หวังซู่เหนียงถามต่อ “เ้าว่า คุณชายรองจะเสียใจมากแค่ไหน วันนี้พ่อเ้าก็ลากเขาไปด้วย”
“ท่านพ่อคงอยากจะให้น้องรองผูกมิตรกับแม่ทัพเยี่ยนไว้เ้าค่ะ” กู้เจิงเข้าใจความคิดของบิดาดี ถึงแม้เขาจะเป็ป๋อเจวี๋ย แต่เส้นทางการงานของเขาไม่ได้ราบรื่น ดังนั้นใครก็ตามที่สามารถคบค้าสมาคมได้ล้วนต้องหาทางผูกมิตรไว้
“บุรุษประเภทนี้มีอะไรให้น่าผูกมิตรกัน? ขุนนางคนอื่นๆ มีถมเถไป ทำไมต้องไปผูกมิตรกับแม่ทัพด้วย คุณชายรองเป็ปัญญาชน ปัญญาชนก็ควรคบหากับปัญญาชนสิ”
“ซู่เหนียงท่านเกลียดพวกแม่ทัพนายพลมากเลยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงนึกขึ้นได้ว่าคราวก่อนตอนพบกับท่านตาฉางผิงโหว ถ้าหวังซู่เหนียงสามารถหลบได้ก็จะขอหลบให้ไกล
นางพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “แม่ทัพนายทหารพวกนี้นี้รบราฆ่าฟันศัตรูมามาก ข้าไม่กล้าเข้าใกล้หรอก”
กู้เจิงหัวเราะขัน “คนอื่นหวังจะได้พบแม่ทัพเยี่ยน แต่ท่านกลับต่างออกไป”
“นั่นก็จริง” หวังซู่เหนียงเองก็หัวเราะ
สองแม่พูดคุยซักถามกันสักพักก็พากันออกไปที่เรือนใหม่ของกู้เจิง ที่อยู่ห่างจากจวนกู้เพียงครึ่งทางเท่านั้น
กู้เจิงเมื่อก้าวลงจากรถม้า และได้เงยหน้ามองป้ายอักษรหน้าจวน อีกทั้งยังมีสิงโตหินสองตัวที่อยู่ข้างประตูใหญ่ นางก็อุทานออกมาด้วยความใ “ใหญ่มาก”
“ของพระราชทานจะเล็กได้หรือ?” หวังซู่เหนียงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
การเรียกที่อยู่อาศัยว่าจวนในยุคสมัยนี้มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ที่อยู่อาศัยของคนทั่วไปเรียกได้แค่บ้านเท่านั้น การที่ฮ่องเต้พระราชทานจวนให้กับเสิ่นเยี่ยน นับได้ว่าทรงให้ความสำคัญกับเขามาก
ประตูใหญ่เปิดออก ซู่หลันกับเหอเซียงสาวใช้สองคนที่นายหญิงส่งมาให้เดินออกมา
“บ่าวคารวะนายหญิง คารวะหวังซู่เหนียงเ้าค่ะ” ทั้งสองเข้ามาทำความเคารพ
กู้เจิงฟังแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ “พวกเ้าเรียกข้าว่าฮูหยินเถอะ”
“ไม่ได้” หวังซู่เหนียงไม่เห็นด้วย นางเอ่ยด้วยดวงตาเป็ประกายว่า “กว่าจะเป็นายหญิงได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ แน่นอนว่าต้องเรียกให้เคยชินเอาไว้” นางหันไปสั่งสาวใช้ทั้งสองคน “จำเอาไว้ ทุกวันต้องเรียกให้มาก วันหน้าคุณหนูใหญ่จะได้ดูมีมาดเหมือนนายหญิง”
“บ่าวเข้าใจแล้วเ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองปิดปากยิ้มขำ
สายตาของกู้เจิงถูกทิวทัศน์ในจวนดึงดูดเข้า ดังนั้นจึงไม่ถือสาคำเรียกขานนี้อีก
ในจวนมีทั้งหมดสามเรือน แต่ละเรือนไม่ใหญ่นัก ที่สวนมีศาลาและสะพานเล็กๆ ที่มีน้ำไหลผ่าน มีต้นไม้เขียวขจีโอบล้อมบริเวณสวนทั้งหมด
“นี่คือเรือนหลักของพวกเ้า” หวังซู่เหนียงจูงบุตรสาวเข้าไปในเรือนหลัก “นายหญิงพาคนมาจัดแต่งด้วยตัวเอง ส่วนเครื่องเรือนด้านใน ท่านพ่อของเ้าเป็คนออกเงินซื้อมา”
“ท่านพ่อปฏิบัติต่อข้าอย่างดีขึ้นเรื่อยๆ เลยเ้าค่ะ” กู้เจิงนึกถึงเรือนหลังก่อนนี้ที่ทางสำนักราชเลขาจัดให้เสิ่นเยี่ยน ข้าวของเครื่องใช้ข้างในบิดาก็เป็คนซื้อให้ มาครานี้ก็ยังซื้อเครื่องเรือนชุดใหม่มาให้อีก
“เขาน่ะหรือดี?” หวังซู่เหนียงพูดด้วยสีหน้าดูแคลน “ไม่ใช่เพราะว่าเห็นบุตรเขยของข้ามีอนาคตไกลหรอกหรือไร”
“ก่อนหน้านี้ไม่เห็นซู่เหนียงกล้าพูดแบบนี้กับท่านพ่อเลยนะเ้าคะ” กู้เจิงหยอกเย้า
“แน่นอน เมื่อก่อนข้าต้องพึ่งพาเขา แต่ตอนนี้ข้าพึ่งพาลูกสาวของข้าได้แล้ว” ใบหน้าของหวังซู่เหนียงเต็มไปด้วยความภูมิใจ
กู้เจิง “...”
“นายหญิงได้บอกเ้าไว้แล้วกระมัง ว่าหากเ้า้าสาวใช้เพิ่มอีกสักสองสามคนก็ให้บอกนาง”
“แค่สองคนก็พอแล้วเ้าค่ะ” กู้เจิงปฏิเสธ “จริงสิ ข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมาใหม่ในเรือนหลังนั้นจะจัดการยังไงเ้าคะ?”
“แน่นอนว่าต้องขายต่อ” หวังซู่เหนียงไม่สนใจเครื่องเรือนที่ไม่เข้าตาเ่าั้ “แต่วันแรกที่บ้านถูกทางสำนักราชเลขาเรียกเก็บคืนก็มีคนเข้าไปอยู่แล้ว ข้ายังเห็นคนมาย้ายเครื่องใช้เก่าๆ เข้าไปด้วย”
กู้เจิงมองการตกแต่งของเรือนหลักอย่างละเอียด สำหรับเรือนเล็กอีกสองหลัง นางได้เดินวนไปวนมารอบหนึ่ง ล้วนแล้วแต่ถูกใจนางทั้งสิ้น
“อีกสองวัน ข้าจะพาพ่อครัวจากจวนกู้มา ถึงยามนั้นเ้าก็จัดสักสองสามโต๊ะเชิญคนมาทานข้าว นับว่าเป็การเลี้ยงสุราย้ายเข้าบ้านใหม่” หวังซู่เหนียงเอ่ย
กู้เจิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นดีด้วย
เื่ของจวนหลังใหม่ไม่จำเป็ต้องให้นางกังวล ของทุกอย่างมีไว้พร้อมแล้ว ตอนนางกับเสิ่นเยี่ยนย้ายมาอยู่ ขอแค่พกเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยก็พอ
เมื่อเสร็จธุระที่จวนใหม่แล้วสองแม่ลูกก็กลับมาที่จวนกู้ บ่าวรับใช้ที่หน้าประตูแจ้งกับพวกนางว่านายหญิงกับคุณหนูสี่กลับมาแล้ว
กู้เจิงเดินเข้าไปในเรือนหลักอย่างเบิกบานเพื่อไปคารวะนายหญิง แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าเรือนหลัก ก็ได้ยินเสียงเฉียบขาดของนายหญิงเว่ยซื่อดังแว่วมา “กู้เหยา เ้ายังจะปากแข็งอยู่อีก หน้าตาของจวนกู้ถูกเ้าทำขายหน้าไปหมดแล้ว”
“ข้าทำไมหรือเ้าคะ? ข้าก็แค่ไปหาเพื่อนเท่านั้นเอง” กู้เหยาร้องไห้
“ทำไมนายหญิงถึงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟขนาดนี้?” กู้เจิงพึมพำอย่างประหลาดใจ
“ต้องเป็เพราะคุณหนูสี่ไปที่จวนเซี่ยกงเจวี๋ยแน่ เห็นว่านาง้าไปหาเซี่ยิ่หรู แต่ที่จริงแล้วนางก็ไปเยี่ยมเซี่ยกงเจวี๋ยน้อยที่ป่วยนั่นแหละ” หวังซู่เหนียงแสดงสีหน้าชัดเจน
กู้เจิง “...” ครั้งก่อนที่งานเลี้ยงต้อนรับแม่ทัพเซี่ย นายหญิงก็เคยโกรธน้องสี่ไปหนหนึ่งแล้ว หรือว่าน้องสี่จะมีใจให้เซี่ยกงเจวี๋ยน้อยจริงๆ?
“เซี่ยกงเจวี๋ยน้อยมีร่างกายย่ำแย่เช่นนี้ ต้องเป็เพราะท่านแม่ทัพเซี่ยฆ่าคนมากเกินไปแน่” หวังซู่เหนียงนินทา
กู้เจิง “...” ดูท่าซู่เหนียงจะมีอคติกับพวกแม่ทัพนายพลมากกว่าที่นางคิด
“แต่ถ้าคุณหนูสี่สามารถแต่งเข้าจวนเซี่ยได้จริงๆ ก็เท่ากับได้เป็ฮูหยินกงเจวี๋ยเลยนะ ถึงร่างกายเซี่ยกงเจวี๋ยน้อยจะแย่ไปหน่อยก็คงจะไม่เป็ไร” หวังซู่เหนียงกล่าวสำทับอีก
“ข้าจะเข้าไปดูหน่อย ซู่เหนียงจะเข้าไปด้วยกันไหมเ้าคะ?” กู้เจิงถาม
“ข้าไม่ไปแล้วล่ะ เกิดข้าทนไม่ไหวแล้วเอ่ยปากแสดงความเห็นขึ้นมา เว่ยซื่อก็ต้องโทษข้าอีก” ว่าแล้วนางก็เดินจากไป
เมื่อกู้เจิงเดินมาถึงหน้าเรือนหลัก สาวใช้และแม่เฒ่าฉินที่รุมกันอยู่ที่หน้าประตูพอเห็นกู้เจิงก็ต่างดีใจกันมาก “วันนี้คุณหนูใหญ่มาได้ยังไงเ้าคะ?”
กู้เจิงบอกเล่าเื่ราวให้ฟัง ก่อนจะถามถึงสาเหตุที่นายหญิงโกรธน้องสี่เป็ฟืนเป็ไฟขนาดนี้ ซึ่งเื่ก็เป็ไปตามที่หวังซู่เหนียงคาดเดาไว้จริงๆ
เว่ยซื่อเห็นกู้เจิงเดินเข้ามา สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“พี่ใหญ่?” กู้เหยาร้องเรียกเสียงสะอื้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
“เ้ายังกล้าร้องไห้อีกหรือ?” เว่ยซื่อเห็นบุตรสาวมองเจิงเอ๋อร์เหมือนได้เห็นผู้ช่วยชีวิตให้รอดพ้นจากสถานการณ์คับขันนี้ นางทั้งโกรธและทั้งขันบุตรสาวคนเล็กนี้
“ทำไมข้าต้องอายที่จะร้องไห้ด้วยเ้าคะ? ข้าแค่ไปคุยกับิ่หรูเท่านั้นเอง” กู้เหยาเช็ดน้ำตาและเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
เว่ยซื่อแค่นเสียงเย็น
“ท่านแม่ บางทีน้องสี่อาจจะไปคุยเล่นกับคุณหนูเซี่ยจริงๆ ก็ได้นะเ้าคะ” กู้เจิงช่วยพูดให้กู้เหยา กู้
“คนที่รู้จักลูกดีที่สุดก็คือคนเป็แม่ ข้ารู้จักนางดี” เว่ยซื่อถลึงตาใส่บุตรสาวคนเล็กอย่างดุดัน “สรุปแล้ว เดือนนี้เ้าห้ามออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว”
กู้เหยาฮึดฮัด ก่อนจะหันกายวิ่งออกไป
กู้เจิงอยากจะขวางไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าหยุดไว้แล้วควรจะพูดอะไรดี
“เ้าคงเดาเื่ได้หมดแล้วกระมัง?” เว่ยซื่อเอ่ยถาม
“ซู่เหนียงเป็คนเดาเ้าค่ะ” กู้เจิงตอบตามความจริง
“ซู่เหนียงของเ้าไม่เก่งเื่อื่น แต่กลับถนัดรื่องไร้สาระแบบนี้” เสียงของเว่ยซื่อฟังไม่ออกว่าประชดหรือชมจริงๆ “เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านอ๋องตวนได้คุยกับบิดาของเ้า เกี่ยวกับกู้เหยาและเซี่ยกงเจวี๋ยน้อย นี่ก็เป็พระประสงค์ของพระสนมซู บอกว่าจวนกู้ของเรามีพระชายาไปแล้วหนึ่งคน ในวังหลวงไม่มีทางให้มีฮูหยินกงเจวี๋ยอีกคนในจวนของเราอีกแน่ และถ้าจะมีอีกก็จะไม่ส่งผลดีต่อท่านอ๋องด้วย”
เว่ยซื่อถอนหายใจแล้วพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าเป็อย่างนั้นจริงๆ องค์รัชทายาทกับท่านอ๋องคงได้มีใจออกห่างกันแน่แล้ว"
กู้เจิงพยักหน้าครุ่นคิด
“แต่เหยาเอ๋อร์เด็กคนนี้...” เว่ยซื่อปวดหัวไม่หยุด “เจิงเอ๋อร์ เ้ามีวิธีทำให้เหยาเอ๋อร์ยอมแพ้เื่เซี่ยกงเจวี๋ยน้อยไหม?”
“ท่านแม่แน่ใจหรือเ้าคะว่าเหยาเอ๋อร์มีใจชอบพอกับเซี่ยกงเจวี๋ยน้อยจริงๆ?”
“พอนางหน้าแดง ข้าก็รู้อยู่แล้วว่านางจะพูดจาเหลวไหลแบบไหน เ้าคิดว่าข้าไม่แน่ใจหรือ?”
กู้เจิง “...” นายหญิงโกรธกู้เหยาไม่น้อยจริงๆ “หากเป็อย่างที่ท่านแม่กล่าวจริง ต่อให้คุมตัวของเหยาเอ๋อร์ไว้ ก็ควบคุมใจนางไว้ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ”
“งั้นเ้าบอกหน่อยว่าข้าควรทำยังไง?”
“ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันเ้าค่ะ” เื่ความรัก มันห้ามกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน โดยเฉพาะความรักครั้งแรกของกู้เหยา กู้เจิงรู้สึกว่าเื่นี้ควรดูให้มั่นใจก่อนดีกว่า
เมื่อได้เวลาอาหารมื้อเที่ยง บิดากับน้องรองไม่ได้กลับมาร่วมโต๊ะด้วย
เว่ยซื่อจึงเรียกหวังซู่เหนียงมาทานอาหารด้วยกัน
กู้เจิงแอบเห็นว่าซู่เหนียงตอนนี้เวลาอยู่กับนายหญิงเว่ยซื่อนางจะทำตัวสบายๆ ไม่แสดงท่าทีอึดอัดเหมือนเมื่อก่อน ทั้งสองคนคงจะสนิทกันมากขึ้นไม่น้อย
กู้เหยาไม่ยอมมาร่วมกินอาหารเที่ยงด้วยกัน เว่ยซื่อก็ไม่ได้ให้ใครส่งอาหารไปให้นาง
หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ เดิมทีกู้เจิงอยากจะไปเยี่ยมกู้เหยา แต่เว่ยซื่อไม่เห็นด้วย นางบอกว่าครั้งนี้นางจะไม่ยอม ไม่อย่างนั้นจะทำเสียเื่
หลังอาหาร เว่ยซื่อก็ขอตัวไปนอนผักผ่อน กู้เจิงจึงอยู่คุยกับซู่เหนียงอีกเล็กน้อย ก่อนจะลากลับบ้านตระกูลเสิ่น
ท้องถนนยามบ่ายมีผู้คนเดินกันอยู่ไม่น้อย กู้เจิงขับรถม้าผ่านโรงน้ำชา‘อวิ๋นเซียง’ นางอดที่จะเหลือบมองเข้าไปด้านในไม่ได้
เพียงแวบเดียวนางก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยสองร่าง คนหนึ่งคือเซี่ยอวิ้น ส่วนอีกคนคือเสิ่นมู่ชิง