มีคนแตะแก้มของนางเบาๆ ก่อนที่นางจะลืมตาตื่นขึ้นมาจากเสียงหวูดของรถไฟ เห็นชายหนุ่มคิ้วเรียวยาวอยู่ตรงหน้านาง ชั่วขณะนั้นนางไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน?
อยู่ที่ปักกิ่งในยุคปัจจุบันหรือเมืองเทียนเฉิงในชาติที่แล้ว?
กู้หนานเฟิงเอ่ยถามเบาๆ
“ฝันร้ายหรือ ร้องไห้เช่นนี้”
หลิวเยว่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังน้ำตาไหล เดิมทีคิดว่าตนไม่ได้ผูกพันอะไรกับชีวิตในชาติก่อน แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือจิตใต้สำนึกของนางปรารถนาย้อนกลับไปยังโลกปัจจุบันซึ่งเป็โลกที่อิสระ นางคิดถึงผู้คนและทุกอย่างในเวลานั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
กู้หนานเฟิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาและเหงื่อบนหน้าผากให้นาง กระทั่งตบหลังปลอบประโลมนางเบาๆ นางขยับตัวให้ห่างจากเขา
รถม้ากำลังแล่นไปอย่างรวดเร็วและพวกเขาก็ออกเดินทางมานานกว่าสิบชั่วโมง เวลานี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว กู้หนานเฟิงจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ข้างหน้ามีเมืองเล็กๆ อยู่ เราจะไปค้างแรมที่นั่นในคืนนี้”
เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของหลิวเยว่ กู้หนานเฟิงจึงเอ่ยเร่งรถม้าที่เขานั่งให้วิ่งเร็วขึ้น ทิ้งระยะห่างจากขบวนขนข้าวและขบวนอารักขาไว้ข้างหลัง
กู้หนานเฟิงมีนิสัยที่ทำอะไรตามใจตัวเอง เขาเคยเดินทางผ่านเส้นทางการค้านี้มาหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกถึงอันตราย แต่หลิวเยว่ค่อนข้างกังวล
“อย่าอยู่ห่างจากกองอารักขามากเกินไป หากมีโจรดักปล้น มีคนดูแลมากๆ ย่อมดีกว่า”
“ขบวนขนส่งเมล็ดข้าว พวกเขาจะไม่เข้าไปในเมืองในตอนกลางคืน พวกเขาจะเฝ้าเมล็ดข้าวและตั้งค่ายอยู่ด้านนอก”
หลิวเยว่เหนื่อยและหิวมาก นางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ตามเขาเข้าเมืองไปหาโรงเตี๊ยมพักผ่อน
แม้ว่าจะเป็เมืองเล็กๆ แต่ก็เป็เส้นทางการจราจรหลักระหว่างทางเหนือและทางใต้ ดังนั้นโรงเตี๊ยมในเมืองโบราณจึงแออัดและมีผู้คนหลายประเภท ในเวลานี้เป็่เวลาของอาหารค่ำ ดังนั้นในห้องโถงชั้นหนึ่งโต๊ะกินข้าวทุกโต๊ะก็เกือบเต็ม มีพ่อค้า มีนักยุทธ์ที่ท่องยุทธภพ มีบัณฑิตที่มาสอบ และมีขุนนางในท้องที่ปะปนกันไป หลิวเยว่และกู้หนานเฟิงเลือกโต๊ะมุมที่เงียบสงบ ตำแหน่งนี้มีมุมมองที่ยอดเยี่ยม สามารถมองเห็นห้องโถงของชั้นหนึ่งได้เต็มตา
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ออกมาจากถิ่นของตนเองและออกมาจากขบวนขนสินค้า ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงต้องคอยระมัดระวังมองดูทุกอย่างรอบตัว ในห้องโถงที่ดูเงียบสงบเช่นนี้ และดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะไม่มีความสัมพันธ์อะไร ทว่าล้วนมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
หลิวเยว่กล่าวด้วยเสียงเบาที่กู้หนานเฟิงสามารถได้ยินเพียงคนเดียว
“อาหารบนโต๊ะแรก โต๊ะที่สาม และโต๊ะที่ห้าแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ทั้งหมดล้วนเป็อาหารชานตง คนพวกนั้นมีร่างกายสูงและสำเนียงก็คล้ายกัน เห็นได้ชัดว่ามาด้วยกัน แต่พวกเขานั่งแยกและแสร้งทำเป็ไม่รู้จักกัน”
“โต๊ะที่สอง โต๊ะที่สี่ โต๊ะที่หก แขกแต่ละคนมีรูปแบบที่แตกต่างกันมาก แต่บริเวณเอวของพวกเขากลับมีส่วนที่ปูดออกมา เห็นได้ชัดว่าซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ คนพวกนี้ย่อมเป็พวกเดียวกัน”
กู้หนานเฟิงพยักหน้า และแปลกใจว่าเหตุใดนางถึงสังเกตได้อย่างละเอียดภายในระยะเวลาสั้นๆ
“กลัวหรือไม่?” เขาถาม
“กลัว!” นางตอบความจริง ไม่ใช่เพราะกลัวความตาย แต่นางไม่อยากปะทะกับการนองเื ภาวนาให้พวกคนเหล่านี้ไม่มาหาพวกเขาก็พอ
“ถ้าเ้ากลัว คืนนี้ก็มานอนที่ห้องข้า ข้าไม่รังเกียจ และไม่จำเป็ต้องให้เ้ามารับผิดชอบ” กู้หนานเฟิงยังมีกระจิตกระใจมาเล่นตลก
“ใจเย็นๆ ถ้าคนพวกนี้มีเป้าหมายเป็พวกเรา เ้าย่อมหนีไม่พ้น หากไม่ใช่พวกเรา เช่นนั้นก็ถือเสียว่าเปลืองแรงกังวลใจ”
สิ่งนี้ทำให้หลิวเยว่ชื่นชมความสงบและเชื่อมั่นในตัวเองของกู้หนานเฟิง
“แล้วถ้าพวกนั้นโจมตีพวกเรา เ้ามีวิธีอื่นเช่นนั้นหรือ?”
กู้หนานเฟิงผายมือทั้งสองข้างออก
“ไม่มี แต่ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้”
“ใจใหญ่เสียจริงนะ””
ในเมื่อมาแล้วก็จงอยู่อย่างมีความสุข หลังจากทั้งสองกินอิ่มแล้ว ท้องฟ้าก็มืดลง แขกที่กินข้าวอยู่ในห้องโถงค่อยๆ แยกย้ายกันไป ทั้งสองไปยังห้องพักชั้นบนเพื่อพักผ่อน หลิวเยว่พยายามบอกลากู้หนานเฟิง แต่เขากลับดึงนางเข้าไปในห้องพักของเขา
ในห้องยังไม่สว่าง มีเพียงแสงสลัวๆ ของพระจันทร์
หลิวเยว่ถูกกู้หนานเฟิงกักไว้ระหว่างประตูจนไม่สามารถขยับได้ กู้หนานเฟิงกักขังนางไว้ได้อย่างสมบูรณ์ บนร่างกายมีกลิ่นแห้งที่ให้ความรู้สึกสบาย แรงของเขานั้นมีเยอะมาก จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“คืนนี้ก็นอนที่นี่แหละ กันไว้ดีกว่าแก้”
“ก็ได้ ตอนนี้ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่?” หลิวเยว่ตอบตกลงอย่างง่ายดาย ตามสถานการณ์ตอนนี้พักอยู่ห้องเดียวกันย่อมดีกว่า จะได้ดูแลกันและกันได้
“เ้าไม่กลัวว่าข้าจะวางแผนชั่วกับเ้าหรือ?”
“แล้วที่ผ่านมาเ้าไม่ได้วางแผนชั่วกับข้ามาตลอดหรือ?” นางถามกลับ
“หลิวเยว่ อย่าใจกล้าไปนักเลย” กู้หนานเฟิงหยอกล้อนางแล้วเอ่ยเสียงต่ำ ลมหายใจพัดผ่านข้างหูของนาง มีกระแสอบอุ่นเล็กน้อย
เดิมทีกู้หนานเฟิง้าจะหยอกล้อหลิวเยว่ ทำการกระทำที่ดูคลุมเครือเพื่อดูปฏิกิริยาของหลิวเยว่ แต่สตรีคนนี้เหมือนกับนางในวันที่อยู่ข้างริมสระบัววันนั้น ไร้ซึ่งความตื่นเต้นใดๆ ความนิ่งสงบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไร้เดียงสามาก
ตอนนี้ภายใต้แสงจันทร์ ในห้องที่เงียบสงบเช่นนี้ ระยะห่างที่ใกล้กันเช่นนี้ ทำให้อารมณ์ประหลาดในใจของเขาพลุ่งพล่าน ร่างกายของเขาเปลี่ยนไป มันคือความปรารถนาที่เขาคุ้นเคยมาก ยิ่งได้กลิ่นหอมจางๆ บนร่างกายของหลิวเยว่ที่ลอยกระทบปลายจมูกของเขา ความปรารถนานั้นก็ยิ่งรุนแรง มันจู่โจมเขาจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เขาจับมือของหลิวเยว่ไว้แน่นโดยที่ไม่รู้ตัว ก้มศีรษะลงและคิดจะจุมพิตนาง
หลิวเยว่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ปล่อยข้า”
เสียงของนางนั้นเ็ามาก ไร้ความอบอุ่นใดๆ ราวกับมันกระแทกไปที่ศีรษะของกู้หนานเฟิงให้ได้สติ และรีบปล่อยตัวหลิวเยว่ทันที
“ข้าขอโทษ ข้าลืมตัวไป”
“ข้าจะกลับไปนอนที่ห้อง” ขณะที่นางหันกลับไป กู้หนานเฟิงก็คว้าแขนของนางเอาไว้
“อยู่ที่นี่ ข้าสัญญาว่าจะไม่แตะต้องเ้า”
ในเวลานี้เขามองไปที่หลิวเยว่ด้วยสายตามุ่งมั่นและยืนกราน สุดท้ายหลิวเยว่จึงเลือกที่จะเชื่อใจเขา
เขาหัวเราะขมขื่นเยาะเย้ยตนเอง
“หลิวเยว่ เ้ารู้หรือไม่ว่ามีสตรีกี่คนในเมืองเทียนเฉิงที่ปรารถนาขึ้นเตียงกับข้า? เมื่อก่อน มีแม่นางที่ถูกข้าทำให้าเ็ นางด่าข้าว่าไม่ช้าก็เร็ว์ต้องลงโทษข้า แต่ข้าคิดไม่ถึงว่า์จะลงโทษข้ารวดเร็วถึงเพียงนี้”
หลิวเยว่คิดในใจ ไม่ว่ากู้หนานเฟิงจะทำแบบนี้กับนางด้วยความจริงใจหรือด้วยความนึกสนุกอยากเล่นกับดอกไม้ แต่นางก็รู้สึกสงสารเขา นางกลับมายังชาตินี้ มีหลายเื่ที่เหนือความคาดหมายของนาง ราวกับว่าชะตาชีวิตจะดึงนางไปในทิศทางที่ไม่รู้จัก
แต่คืนนี้ กู้หนานเฟิงไว้ใจได้อย่างแน่นอน เพราะเขาอยู่ห่างจากหลิวเยว่สามก้าวตลอดเวลา