บทที่ 9 อดีตที่ถูกสะบั้น
ณ จวนเสนาบดี เรือนพุดตาน
ไป๋ฟางซินกำลังนั่งดีดลูกคิดอย่างสบายอารมณ์อยู่บนตั่งไม้ ข้างกายนางมีกองเงินที่ใหญ่กว่าเมื่อวานวางอยู่
"คุณหนูเ้าคะ แผนการของท่าน มันยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!" ชิงเหอเล่าเหตุการณ์ที่ร้านให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีด "ตอนนี้คนทั้งเมืองหลวงไม่ได้พูดถึงเื่ชาไข่มุกแล้วเ้าค่ะ พวกเขาพูดถึงแต่ของว่างในตำนาน ที่มีให้ชิมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! บางคนถึงกับตั้งกลุ่มตามล่าหาของอร่อยกันเลยนะเ้าคะ!"
ไป๋ฟางซินหัวเราะเบาๆ "นั่นแหละคือสิ่งที่ข้า้า"
นางรู้ดีว่าความสำเร็จที่ได้มาอย่างรวดเร็วนั้นย่อมเป็ที่จับตา นางต้องรีบสร้าง ปราการที่แข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจของนาง และปราการที่ดีที่สุดก็คือ การมีสินค้าที่ ลอกเลียนแบบไม่ได้ อยู่ในมือหลายๆ อย่าง!
"แล้วเื่ที่ข้าให้ไปสืบ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?" นางเปลี่ยนเื่
ชิงเหอมีสีหน้าจริงจังขึ้น "ได้ความแล้วเ้าค่ะคุณหนู หอวิหคเหินคู่แข่งของเราเป็กิจการที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ตระกูลหวังเ้าค่ะ"
"ตระกูลหวัง!"
ชื่อนี้ทำให้นิ้วที่กำลังดีดลูกคิดของไป๋ฟางซินชะงักงัน! แววตาของนางเย็นเยียบลงในบัดดล!
ตระกูลหวัง คือตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองหลวง และที่สำคัญที่สุดในชาติก่อน "หวังฮูหยิน" ภรรยาเอกของเสนาบดีกรมคลัง ก็คือพี่สาวแท้ๆ ของประมุขตระกูลหวังคนปัจจุบัน! และเสนาบดีกรมคลังผู้นั้น คือหนึ่งในขุนนางกลุ่มแรกที่ร่วมมือกับองค์ชายรัชทายาทเพื่อใส่ร้ายป้ายสีบิดาของนางว่าเป็ฏ!
'ช่างเป็โชคชะตาที่น่าขันเสียนี่กระไร...ศัตรูเก่ากลับมาพบเจอกันเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!'
"สืบต่อไป" นางสั่งเสียงเย็น "สืบให้ลึกที่สุด! เส้นทางการเงิน การค้าที่ผิดกฎหมาย หรือจุดอ่อนใดๆ ก็ตามของตระกูลหวัง ข้า้ารู้ทั้งหมด!"
"เ้าค่ะคุณหนู!"
ในขณะที่ไป๋ฟางซินกำลังวางแผนรับมือกับศัตรูเก่า นางหารู้ไม่ว่า อสรพิษอีกตัวหนึ่งกำลังเลื้อยเข้ามาใกล้โดยที่นางไม่ทันระวังตัว
ณ ตำหนักบูรพา พระราชวังหลวง
องค์ชายรัชทายาท หลี่เจิ้ง กำลังนั่งอ่านฎีกาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ขันทีคนสนิท "กงกงหลิว" เดินรินชาให้เขาอย่างนอบน้อม
"ฝ่าา ทรงได้ยินเื่ที่กำลังโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" กงกงหลิวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
"เื่อะไรที่น่าสนใจไปกว่ากองฎีกาน่าเบื่อพวกนี้อีกรึ?" หลี่เจิ้งถามโดยไม่เงยหน้า
"เป็เื่ของโรงน้ำชาแห่งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ที่น่าสนใจก็คือ โรงน้ำชาแห่งนั้นเป็ของตระกูลไป๋ และผู้ที่บริหารจัดการก็คือคุณหนูใหญ่ไป๋ฟางซินพ่ะย่ะค่ะ"
"หืม?"
พู่กันในมือของหลี่เจิ้งหยุดชะงัก เขาวางมันลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองขันทีคนสนิทด้วยแววตาสนใจ "ไป๋ฟางซินรึ? สตรีที่น่ารำคาญคนนั้นน่ะนะ? นางเลิกวิ่งไล่ตามข้าแล้วหันไปเป็แม่ค้าั้แ่เมื่อไหร่กัน?" น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยการดูแคลน
"ทูลฝ่าา ดูเหมือนว่านางจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ" กงกงหลิวเล่าเื่ราวความสำเร็จของโรงน้ำชาสดับวสันต์ทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียด ยิ่งฟังคิ้วของหลี่เจิ้งก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน
'นางทำเื่เช่นนี้ได้ด้วยรึ? จากสตรีโง่งมที่เอาแต่กรีดร้องและเรียกร้องความสนใจ กลายเป็นักธุรกิจที่เฉียบแหลมไปได้อย่างไร? หรือว่าที่ผ่านมานางแสร้งทำเป็โง่เพื่อหลอกตาข้า?' ความคิดขององค์ชายรัชทายาทเต็มไปด้วยความสงสัยระคนหงุดหงิด
"และที่น่าสนพระทัยยิ่งกว่านั้น" กงกงหลิวกล่าวต่อ "วันนี้มีคนเห็นคุณหนูรอง หลิวซูซู ไปปรากฏตัวที่หน้าร้านนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
"ซูซูรึ!"
คราวนี้หลี่เจิ้งถึงกับลุกขึ้นยืน! ในใจของเขารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างประหลาด
หลิวซูซู นางเอกของเื่ราวในชาติก่อน บุตรสาวอนุภรรยาที่ถูกไป๋ฟางซินกดขี่ข่มเหงมาโดยตลอด และเป็สตรีที่องค์ชายรัชทายาทแอบมีใจให้ แต่ต้องเก็บซ่อนไว้เพื่อใช้ประโยชน์จากตระกูลไป๋
'ซูซูไปที่นั่นทำไม? ไป๋ฟางซินต้องเรียกนางไปเพื่อกลั่นแกล้งเยาะเย้ยเป็แน่! สตรีใจร้ายพรรค์นั้นไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้หรอก!'
"ไป!" เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว "เปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ข้า! ข้าจะออกไปนอกวัง!"
"ฝ่าา! จะเสด็จไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
"ข้าจะไปดูให้เห็นกับตา!" แววตาของหลี่เจิ้งฉายประกายกร้าว "ข้าจะไปดูว่าไป๋ฟางซินกำลังเล่นละครตบตาอะไรอยู่! และข้า จะไปปกป้องซูซู!"
กงกงหลิวลอบยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ ทุกอย่างเป็ไปตามแผนที่เขาวางไว้
ที่หน้าร้านสดับวสันต์ในยามบ่าย
ฝูงชนเริ่มสลายตัวไปแล้ว หลิวซูซูในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน ยืนมองป้ายร้านด้วยท่าทีลังเล ในมือนางกำถุงเงินใบเล็กๆ ที่เก็บออมมาทั้งชีวิตไว้แน่น
นางได้ยินกิตติศัพท์ของชาไข่มุกและอยากจะลองลิ้มรสมันสักครั้ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นนางอยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าพี่สาวต่างมารดาของนางเปลี่ยนไปจริงหรือไม่ หลังจากวันที่นางมาเยี่ยมไข้แล้วถูกปฏิบัติอย่างดีผิดปกติ นางก็รู้สึกสับสนมาโดยตลอด
ขณะที่นางกำลังจะรวบรวมความกล้าก้าวเข้าไปในร้าน เสียงเ็าที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
"เ้ามาทำอะไรที่นี่?"
หลิวซูซูสะดุ้งสุดตัว นางหันกลับไปก็พบกับไป๋ฟางซินที่เพิ่งลงจากรถม้าพอดี
"ทะ ท่านพี่ใหญ่ ข้า ข้าแค่เดินผ่านทางมา" นางตอบเสียงตะกุกตะกักด้วยความเคยชิน
ไป๋ฟางซินมองน้องสาวต่างมารดาด้วยสายตาที่ซับซ้อน ในชาติก่อนนางทำร้ายสตรีผู้นี้ไว้อย่างแสนสาหัส แต่ในชาตินี้นางตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก
ทว่า ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยอะไรต่อ รถม้าหรูหราคันหนึ่งก็วิ่งมาจอดเทียบอย่างรวดเร็ว ร่างสูงสง่าในชุดบัณฑิตขององค์ชายรัชทายาทหลี่เจิ้งก็ก้าวลงมา พร้อมกับกงกงหลิวที่ตามเสด็จมาด้วย
"ซูซู! เ้าไม่เป็อะไรนะ!" หลี่เจิ้งปรี่เข้ามาจับแขนของหลิวซูซูทันที แววตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย ก่อนจะหันไปตวัดสายตาคมกริบมองไป๋ฟางซิน
"ไป๋ฟางซิน! เ้าคิดจะทำอะไรซูซูอีก! เลิกรังแกนางเสียที! เ้ายังทำร้ายนางไม่พออีกหรือไร!"
คำกล่าวหาที่รุนแรงและไม่ถามไถ่ความจริงใดๆ นั้น ทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นเยียบลงในบัดดล!
ไป๋ฟางซินมองภาพตรงหน้า ภาพของบุรุษที่นางเคยรักสุดหัวใจกำลังปกป้องสตรีอีกคนหนึ่งอย่างออกนอกหน้า ภาพที่เคยทำให้นางเ็ปแทบคลั่งในชาติก่อน
แต่บัดนี้ ในใจของนางกลับไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากความว่างเปล่าและความสมเพช
นางเงยหน้าขึ้น สบตากับองค์ชายรัชทายาทโดยตรง ก่อนที่มุมปากของนางจะยกขึ้นเป็รอยยิ้มที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลก
"องค์ชายรัชทายาท ท่านคิดว่าตัวท่าน มีค่าพอที่จะให้ข้าชายตามองแล้วหรือเพคะ?"
คำพูดนั้น เหมือนคมดาบที่มองไม่เห็น พุ่งเข้าแทงทะลุเกราะแห่งศักดิ์ศรีขององค์ชายรัชทายาทจนแหลกสลาย
"องค์ชายรัชทายาท ท่านคิดว่าตัวท่าน มีค่าพอที่จะให้ข้าชายตามองแล้วหรือเพคะ?"
กาลเวลา...ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
สายลมยามบ่ายที่เคยพัดเอื่อยๆ พลันสงบนิ่งไปราวกับกำลังกลั้นหายใจ เสียงจอแจบนท้องถนนเงียบหายไปสิ้น เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของคนทั้งสาม และสายตาของผู้คนรอบข้างที่เริ่มจับจ้องมาเป็จุดเดียวด้วยความตกตะลึง
คำพูดของไป๋ฟางซิน มันไม่ได้ดัง แต่กลับคมกริบยิ่งกว่าคมดาบที่ตีบวกมาอย่างดีที่สุด มันไม่เพียงแค่แทงทะลุเกราะแห่งศักดิ์ศรีขององค์ชายรัชทายาท แต่มันยังบดขยี้ความหยิ่งผยองทั้งหมดของเขาจนแหลกละเอียดเป็ผุยผง!
ใบหน้าหล่อเหลาของหลี่เจิ้งซีดเผือดสลับกับแดงก่ำราวกับโดนตบหน้าอย่างแรงกลางสี่แยก!
'นาง...นางพูดว่าอะไรนะ! นางกล้าพูดกับข้า รัชทายาทแห่งแคว้น เช่นนี้ได้อย่างไร! สตรีที่เคยคุกเข่าอ้อนวอนขอเพียงเศษเสี้ยวสายตาจากข้า! สตรีที่เคยยอมทำทุกอย่างเพื่อข้า! เหตุใด เหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้!' ความโกรธ ความสับสน และความรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามตีรวนขึ้นมาในอกจนแทบจะะเิ!
"เ้า เ้าบังอาจ!" เขาเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาด้วยความยากลำบาก "เ้าคงจะเสียสติไปแล้วจริงๆ! ไป๋ฟางซิน!"
หลิวซูซูที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน นางมองพี่สาวต่างมารดาด้วยสายตาที่เหลือเชื่อที่สุดในชีวิต
'ท่านพี่ กล้าพูดกับองค์ชายรัชทายาทเช่นนี้ได้อย่างไร! นี่มันคือการลบหลู่เบื้องสูง! โทษถึงขั้นปะาเจ็ดชั่วโคตรได้เลยนะ! ท่านพี่ไม่กลัวตายหรือไร!' ความหวาดกลัวเข้าจับขั้วหัวใจของนาง นางรีบดึงแขนเสื้อของหลี่เจิ้งเบาๆ "ฝ่าา อย่าทรงถือสาท่านพี่เลยนะเพคะ นางคงจะคงจะยังไม่หายดี"
การกระทำที่ดูเหมือนจะช่วยไกล่เกลี่ยของนางนั้น ในสายตาของไป๋ฟางซินกลับดูราวกับการแสดงละครตบตาชั้นเลิศ! มันยิ่งโหมกระพือไฟโทสะของหลี่เจิ้งให้ลุกโชนขึ้นไปอีก!
แต่ไป๋ฟางซินในวันนี้ หาได้สนใจไฟโทสะนั้นไม่
นางปรายตามองหลี่เจิ้งั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาที่เ็าและว่างเปล่า ราวกับกำลังมองดูเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งที่ไร้ค่า ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
"เสียสติรึเพคะ?" นางทวนคำ "บางที หม่อมฉันอาจจะเพิ่งได้สติ กลับคืนมาก็เป็ได้นะเพคะ ได้สติ ว่าที่ผ่านมาหม่อมฉันมัวเสียเวลาไปกับเื่ไร้สาระเพียงใด ได้สติว่าทองคำแท้ย่อมมีค่ากว่าก้อนกรวดริมทางเสมอ"
แต่ละคำพูดของนาง คือการตอกย้ำว่าเขาเป็เพียงเื่ไร้สาระ และเป็แค่ก้อนกรวด ที่นางเขี่ยทิ้งไปแล้ว!
"เ้า!!!" หลี่เจิ้งกำหมัดแน่นจนเส้นเืปูดโปน เขาอยากจะตวาดสั่งให้ทหารองครักษ์มาจับสตรีปากกล้าคนนี้ไปโบยให้ตาย! แต่เขาก็ทำไม่ได้! เพราะนางคือบุตรสาวของเสนาบดีไป๋ชิงซาน ขุนนางคนสำคัญที่เขายังต้องใช้ประโยชน์อยู่! การทำอะไรวู่วามตอนนี้มีแต่จะเสียมากกว่าได้!
'บัดซบ! นางรู้ว่าข้าทำอะไรนางไม่ได้! นางถึงได้กล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้! รอให้ข้าขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่เถอะ ข้าจะทำให้เ้าได้รู้สำนึกว่าการล่วงเกินข้ามันมีจุดจบเช่นไร!' เขาได้แต่ข่มความแค้นไว้ในใจ
