฉินเย่เซิงและคุณชายจากราชอาณาจักรโล่ยื่อ ซ่างกวันเฟย ก็ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของพวกมัน
ในขณะที่หวังิชงกำลังตะเบ็งเสียงรายงานอยู่นั้นทั่วทั้งบริเวณก็เงียบสงบลง พวกข้าราชการต่างก็กำลังฟังวีรกรรมอันโเี้ของชายหนุ่มนามหลินอี้นี่อย่างตั้งใจพอหวังิชงเล่าจนจบหมดแล้วจากนั้นก็ยกมือทำท่าคารวะให้กับองค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์าาพร้อมกับกล่าวว่า
“องค์จักรพรรดิขอรับ จากที่ข้าน้อยเห็น เ้าหลินอี้นั่นอายุยังน้อยแต่กลับมีใจคอที่โเี้อำมหิตผิดมนุษย์แถมมันยังทำอะไรไม่ให้เกียรติราชสำนักเลยสักนิดมันบังอาจกล้าลงมือฆ่าคนต่อหน้าเหล่าองครักษ์ของราชวงศ์แบบนั้นไม่แน่ว่าอาจจะมีวันที่มันคิดแข็งข้อกับอาณาจักรชูอวิ๋นเราก็เป็ได้!! ไอ้ฆาตกรต่ำช้าเลวทรามแบบนี้ ถ้าปล่อยให้มันเติบโตขึ้นละก็มันจะกลายเป็ภัยคุกคามครั้งใหญ่ของอาณาจักรเราแน่เพื่อไม่ให้มันกลายมาเป็ภัยพิบัติ!!!! องค์จักรพรรดิโปรดใคร่ครวญอย่างละเอียดด้วย!!!!”
พอกล่าวจบ บรรยากาศในท้องพระโรงก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที เสียงกระซิบพูดคุยดังขึ้นไม่หยุด
ซึ่งประโยคที่หวังิชงพูดออกมานั้น หากเป็คนนอกมาได้ยินเข้าละก็จะต้องคิดว่าหลินอี้เป็คนที่ทำเื่ชั่วช้าได้โดยไม่กะพริบตาแน่ซึ่งนั่นก็ตรงกับจุดประสงค์ของหวังิชงพอดี
มีเหล่าข้าราชการหลายคนที่ได้ยินมาว่าเมื่อวานเกิดเื่ใหญ่ขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเหตุการณ์นั่นเป็อย่างไรแต่พอได้ยินหวังิชงพูดแบบนี้เข้าไปแล้วก็พากันประหลาดใจว่าตระกูลเวินเมืองอวิ๋นเฉิงไปมีผู้าุโวัยหนุ่มสุดแข็งแกร่งขนาดนี้มาเป็พวกได้อย่างไรขนาดระดับหัวหน้าอย่างซูิชุนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินอี้เลย
ในพริบตานั้นพวกเขาต่างก็เกิดข้อถกเถียงขึ้นมากมายน้ำเสียงต่างๆ ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว”
พอองค์จักรพรรดิหลินเฮ่ายวนเอ่ยปากพูดทั่วทั้งท้องพระโรงก็พากันเงียบเสียงลงในทันที
จากนั้นก็หันสายตาไปมองหาวัยรุ่นชายสองคนที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดในท้องพระโรงเหล่าข้าราชการต่างก็รู้กันดีว่านั่นก็คือองค์ชายที่มีสิทธิเข้ามาในท้องพระโรงเพื่อแสดงความคิดเห็นด้านการปกครองซึ่งมีแค่สองคนเท่านั้นจากทั้งหมด
ฝั่งซ้ายคือชายหนุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่บึกบึนดุจอาชาไนยแม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังมิอาจบดบังความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนั้นได้พลังฟ้าดินอ่อนๆ ในร่างกายที่ถูกปล่อยออกมานั้นทำให้บรรยากาศถูกกดดันไปด้วยชายผู้นี้คือโอรสลำดับที่สองของหลินเฮ่ายวน หลินเวย
หลินเวยนั้นนอกจากจะมีฐานะเป็เ้าชายแล้ว เขายังเป็หนึ่งในสี่ัน้อยที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วยซึ่งการที่มีบุตรชายเป็ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์อายุน้อยแบบนี้นับเป็เื่ดีและเป็หน้าเป็ตาสำหรับหลินเฮ่ายวนเป็อย่างมากก่อนหน้านี้ผู้คนต่างก็คิดกันว่าตำแหน่งผู้สืบทอดของหลินเฮ่ายวนจะต้องตกเป็ของเ้าชายลำดับที่สองคนนี้อย่างแน่นอน
จนกระทั่งองค์ชายอีกคนทางด้านขวาปรากฏตัวขึ้น
การกลับมาของหลินหยางเ้าชายลำดับที่เก้าที่เคยหายตัวไปก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้คนได้รับรู้กันว่าบนโลกนี้มีอัจฉริยะผู้มากความสามารถอยู่จริงๆ
เ้าชายหลินหยางเพิ่งกลับเข้ามาในราชสำนักได้แค่ครึ่งปีเศษเท่านั้นแต่กลับแสดงให้เห็นถึงความสามารถในด้านวรยุทธ์อันมหัศจรรย์จนน่าใออกมาโดยเขาสามารถพัฒนาระดับฝีมือจากชุ่ยถี่ขั้นท้ายกลายไปเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นกลางได้อย่างรวดเร็วความเร็วในการพัฒนาตัวเองระดับนี้ทำเอาองค์จักรพรรดิหลินเฮ่ายวนถึงกับเอ่ยปากชมไม่ขาดสาย
และที่น่าชื่นชมยิ่งกว่าคือการที่องค์ชายหลินหยางผู้นี้ได้แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันสูงส่งและทักษะด้านการปกครองอันยอดเยี่ยมเกินวัยของเขา
ใน่เวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขานอกจากจะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างขยันขันแข็งแล้วในขณะเดียวกันก็ยังศึกษาเรียนรู้กับฝ่ายผู้ดูแลกิจการภายใน และฝ่ายการปกครองซึ่งก็ได้รับคำชมจากระดับหัวหน้าของทั้งสองฝ่ายด้วยพวกเขาต่างก็บอกว่าองค์ชายหลินหยางนั้นมีทั้งความทรหดอดทนและความขยันหมั่นเพียรเป็อย่างมากเป็อัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากมากในรอบร้อยปี
ในเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีก็สามารถครองใจของเหล่าผู้คนในราชสำนักได้เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือเหล่าข้าทาสบริวารต่างก็หลงใหลชื่นชมในตัวของเขาเป็อย่างมากเพราะนอกจากจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาคมคายอย่างไร้ที่ติอีกด้วย
จนในที่สุดเมื่อหนึ่งเดือนก่อนองค์ชายเก้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนักจนถึงขีดสุดผู้นั้นก็สามารถเข้าไปอยู่ในท้องพระโรงได้อย่างเป็ทางการสามารถช่วยออกความคิดเห็นด้านการบริหารบ้านเมืองไปพร้อมกับเหล่าขุนนางนับร้อยคนได้และก็เป็สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าหลินเฮ่ายวนนั้นยกหลินหยางขึ้นมามีตำแหน่งเทียบเท่ากับกับหลินเวยเพื่อแข่งขันกันอย่างเป็ทางการ
และในตอนนี้หลินเฮ่ายวนที่มองไปทางทั้งสองคนก็เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า
“พวกเ้า คิดเห็นอย่างไรบ้างกับเื่นี้?”