“ท่านอ๋อง ท่านกลับเข้าเมืองไปก่อนเถิด เปิ่นกงยังอยากจะเดินเล่นแถวๆ นี้” มู่หรงฉือกล่าวขึ้น
“องค์รัชทายาท ดูแล้วเ้าคงจะเดินไม่ถนัด เปิ่นหวางอาสาไปส่งเ้ากลับดีกว่า” มู่หรงอวี้กล่าว ั์ตาดำสนิทราวบ่อลึกที่ไร้ก้น ทำให้คนไม่อาจคาดเดาได้ชัดเจน
“ไม่ต้องจริงๆ” นางยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น
บุรุษร่างใหญ่สวมชุดสีดำคนหนึ่งจูงม้าเข้ามา มู่หรงอวี้พูด “เ้าจะขี่ม้ากลับเข้าเมืองหรือ”
นางลังเลอยู่เล็กน้อย ขี่ม้าก็ดูท่าจะไม่เลว ทันใดนั้น นางก็พบว่าร่างของตนลอยขึ้น เป็เขาที่อุ้มนางก่อนจะส่งนางไปอยู่บนหลังม้า
ใบหูของนางพลันร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
นางทั้งอับอาย ทั้งโมโห ได้แต่จับบังเหียนม้าพลางพูดด้วยสีหน้าหน้าบึ้งตึง “เปิ่นกงไม่ชอบให้คนอื่นมาคิดแทน”
อานม้าขยับเล็กน้อย ก่อนที่ด้านหลังจะมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
มู่หรงฉือหันกลับไปมอง พอเห็นว่าเป็เขาก็มีโทสะ “ท่านให้เปิ่นกงขี่ม้ากลับไปไม่ใช่หรือ? ลงไปนะ!”
“เปิ่นหวางมีม้าแค่ตัวเดียว องค์รัชทายาทคงไม่คิดจะให้เปิ่นหวางเดินกลับเข้าเมืองใช่หรือไม่”
มู่หรงอวี้จับมือทั้งสองข้างของนาง คนโดนััพลันรู้สึกราวถูกน้ำร้อนลวก นางรีบปล่อยมือออกจากบังเหียนทันที
ยิ่งได้ยินคำพูดของเขา ความโกรธของนางก็พุ่งขึ้นไปถึงหัว ถูกเขาแกล้งอีกแล้ว!
“เปิ่นกงไม่ชอบขี่ม้ากับผู้ใด!” น้ำเสียงของนางดุดัน
“เปิ่นหวางเองก็ไม่ชอบ แต่องค์รัชทายาทก็ปล่อยผ่านไปสักครั้งเถิด พระองค์กับเปิ่นหวางที่เป็เสด็จอาจะได้สานสัมพันธ์อาหลานกันสักหน่อย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ มีความหยอกเย้าอยู่สามส่วน
มู่หรงฉือโกรธจนกัดฟันแทบแตก ร่างกายแข็งทื่อ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่เป็ตัวของตนเอง
แต่ก่อนนางไม่เคยคิดว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนจะไร้ยางอาย ไร้เหตุผล ร้ายกาจ คอยหยอกเย้าสตรีอยู่ตลอดเวลาได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้นางได้แต่คิดว่าตนเองในอดีตคงจะมองพลาดไป
มู่หรงอวี้เตะท้องม้าเพื่อกระตุ้นให้ม้าเดินไปด้านหน้า
ม้าเดินไปทีละก้าวอย่างช้าๆ เขาควบคุมได้ในระดับที่พอดี
ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกว่าแผ่นหลังแนบชิดเข้ากับแผ่นอกร้อน ท่าทางของเขาตอนนี้แทบจะเรียกว่าโอบนางเข้าไปในอ้อมกอด
นี่มันเป็การเอาเปรียบสตรีมิใช่หรือ!
“ท่านขยับไปด้านหลังอีกหน่อย” นางสะกดกลั้นโทสะเอาไว้
“องค์รัชทายาท เ้ากับข้าล้วนเป็บุรุษ จะคิดมากอันใด?” มู่หรงอวี้พูดเสียงแหบพร่าเบาๆ ที่ข้างหูของนาง
จู่ๆ มู่หรงฉือ ก็ตัวสั่นสะท้าน
เสียงแหบที่แสนคลุมเครือ ลมหายใจร้อนลวกที่รินรดอยู่ที่หูของนาง ร่างทั้งร่างของนางพลันแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิด
เขาจงใจชัดๆ!
“เปิ่นกงไม่ชอบใกล้ชิดกับคนอื่นถึงเพียงนี้! ”
“ความจริงแล้วเปิ่นหวางเองก็ไม่ชอบ แต่ก็แค่ครั้งนี้ องค์รัชทายาทก็อดทนอีกสักหน่อยเถิด”
“…” มู่หรงฉืออยากจะเอาแขนกระแทกไปด้านหลังแรงๆ
“เหตุใดเปิ่นหวางถึงรู้สึกว่าเวลาองค์รัชทายาทหน้าแดงแล้วช่างเหมือนกับสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานพวกนั้น” มู่หรงอวี้พูดเย้ากลั้วหัวเราะ เขาพบว่าติ่งหูขององค์รัชทายาทไม่มีรูเล็กๆ เหมือนที่สตรีมักมีกัน “ทำไมคอขององค์รัชทายาทจึงแดงเพียงนี้เล่า?”
“เปิ่นกงร้อน… ท่านขยับไปทางด้านหลังอีกหน่อย” นางโกรธจนแทบจะะเิออกมาแล้ว
หากใครบอกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่การหยอกเย้า นางจะโกรธคนผู้นั้นเป็อย่างยิ่ง
คิดถึงความบ้าคลั่งของเขาที่ไม่ยอมปล่อยนางในคืนนั้นแล้ว พวกแก้มของนางพลันแดงเรื่อราวมีลูกไฟแผดเผา
เขาไม่พูดวาจา ‘ท้าทาย’ อะไรออกมาอีก แล้วตั้งใจบังคับม้าต่อไป
เขาโอบองค์รัชทายาทเอาไว้ในอ้อมแขน เห็นท่าทางโมโหโทโสแต่ทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ ช่างดูน่าสนใจยิ่งนัก
เขากลับยิ่งอยากจะแกล้งองค์รัชทายาทมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองช่างเกินขอบเขตที่บุรุษทั่วไปจะทำ ทว่านี่ก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่บุรุษ เช่นนั้น องค์รัชทายาทเป็บุรุษหรือสตรีกันเล่า?
ไม่ว่าจะเป็บุรุษหรือสตรี ความรู้สึกของเขาตอนที่ได้หยอกล้อองค์รัชทายาทก็ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว
น่าสนใจกว่าการอ่านตำราเล่มหนึ่งเสียอีก เพราะเขาไม่อาจเปิดดูตอนจบก่อนได้ ทำได้เพียงค่อยๆ อ่าน มี่เวลาที่ได้ชื่นชม รอกระทั่งอ่านถึงตอนจบ จึงได้รู้ว่ามีเื่ราวที่ทำให้ประหลาดใจ
กว่าจะเดินทางกลับมาถึงในเมือง มู่หรงฉือก็รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย “เปิ่นกงอยากจะดูร้านนั้น ท่านปล่อยเปิ่นกงลง”
มู่หรงอวี้ปล่อยบังเหียนออก ก่อนจะพยุงนางลงจากหลังม้า
ครั้นเห็นเขาขี่ม้าจากไปนางจึงค่อยถอนหายใจออกมา ใบหน้าที่หมดอาลัยตายอยากถึงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ใช่แล้ว เขา้าแย่งตัวผู้มีฝีมือของนางไปถึงสามคน!
นางไม่มีทางให้เขาทำสำเร็จ!
…
เป็ไปตามที่คิด เมื่อโคมไฟหรูหราถูกจุดขึ้น จวนอวี้หวางก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับสามยอดฝีมือ
ระหว่างที่เ้าภาพและแขกคนสำคัญกำลังชมการร่ายรำ ด้านนอกจวนก็มีเสียงรายงาน “องค์รัชทายาทเสด็จ!”
ยอดฝีมือสามคนรีบลุกขึ้นมาต้อนรับ มู่หรงอวี้นั่งสบายๆ พลางดื่มสุราด้วยท่วงท่าอันสง่างาม
มู่หรงฉือก้าวเข้ามาในโถงรับรอง สวมเสื้อคลุมสีเหลืองปักลายั บนหัวสวมกวานทอง เรือนร่างเพรียวระหง ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความสง่างาม
ทั้งสามคนตะลึงตาค้างไป ที่แท้บุรุษหนุ่มที่คฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้าผู้นั้นก็คือองค์รัชทายาทนั่นเอง
นางทำราวกับเข้ามาในห้องบรรทมของตนเอง ผายมืออย่างผ่าเผย “ไม่ต้องมากพิธี”
จากนั้นนางก็นั่งลงตรงโต๊ะที่ว่าง “เปิ่นกงมาโดยที่ไม่ได้รับเชิญ ท่านอ๋องคงจะไม่รังเกียจใช่หรือไม่”
คิ้วกระบี่ของมู่หรงอวี้เลิกขึ้น “ขอบพระทัยที่องค์รัชทายาทมาเยี่ยมเยียน ได้เลี้ยงรับรององค์รัชทายาท เปิ่นหวางกลับรู้สึกเป็เกียรติ”
อีกสามคนนั่งลงอย่างกระอักกระอ่วน
เพียงครู่เดียวบ่าวรับใช้ก็นำสุราเลิศรสมา
“คุณชายไป๋ คุณชายหยาง แม่นางซู พวกเ้าจะเข้าไปเป็แขกในจวนอวี้หวางของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนจริงๆ หรือ?” มู่หรงฉือถามด้วยท่าทีจริงจังแต่ก็ไม่ได้ตึงเครียด
“เื่นี้... กระหม่อมมีทักษะความสามารถไม่มาก เพียงทำไปเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” คุณชายไป๋พูดแจกแจงอย่างระมัดระวัง
“หากต่อไปท่านอ๋อง้าให้เ้าไปขโมยของที่ตำหนักบูรพา เ้าก็มีความกล้าแล้วงั้นหรือ?”
“องค์รัชทายาท ถึงกระหม่อมจะมีความกล้ามากเพียงใด ก็มิบังอาจบุกเข้าตำหนักบูรพาพ่ะย่ะค่ะ” คุณชายไป๋ใ
“คุณชายไป๋อย่าได้ใส่ใจไป องค์รัชทายาทชอบพูดเล่น พูดสมมุติไปเรื่อยเปื่อย” มู่หรงอวี้กล่าวเสียงเนิบ
“เปิ่นกงมีความสนใจในวิชาของจอมโจร จอมคาถา แล้วก็เทคนิคการเลียนแบบเสียง ผู้มีความสามารถทั้งสาม พวกเ้าจะรับเปิ่นกงเป็ศิษย์ ช่วยอบรมสั่งสอนเปิ่นกงจะได้หรือไม่?” มู่หรงฉือพูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“เื่นี้...” คุณชายหยาง คุณชายไป๋ และแม่นางซูได้แต่มองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็มองไปยังมู่หรงอวี้
“หรือว่าพวกเ้าไม่อยากสอนเปิ่นกง?” นางเลิกคิ้วถาม นางสามารถกระทำตนให้สมกับประโยคที่ว่า ‘นิ่งสงบแล้วให้อำนาจแสดงตัวของมันออกมาเอง’ ได้เป็อย่างดี
“ความสามารถตามท้องถนนเช่นนี้ พระองค์ที่เป็ถึงองค์รัชทายาทจะเรียนไปทำไมกัน? ให้คนในราชสำนักหัวเราะเอาหรือ?”
มู่หรงอวี้พูดด้วยความไม่พอใจ ในใจรู้ว่าองค์รัชทายาทมาเพื่อแย่งผู้มีความสามารถทั้งสามไป เขาก็จะขอดูเสียหน่อยว่าองค์รัชทายาทจะมาไม้ไหน
มู่หรงฉือพูดออกมาอย่างชัดเจน “เปิ่นกงวันๆ เอาแต่หมกตัวร่ำเรียนการบริหารแคว้นอยู่ที่ตำหนักบูรพา ว่างๆ จะมาร่ำเรียนความรู้ตามท้องถนนก็ไม่ใช่เื่เสื่อมเสียอันใด”
เ้าคิดจะมาแย่งคนของข้าไปต่อหน้าต่อตา ข้าก็จะแย่งกลับอย่างเปิดเผยเช่นกัน
คิ้วกระบี่ของเขาเลิกขึ้น “เปิ่นหวางกังวลว่าองค์รัชทายาทจะเล่นสนุกเสียจนลืมการบ้านการเมือง”
นางเลิกคิ้วหัวเราะเสียงเย็น “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลใจไป เปิ่นกงรู้ประมาณตนดี” นางยืนขึ้นแล้วคำนับทั้งสามคนเพื่อฝากตัวเป็ศิษย์ “ท่านอาจารย์ทั้งสาม ได้โปรดรับเปิ่นกงเป็ศิษย์ด้วย”
คุณชายไป๋ คุณชายหยาง และแม่นางซูลุกขึ้นทันที “องค์รัชทายาทเกรงใจเกินไปแล้ว กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ต่อไปเปิ่นกงจะพาพวกเ้ากลับตำหนักบูรพา” มู่หรงฉือมองไปยังท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนด้วยสายตาท้าทาย “ท่านอ๋องใจกว้างดั่งทะเล คงไม่โกรธเคืองเปิ่นกงใช่หรือไม่”
“ในเมื่อองค์รัชทายาทชื่นชอบพวกเขาสามคน เปิ่นหวางย่อมต้องมอบให้” มู่หรงอวี้ยกยิ้มอย่างมีความนัยลึกซึ้ง “หนึ่งในใต้หล้ามีผู้มีความสามารถมากมายถึงเพียงนั้น รอเปิ่นหวางรับ่ต่อมาก่อน ถึงเวลานั้นองค์รัชทายาทสนใจจะไปดูผู้มีความสามารถเ่าั้ด้วยกันกับเปิ่นหวางหรือไม่?”
“สนใจแน่นอนอยู่แล้ว” เหตุใดมู่หรงฉือถึงได้รู้สึกว่าถูกคนต่อยเข้าที่หน้าอย่างแรง วินาทีก่อนหน้านี้ยังได้เปรียบอยู่ วินาทีต่อมาก็กลายเป็ผู้แพ้ราบคาบไปเสียแล้วเล่า
“องค์รัชทายาทอายุสิบแปดปี บนบ่าแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งเพราะต้องสืบทอดราชบัลลังก์ ทว่าตำหนักบูรพากลับมีสนมอยู่เพียงสองคน สองปีมานี้ก็ไม่มีผู้ใดให้กำเนิดทายาท” เขายืนขึ้น โบกมือให้ทั้งสามคนออกไป จากนั้นก็พูดต่อว่า “เปิ่นหวางได้สั่งการลงไปแล้ว อีกไม่กี่วันตำหนักบูรพาจะจัดงานเลี้ยง เชิญธิดาของตระกูลที่มีชื่อเสียงเข้าวัง องค์รัชทายาทสามารถเลือกสตรีที่ต้องใจมาเป็พระชายากับสนมได้”
“การแต่งงานของเปิ่นกงไม่ต้องให้ท่านอ๋องมากังวลใจ เสด็จพ่อยังรักษาตัวไม่หายดี เปิ่นกงที่เป็องค์รัชทายาทก็ควรจะคอยดูแลอยู่ข้างวรกาย การเลือกพระชายาในตอนนี้จะเป็การไม่แสดงถึงความกตัญญู” นางเอ่ยปฏิเสธ ั์ตาเ็า “อีกอย่าง เปิ่นกงยังไม่ได้รับตำแหน่ง การแต่งงานจึงเป็เื่ที่ยังเร็วเกินไป”
มู่หรงอวี้สมควรตาย เสด็จพ่อยังรักษาไม่หายดี เขายังจะคิดเื่แบบนี้ออกมาได้อีก
ที่เขาอยากจะให้นางเลือกพระชายาหรือสนม เป็เพราะว่า้าจะแทรกซึมคนเข้ามาในตำหนักบูรพา เมื่อเป็เช่นนี้การเคลื่อนไหวในตำหนักก็จะหนีไม่พ้นสายตาของเขา
ยื่นแขนออกมาเสียยืดยาวขนาดนี้ ระวังจะถูกฟันทิ้งในคราเดียว!
มู่หรงอวี้กล่าว “องค์รัชทายาทอายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องรับผิดชอบแคว้นต้าเยี่ยน สืบทอดทายาทออกมา อีกอย่าง ฮ่องเต้พักรักษาตัวอยู่ การแต่งงานขององค์รัชทายาทย่อมทำให้ฮ่องเต้เบิกบานพระทัย เช่นนี้นับว่าเป็เื่ดีทั้งขึ้นทั้งล่องมิใช่หรือ?”
“พูดถึงเื่อายุ ท่านอ๋องก็อายุสามสิบปีแล้ว จนถึงตอนนี้ในจวนยังไม่มีแม้แต่อนุคอยดูแลสักคน คนที่ควรจะเลือกชายามากที่สุดมิใช่ท่านอ๋องหรอกหรือ”
“ความจริง เปิ่นหวางคิดเื่แต่งงานของตนเองเอาไว้แล้ว แต่ว่าองค์รัชทายาทเป็ผู้ที่จะสืบทอดแคว้น แน่นอนว่าจะต้องให้ความสำคัญกับองค์รัชทายาทก่อน”
“ท่านอ๋องไม่ต้องพูดแล้ว เปิ่นกงไม่มีทางเลือกชายาระหว่างที่เสด็จพ่อร่างกายยังไม่แข็งแรงเด็ดขาด”
เห็นท่าทางตัดสินใจอันแน่วแน่ มู่หรงอวี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก เพียงเผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์อย่างสุนัขจิ้งจอกออกมา
เมื่อออกมาจากจวนอวี้หวาง มู่หรงฉือก็เดินขึ้นรถม้าด้วยความฉุนเฉียว
ฉินรั่วเห็นองค์รัชทายาทโมโหขนาดนี้ก็พอเดาได้ว่าคงจะถูกท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนยั่วโมโหมาเป็แน่ นางจึงถามออกมาอย่างระมัดระวัง “องค์รัชทายาท ผู้มีความสามารถสามท่านนั้นจะถูกท่านอ๋องแย่งไปจริงๆ หรือเพคะ?”
มู่หรงฉือส่ายหน้า “พรุ่งนี้เ้าสั่งคนให้ไปจัดที่พักให้กับทั้งสามคนที่คฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้า”
“หนูฉายทราบแล้วเพคะ”
ฉินรั่วครุ่นคิดเงียบๆ ที่องค์รัชทายาทโมโหไม่ใช่เพราะเื่นี้หรือ?
“เปิ่นกงกังวลว่ามู่หรงอวี้จะแทรกซึมคนเข้ามาในตำหนักบูรพา กลับไปแล้วเ้าจัดการตำหนักบูรพาให้เรียบร้อย หากมีอะไรน่าสงสัยก็กำจัดออกไปให้หมด!”
มู่หรงอวี้พิงหมอนสูงแล้วนวดคลึงหว่างคิ้ว
ฉินรั่วรับคำ “เพคะ”
มู่หรงฉือรู้สึกปวดหัว มู่หรงอวี้คงอยากจะจัดการเปิ่นกง แต่อย่าได้หวังเลย!
ผ่านไปสองวัน
่เวลาอาทิตย์อัสดง มู่หรงอวี้เพิ่งจะกลับถึงจวน บ่าวรรับใช้เข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง คุณชายหรงจากคฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้าบอกว่า เ้าสำนักยังไม่กลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้เดินเข้าไปในห้องตำราด้วยใบหน้านิ่งเฉย ตกดึก คนชุดดำคนหนึ่งเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง เกี่ยวกับเ้าสำนักของคฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้า กระหม่อมสืบเื่มาได้เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา”
“เ้าสำนักชื่อว่าเซียงอู๋เฉิน คนมักเรียกกันว่า ‘คุณชายเซียง’ คนผู้นี้ยังไม่ถึงวัยสวมกวาน สวมชุดสีขาวปลอด ปกติแล้วไม่ค่อยอยู่ในคฤหาสน์ จากที่ได้ยินมาคุณชายผู้นี้เป็คนลึกลับ ไม่ค่อยมีใครได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ผู้มีฝีมือเ่าั้ก็ยิ่งไม่เคยเห็นเขามาก่อน คนมากมายรู้จักเพียงคุณชายหรงที่เป็ผู้จัดการพ่ะย่ะค่ะ”
“ประวัติความเป็มาของเซียงอู๋เฉินก็สืบไม่พบหรือ?” มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วแน่น
“สืบไม่พบเื่ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ” คนชุดดำตอบกลับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้