เหอชูซานพยุงตัวเองขึ้นยืนโดยใช้กำแพงเป็หลัก ดวงตาของเขาพร่ามัว เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ไม่ ผมไม่ได้เมา ผมอ้วกออกมาหมดแล้ว”
“อย่าออกไป” ชย่าลิ่วอีพูดระหว่างที่กำลังล้างมือ “ล้างมือแล้วค่อยออกไป”
น่าเสียดายที่แม้ว่ามือของเขาจะกวาดไปมาในอากาศอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถจับก๊อกน้ำได้ เขาจึงสบถออกมาอย่างหงุดหงิด “ให้ตายเถอะ!”
เหอชูซานเพิ่งสังเกตเห็นว่าถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่ที่จริงแล้วเขาเมามาก เหอชูซานจึงต้องเดินเข้าไปเปิดก๊อกน้ำให้เขา แล้วจับมือของชย่าลิ่วอีที่กำลังควานหาอะไรบางอย่างในอากาศไปล้างน้ำให้
ชย่าลิ่วอีเป็คนคอแข็ง ไม่ว่าจะดื่มมากแค่ไหนก็ไม่เห็นสีแดงบนใบหน้า ทว่าตอนนี้ดวงตาของเขาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง เขาพูดกับเหอชูซานอย่างเชื่องช้าว่า “พี่น้องคนอื่นๆ มาแล้ว อย่าให้พวกเขาเห็นนาย”
เสียงเพลงจากข้างนอกยังคงคึกคัก มีเสียงผู้ชายแปลกหน้าหลายคนแทรกเข้ามาให้ได้ยิน ชยาลิ่วอีพิงอ่างล้างหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับพูดกับตัวเอง “คนหนึ่งคือ ‘หงกุ้น’ คนของผู้เฒ่าเก๋อ อีกคนคือ ‘เฉ่าเสีย’ คนของลุงหยวน ไม่ใช่คนของเรา ไม่ปลอดภัย”
เหอชูซานเห็นว่าเขายืนไม่ค่อยมั่นคงจึงรีบเข้าไปพยุง “พี่ลิ่วอี พี่นั่งพักบนโถส้วมสักครู่เถอะ”
ชย่าลิ่วอีสะบัดมือออกจากเขา ปิดฝารองชักโครก แล้วนั่งลงไปอย่างโซซัดโซเซ เขาเอามือที่ยังเปียกอยู่เช็ดหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้นในอนาคตแล้วฉันไม่อยู่ อย่าไปหาเสี่ยวหม่า เขาแค่พอจะปกป้องตัวเองได้ ไปหาชุยตงตงแทน เธอดูแลนายได้ วันนี้ที่ฉันพานายมาก็เพื่อให้เธอรู้ว่านายเป็พวกเดียวกับพวกเรา”
“ผมจะไม่เป็ไร พี่ลิ่วอี”
ชย่าลิ่วอีแค่นหัวเราะอย่างเ็า “ใช่สิ นายมันก็แค่ลูกหมาจิ้งจอกตัวน้อย จะไปมีปัญหาอะไรได้? รู้จักกันมาตั้งนานแล้วแต่ยังไม่ยอมมาคารวะกันเลย นายมันไอ้เด็กนรกที่เลี้ยงไม่เชื่อง!”
“...” เหอชูซานไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้ เขาหลุบตามองหยดน้ำบนหน้าผากของชย่าลิ่วอีเงียบๆ หยดน้ำเล็กๆ ระยิบระยับไหลเ่าั้กลิ้งไหลลงมาตามใบหน้าแสนเ็าของเขาอย่างเชื่องช้าไปยังคางที่มีหนวดเคราขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบก็ดังขึ้นมาจากข้างนอก “พี่ใหญ่? ออกมาเร็ว! พวกเราทนไม่ไหวแล้ว!”
“กล้าเร่งพี่ใหญ่ตอนเข้าห้องน้ำอย่างนั้นหรือ? ไปให้พ้น!” ชย่าลิ่วอีะโเสียงดัง
“ทนไม่ไหวแล้วพี่ใหญ่! เมตตาพวกเราหน่อย!” พวกขี้เมาข้างนอกอาศัยความได้เปรียบด้านจำนวนเริ่มเกาประตูอย่างบ้าคลั่ง
ชย่าลิ่วอีพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แล้วตบไหล่เหอชูซานเบาๆ
เขาเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ ทว่าก่อนที่คนข้างนอกจะเห็นว่าข้างในเป็อย่างไร ชย่าลิ่วอีก็เตะคนเ่าั้เสียก่อน!
เสียงร้องด้วยความเ็ปดังขึ้นมาจากข้างนอก ร่างของเหล่าคนเมาล้มระเนระนาด “โอ๊ย!” “อ๊าก!”
เมื่อชย่าลิ่วอีปิดประตู เหอชูซานก็รีบล็อกทันที เขาได้ยินเสียงของชย่าลิ่วอีจากข้างนอกพูดว่า “ส้วมตัน ไปห้องข้างๆ!”
“พี่ใหญ่ต้องอ้วกบนพื้นแล้วไม่อยากให้พวกเราเข้าไปเห็นแน่ๆ!”
“พวกแกอยากตายกันหมดใช่ไหม?! ทุกคนไปคุกเข่าบนโซฟาแล้วยกก้นขึ้นมาซะ! ตงตง ไปเอาไม้มาให้ฉัน!”
“ขอฉี่ก่อนแล้วค่อยตีเถอะครับ พี่ใหญ่! ไม่อย่างนั้นฉี่เลอะโซฟาแน่!”
“ใช่แล้วครับ พี่ใหญ่!”
“ฉี่ใส่แจกันแทนได้ไหม? ผมว่าแจกันอันนี้หน้าตาเหมือนไอ้นั่นเลย!”
“ไป ไป ไป!”
ระหว่างเสียงดังและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เหอชูซานนั่งลงบนพื้นพิงตัวกับประตูห้องน้ำ เขาเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าใบเล็กของตัวเองแล้วดึงหนังสือเล่มหนาออกมาเล่มหนึ่ง
เขาขยี้ตา แล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ
……
เหอชูซานตั้งใจอ่านหนังสือเล่มหนาจบไปถึงหนึ่งในสามส่วนของเล่ม จู่ๆ เขาก็รู้สึกตัวแล้วละสายตาออกจากตัวอักษรภาษาอังกฤษที่หนาแน่น ก่อนจะพบว่าข้างนอกค่อนข้างเงียบลงแล้ว สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงดนตรีบรรเลงอย่างเดียว
เหอชูซานแอบมองด้านนอกผ่านรอยแตกของประตู เขาเก็บหนังสือใส่เป้แล้วสะพายหลัง จากนั้นก็เปิดประตูอย่างระมัดระวัง
สมาชิกทุกคนของแก๊งเซียวฉีต่างล้มเกลื่อนกลาดอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่ม พวกเขานอนเกลื่อนทั้งบนพื้น โซฟา ตู้ ทีวี... แม้แต่ราวแขวนเสื้อก็ยังมีคนห้อยอยู่หนึ่งคน ปกเสื้อด้านหลังของคนคนนั้นถูกเกี่ยวไว้กับตะขอ เขาหลับตาพริ้มด้วยความเมา ยืนเขย่งปลายเท้าทำท่าเหมือนซอมบี้ แขนขาขยับไกวไปมาช้าๆ
เหอชูซานก้าวขาข้ามอาหย่งและเสี่ยวหม่าที่นอนกอดกันอยู่ ระวังไม่ให้เผลอเหยียบพวกเขาเข้า แล้วช่วยดึงหัวของอาเปียวออกมาจากเปลือกแตงโมที่ถูกผ่าครึ่ง ทว่าเมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่เห็นชุยตงตง– คงจะหนีกลับไปแล้วั้แ่่ที่เริ่มชุลมุนวุ่นวาย
เขาเดินย่องเบาๆ เข้าไปหาชย่าลิ่วอีที่นั่งอยู่กลางโซฟา ชย่าลิ่วอีนั่งตัวตรง เขาหลับตา สองขายาวเหยียดแยกออกจากกันโดยมีมือทั้งสองข้างวางไว้บนหน้าขา ดูเหมือนจักรพรรดิผู้สง่างามที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ั นิ้วมือซ้ายของเขายังคงคีบบุหรี่ที่เผาไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เหอชูซานโน้มตัวลงไปอย่างระมัดระวังเพื่อดึงบุหรี่ที่ใกล้จะลวกนิ้วของคนตรงหน้าออก แต่จู่ๆ ชย่าลิ่วอีก็พูดขึ้น นั่นทำให้เขาใมาก!
“ฉันปล่อยให้นายออกมาหรือ?”
“พี่ลิ่วอี” เหอชูซานกล่าวทักทาย ขณะเดียวกันก็ยังคงรวบรวมความกล้าดึงบุหรี่ออกจากนิ้วของเขา—— มันกำลังจะไหม้มือแล้วจริงๆ
เหอชูซานยกศีรษะขึ้นมามอง ชย่าลิ่วอียังคงหรี่ตาอยู่ ใบหน้าของเขาสงบนิ่งจนแทบจะแยกไม่ออกว่าสร่างเมาแล้วหรือเมาหนักกว่าตอนที่เจอกันในห้องน้ำกันแน่
“เมากันหมดแล้วหรือ?” ชย่าลิ่วอีถาม
เหอชูซานมองไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตื่น “อืม”
“แม่งเอ๊ย ไอ้พวกขยะ” ชย่าลิ่วอีด่า “ถ้าเกิดมีใครมาหาตอนนี้ ต้องเดือดร้อนกันหมดแน่!”
เหอชูซานกำลังจะพูดว่า ‘ไม่เป็ไร ยังมีพี่อยู่นี่’ ก็เห็นชย่าลิ่วอีพยายามจะยืดตัวลุกขึ้นยืน แต่เขากลับล้มลงไปฟาดกับโต๊ะกาแฟเสียงดัง ‘โครม!’ แทนเสียอย่างนั้น
“…”
เหอชูซานไม่พูดอะไร เขาเดินไปยกหน้าของพี่ลิ่วอีออกมาจากจานผลไม้ที่กระจัดกระจาย แล้วพากลับไปนั่งบนโซฟา จัดท่าทางให้เหมือนผู้นำที่นั่งประชุม จากนั้นก็หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดหน้าให้เขา “พี่ลิ่วอี ระวังหน่อย อย่าขยับเยอะ”
“ฉันไม่เป็ไร!” ชย่าลิ่วอีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “แล้วของขวัญที่นายนำมาล่ะ? เอามาให้ฉันดูหน่อย”
“ไว้ดูพรุ่งนี้นะครับ” เหอชูซานพูด เขาคิดว่าหากชย่าลิ่วอีดูของขวัญในสภาพนี้ เขาต้องควบคุมตัวเองไม่อยู่แน่ๆ
“ไอ้เวร! เอามานี่!” ชย่าลิ่วอีสบถด้วยความโมโหขณะที่ปลายจมูกยังคงมีเศษทิชชูติดอยู่
เหอชูซานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินไปหยิบกล่องกระดาษเล็กๆ ที่ห่ออย่างดีของเขาออกมาจากกองขวดเบียร์ที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
ชย่าลิ่วอีพยายามแกะกล่องสองครั้งแต่ไม่สำเร็จ เขาจึงยกกล่องขึ้นด้วยมือเดียวแล้วแกว่งไปมาเบาๆ เหมือนจะขว้างลงพื้น
เหอชูซานรีบเข้าไปช่วย เขาหยิบมีดตัดเค้กบนโต๊ะมากรีดเปิดกล่องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่งให้ชย่าลิ่วอี
ชย่าลิ่วอีหรี่ตาลงแล้วเปิดกล่องกระดาษที่ถูกห่ออย่างดีออก เขายื่นมือเข้าไปคลำอยู่นาน ในที่สุดก็หยิบออกมาได้เพียงแค่การ์ดอวยพรใบเดียวซึ่งมีรูปเค้กวันเกิดที่วาดได้น่าเกลียดสุดๆ อยู่บนนั้น
อีกทั้งยังมีข้อความที่เขียนด้วยลายมืออย่างตั้งใจว่า ‘สุขสันต์วันเกิดลิ่วอี’
“…”
ชย่าลิ่วอีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเหอชูซานด้วยใบหน้าเรียบเฉยทั้งที่ยังถือการ์ดบางๆ ใบนั้นไว้ในมือ
“ผมอยากซื้อเค้กวันเกิดให้พี่มากเลย แต่ว่าเงินไม่พอ” เหอชูซานก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด “ตอนนี้ให้แบบกระดาษไปก่อนนะ รอผมทำงานปีหน้าแล้วจะซื้อชดเชยให้”
“…”
ชย่าลิ่วอีเอนหลังพิงโซฟาอย่างช้าๆ เขากำการ์ดอวยพรไว้ในมือ หลับตาลง แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมองไปยังแสงไฟหลากสีที่ส่องลงมาจาก้า “เหอ อา ซาน นายคิดว่าฉันไม่กล้าฆ่านายหรือไง?”
เหอชูซานยิ้มเบาๆ “อืม”
“อืมแม่นายสิ!” ชย่าลิ่วอีเตะเขาแม้จะไร้เรี่ยวแรง
เขาถูกเหอชูซานทำให้โกรธจนสร่างเมาไปบ้างแล้ว จึงค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ - คราวนี้เขายืนได้มั่นคง - แล้วขยำการ์ดอวยพรเป็ก้อน ยัดใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะคว้ามือเข้ากับสายกระเป๋าหนังสือของเหอชูซาน “ไป ฉันจะไปส่งนายกลับบ้าน... เห็นหน้านายแล้วรำคาญ!”
“ไม่ต้องครับ ผมกลับเองได้…” เหอชูซานรีบพูด
“ตีสามแล้ว นายจะกลับเองยังไง? คลานกลับเหรอ?!”
เหอชูซานพูดไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองถูกลากไป เขาคิดว่าอย่างมากชย่าลิ่วอีก็คงจะเรียกแท็กซี่ตอนดึกให้ไปส่งเขากลับบ้าน แต่เขากลับถูกลากไปจนถึงลานจอดรถ เขาได้แต่มองชย่าลิ่วอีเปิดประตูรถเบนซ์ทั้งที่ยังยืนไม่ค่อยตรงนัก แล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับตาปริบๆ
—— คลานกลับบ้านเสียยังดีกว่า!
“พี่ลิ่วอี ผมเรียกแท็กซี่ไปส่งพี่ก่อนดีกว่า!” เหอชูซานรีบห้าม
“เรียกบ้าอะไร! ออกไปดูสิว่ามีรถให้เรียกไหม?! ขึ้นมาได้แล้ว!”
“ไม่ได้จริงๆ พี่ลิ่วอี พี่เมาแล้ว ขับรถไม่ได้นะ! ออกมาเร็ว…”
ชย่าลิ่วอีเปิดลิ้นชักรถด้วยท่าทางเฉยเมย เขาหยิบปืนออกมา
เหอชูซานกะพริบตาขณะมองไปยังปากกระบอกปืนสีดำ “พี่คงไม่ยิงผมหรอก…”
‘ปัง——!’
“...ปืนน่ะ” เหอชูซานพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ที่ผนังด้านหลังเขามีรอยะุเจาะเป็รูอยู่
เหอชูซานรู้สึกเหมือนมีม้าพันตัววิ่งอยู่ในหัวใจ เขาอุ้มกระเป๋า กัดฟัน แล้วนั่งตัวแข็งทื่อลงบนเบาะข้างคนขับ ในวินาทีที่ชย่าลิ่วอีเหยียบคันเร่ง เขาคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้เจอพ่ออีกแล้ว…
“พี่ลิ่วอี ข้างหน้าไฟแดง!”
“หุบปาก! ฉันรู้!”
“พี่ลิ่วอี ตรงนี้เลี้ยวขวาได้เท่านั้น!”
“หุบปาก! ฉันรู้!”
“พี่ลิ่วอี ระวังเสาไฟฟ้า!”
“หุบปาก! ฉันรู้!”
“ข้างหน้ามีคน! พี่ลิ่วอี!”
“หุบปาก! ฉันรู้!”
“เราผ่านถนนเส้นนี้มาสามรอบแล้ว... พี่ลิ่วอี…”
“หุบปาก... ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะไปทางไหน…”