บทที่ 4: กับดักกลางร้านกาแฟ
ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ปี 2540 คลาคล่ำไปด้วยผู้คนในชุดสูทสากลและชุดผ้าไหมไทย บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดผสมความหวัง ผู้ประกอบการนับพันรายต่างพยายามตะเกียกตะกายหาทางรอดด้วยการส่งออก
ฉันในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบ (ที่รีดเองกับมือ) กับกางเกงสแล็คสีดำทรงเข้ารูป ยืนสูดลมหายใจอยู่หน้าทางเข้า แม้จะไม่มีสูทหรูหราเหมือนชาติที่แล้ว แต่ความมั่นใจของฉันคือแบรนด์เนมที่แพงที่สุด
"พ่อกับแม่รอนอกระเบียงนะจ๊ะ เดี๋ยวจะเกะกะเขา" พ่อบอกอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ในมือถือตะกร้าหวายใส่ตัวอย่างสินค้าไว้แน่น
"ไม่ค่ะ พ่อต้องไปกับหนู... พ่อคือเ้าของโรงงาน หนูเป็แค่เลขา" ฉันยิ้มให้พ่อเพื่อสร้างความมั่นใจ "วันนี้เราไม่ได้มาขอทานเขา แต่เรามาเสนอโอกาสให้เขาต่างหาก"
เราไม่มีบัตรเข้างาน (Exhibitor Badge) เข้าไปในโซนจัดแสดงไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเป้าหมายของฉันไม่ใช่บูธสี่เหลี่ยมแคบๆ แต่เป็ "Lobby Lounge" ร้านกาแฟหรูหน้าประตูทางเข้าหลักต่างหาก
จุดยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่จุดที่คนเดินผ่านเยอะที่สุด แต่เป็จุดที่ "คนตัดสินใจ (Decision Maker)" มานั่งพักผ่อน!
ฉันพาพ่อไปนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งซึ่งมองเห็นทางเข้าออกชัดเจน สั่งกาแฟดำแก้วละ 80 บาท (แพงหูฉี่สำหรับยุคนี้ แต่คือค่าเช่าที่ที่คุ้มค่า)
"เอาของออกมาเลยพ่อ"
ฉันหยิบ 'Modular Coaster' หรือที่รองแก้วไม้สักรูปหกเหลี่ยมจำนวน 20 ชิ้นออกมาวางบนโต๊ะกระจก แทนที่จะวางซ้อนกันเฉยๆ ฉันเริ่ม "เล่น" กับมัน
ฉันต่อมันเป็แพทเทิร์นรังผึ้งบ้าง ต่อเป็แนวยาวบ้าง หรือวางซ้อนกันเป็ทรงตึก
สีไม้สักทองธรรมชาติ ตัดกับผ้าปูโต๊ะสีขาวและถ้วยกาแฟเซรามิก มันดูโดดเด่น สวยงาม และ "แปลกตา" ท่ามกลางสินค้าลายไทยวิจิตรบรรจงที่คนอื่นพยายามนำเสนอ
ผ่านไป 20 นาที ผู้คนเดินผ่านไปมา บางคนมองด้วยหางตาแล้วผ่านไป แต่ฉันไม่รีบร้อน สายตาของฉันจับจ้องไปที่กลุ่มชายชาวต่างชาติ 3 คนที่กำลังเดินออกมาจากโซนจัดแสดงด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
คนกลางคือชายวัยกลางคน ผมสีดอกเลา สวมแว่นสายตากรอบทอง ท่าทางเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว... 'มิสเตอร์อลัน' เป้าหมายของฉัน!
เขาดูหงุดหงิด และกำลังบ่นกับผู้ติดตามเสียงดังพอที่ฉันจะได้ยิน
"Same old stuff. Elephants, Benjarong, Silk... I need something modern, something functional for the London apartments!" (มีแต่ของเดิมๆ ช้าง, เบญจรงค์, ผ้าไหม... ผม้าอะไรที่ทันสมัย ใช้งานได้จริงสำหรับอพาร์ตเมนต์ในลอนดอน!)
ปลาฮุบเหยื่อแล้ว... แต่ยังไม่กลืนเบ็ด
ฉันแกล้งทำเป็ไม่สนใจเขา มือขยับชิ้นไม้บนโต๊ะดัง กริ๊ก กริ๊ก เสียงไม้กระทบกันเบาๆ เป็จังหวะที่น่าฟัง
ฉันหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาวางบนแผ่นไม้ที่ต่อเป็ฐานรูปดอกไม้ แล้วยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสง่างาม
อลันชะงักฝีเท้า สายตาเขาปะทะเข้ากับ "สิ่งประดิษฐ์" บนโต๊ะของฉัน
เขาหยุดเดิน จ้องมอง แล้วเดินตรงดิ่งเข้ามาทันที
"Excuse me, young lady." เสียงทุ้มแหบเสน่ห์เอ่ยทัก
ฉันวางแก้วลงช้าๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วยิ้มบางๆ อย่างเป็มิตร
"Yes, sir?"
"What is... that?" เขาชี้มาที่กองไม้หกเหลี่ยม
"It's just a toy... and a tool." (มันเป็แค่ของเล่น... และของใช้ค่ะ) ฉันตอบกำกวม แล้วหยิบชิ้นส่วนหนึ่งยื่นให้เขา "Try it."
อลันรับไม้ชิ้นนั้นไปถือ ััความเนียนละเอียดของเนื้อไม้ที่ขัดมาอย่างดี น้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง
"Teak wood? (ไม้สัก?)" เขาเลิกคิ้ว
"Yes, Golden Teak. Recycled from premium furniture waste. Eco-friendly and cost-effective." (ใช่ค่ะ ไม้สักทอง รีไซเคิลจากเศษเฟอร์นิเจอร์เกรดพรีเมียม เป็มิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคุ้มราคา)
คำว่า "Recycled" และ "Eco-friendly" ในปี 1997 เป็คำศัพท์ที่ใหม่และเท่มากสำหรับตลาดยุโรป ตาของอลันเป็ประกายวาววับทันที
"Brilliant..." เขาพึมพำ ก่อนจะลองเอาวางต่อกับชิ้นอื่นๆ บนโต๊ะ "It's modular."
"Exactly. You can sell it as a set of 6, 12, or 20. The customer creates their own design. It's not just a coaster; it's home decor." (ถูกต้องค่ะ คุณขายเป็เซ็ตได้ ลูกค้าดีไซน์รูปแบบเองได้ มันไม่ใช่แค่ที่รองแก้ว แต่มันคือของแต่งบ้าน)
"ผมขอพบนายจ้างของคุณได้ไหม?" อลันถามอย่างกระตือรือร้น เขาคงคิดว่าเด็กสาวที่พูดภาษาอังกฤษคล่องขนาดนี้ คงเป็เซลล์ของบริษัทใหญ่
ฉันผายมือไปที่พ่อ ซึ่งนั่งตัวเกร็งเหงื่อตกอยู่ข้างๆ
"This is Mr. Chai, the owner of the factory and the master craftsman. And I am his daughter and export manager."
อลันหันไปจับมือพ่ออย่างให้เกียรติ "Mr. Chai, your work is exquisite. Simple but genius."
พ่อฟังไม่ออกสักคำ แต่ก็ยิ้มสู้และพยักหน้าหงึกๆ ตามที่เตี๊ยมกันมา
"ผมสนใจสั่งซื้อ... คุณมีแค็ตตาล็อกไหม?"
จังหวะนรก... เราไม่มีแค็ตตาล็อก
แต่รินลดาไม่เคยจนมุม ฉันหยิบสมุดสเก็ตช์ภาพวาดมือ (ที่ฉันวาดเองเมื่อคืน) ออกมา
"We are a boutique factory, sir. We create by hand, not by machine catalog. This is our latest collection sketch."
อลันเปิดดูสมุดภาพ ลายเส้นดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์มินิมอลอีกหลายแบบปรากฏสู่สายตาเขา เขาดูตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่
"Fantastic! ผมบินกลับพรุ่งนี้... ผมไม่มีเวลาไปโรงงานคุณ" เขาทำท่าครุ่นคิด "คุณทำใบเสนอราคาให้ผมตอนนี้ได้ไหม? สำหรับเ้านี่... 10,000 ชิ้น"
หนึ่งหมื่นชิ้น!
พ่อตาโตเท่าไข่ห่าน แทบจะสำลักกาแฟ
ฉันคำนวณในหัวอย่างรวดเร็ว ต้นทุนแทบจะเป็ศูนย์ ค่าแรงก็น้อยนิด
"ได้ค่ะ... แต่เราขอรับมัดจำ 30% เป็เงินสด หรือ Cashier Cheque ภายในวันนี้นะคะ เพื่อล็อคคิวการผลิต"
"Deal." อลันตอบรับทันทีโดยไม่ต่อรอง
วินาทีนั้น ฉันเห็นหางตาเหลือบไปเห็นใครบางคนเดินเข้ามาในร้านกาแฟ
'กรณ์' นายธนาคารเ้าหนี้ของเรานั่นเอง เขามาเดินตรวจงานลูกค้าคนอื่น แต่ดันมาเห็นฉากที่ฝรั่งมังค่ากำลังก้มหัวจับมือกับลูกหนี้ใกล้ล้มละลายอย่างพ่อของฉัน
กรณ์หยุดยืนมองอยู่ห่างๆ เขาถอดแว่นกันแดดออก จ้องมองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป...
จาก 'ลูกหนี้ที่น่าสนใจ' กลายเป็ 'คู่แข่งที่น่ากลัว' หรือบางทีอาจจะเป็ 'ผู้หญิงที่น่าค้นหา'
ฉันหันไปสบตาเขา แล้วส่งยิ้มมุมปากให้ทีหนึ่ง เป็ยิ้มของผู้ชนะในยกแรก
เตรียมตัวนับเงินได้เลยค่ะคุณกรณ์... หนี้ของคุณ ฉันจะใช้คืนให้ครบทุกบาททุกสตางค์!
