ครู่ต่อมา เสิ่นม่านออกจากร้านเสื้อผ้าพร้อมกับข้าวของห่อใหญ่ สมองของนางมีแต่ภาพตอนที่หนิงโม่ใส่ชุดนี้
เ้าหมอนั่นใส่แต่ชุดสีดำ เท่ากับเสียของ!
หากนางเป็ไม้แขวนที่ดูดีเช่นนั้น รับรองว่าคงคัดสรรเสื้อผ้างดงามที่สุดในใต้หล้ามาสวมใส่วันละสีไม่ให้ซ้ำอย่างแน่นอน! นางจะเป็สตรีผู้เลอโฉมที่หยิ่งผยอง!
นางราวกับสามารถมองเห็นภาพตอนที่ตนเองรูปร่างผอมบาง
เมื่อเดินไปถึงท่าเทียบเกวียน เสิ่นม่านก็เก็บข้าวของขึ้นเกวียน ขณะที่กำลังจะจากไป ทันใดนั้นก็ชำเลืองเห็นเงาใครบางคนด้านหลังต้นไม้
เงาด้านหลังนั้น... ดูลับๆ ล่อๆ ไม่เหมือนคนดี! อีกทั้ง… มองอย่างไรก็รู้สึกคุ้นตา?
เสิ่นม่านะโลงจากเกวียนและเดินหน้าไปหลายก้าว นางค่อยๆ ย่องตามหลังคนผู้นั้นไป เมื่อเข้าใกล้ระยะมากขึ้น ในที่สุดนางก็เห็นใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้น!
โอ้ พระเ้า! คนคุ้นเคยกันจริงเสียด้วย! นั่นมันหวังเอ้อร์โก่วไม่ใช่หรือ?
เขาหนีตามไปกับโจวชุ่ยหลานแล้วนี่ เหตุใดจึงปรากฏตัวที่ตำบลได้?
เสิ่นม่านวิ่งพุ่งเข้าไปหาเ้าหมอนั่นทันทีโดยไม่ต้องคิด จากนั้นะโถีบยอดหน้าจนเขาล้มกองกับพื้น
หวังเอ้อร์โก่วกอดห่อผ้าเอาไว้ จากนั้นแหกปากร้องเสียงหลง ศีรษะโขกกับต้นไม้จนวิงเวียนเกือบหมดสติ
เสิ่นม่านคว้าหิมะปนดินโคลนบนพื้นปาใส่หน้าเขาซ้ำอีกที ทันใดนั้นหวังเอ้อร์โก่วก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นจนตัวสั่น หลังเพ่งมองสักพักเขาก็เห็นใบหน้าอวบอิ่มและขาวเนียน
เขาใเสียจนแทบะโตัวลอย “เสิ่น เสิ่นม่านเหนียง?!”
เสิ่นม่านตบเขาหนึ่งทีจนเขาหน้าสั่นหูอื้อ จากนั้นนางก็กระชากคอเสื้อเขาพร้ะคอกถามเสียงดัง
“อย่าคิดเล่นตุกติกกับข้า ข้าถามอะไรเ้าจงตอบมา หากไม่เชื่อฟังข้าจะจับเ้ากดหิมะตายอยู่ที่นี่ เชื่อหรือไม่?”
หวังเอ้อร์โก่วพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง “เ้า เ้าว่ามา ข้าจะตอบอย่างตรงไปตรงมา”
เสิ่นม่านเห็นว่าเขาไม่มีแรงต่อต้าน จึงค่อยถาม “เ้าหนีไปกับโจวชุ่ยหลานไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงยังอยู่ที่ตำบล แล้วโจวชุ่ยหลานเล่า?!”
หวังเอ้อร์โก่วถูกเสียงของนางตะคอกจนหูสั่น เขากลืนน้ำลายและตอบอย่างหวาดกลัว “เราสองคนไปพักอาศัยยังต่างอำเภอที่ห่างออกไปหลายสิบลี้่หนึ่ง ต่อมาเมื่อเงินหมดนางจึงหนีไป ข้าไม่มีเงินจึงได้แต่กลับมาตำบล… อ๊าก! เจ็บๆๆ”
ยังไม่ทันพูดจบ เสิ่นม่านก็ดึงแขนเขาไพล่หลังอย่างแรง จากนั้นเหยียบกดเอาไว้
“เ้ายังคิดโกหกข้าอยู่อีกหรือ? รีบบอกข้ามาว่านางคนชั่วผู้นั้นไปไหน! ขืนเ้ายังกล้าปิดบัง วันนี้ข้าจะหักแขนเ้าอีกข้าง!”
์ นี่มันสตรีแบบใดกัน? เอะอะก็คิดจะหักแขนผู้อื่น?! หวังเอ้อร์โก่วได้แต่ร้องไห้โดยไร้น้ำตา จากนั้นอดกลั้นความเ็ปที่แขนและอธิบาย
“จริงๆ นะ ข้าขอสาบานด้วยสุสานบรรพบุรุษของตระกูล หากข้ากล้าโกหกเ้า ขอให้สุสานตระกูลข้าถูกฟ้าผ่าภายในข้ามคืน!”
เสิ่นม่าน “...”
นางหยุดชะงัก “มิสู้เ้าสาบานให้ฟ้าผ่าเ้าเองจะดีกว่า” ยิ่งกว่านั้น หากคำสาบานได้ผลจริง จะมีตำรวจกับศาลยุติธรรมไว้ทำอะไร?
เสิ่นม่านไม่มีความอดทนมากนัก นางออกแรงเพิ่มอีก
หวังเอ้อร์โก่วกรีดร้องโหยหวน “ข้าบอกตามจริงไปแล้ว ข้าไม่รู้ว่าโจวชุ่ยหลานไปไหน เหตุใดเ้าจึงต้องจับตัวข้าไม่ปล่อย!”
“เพราะเ้าไม่มีความน่าเชื่อถือในสายตาของข้า!”
หวังเอ้อร์โก่วเป็ชายร่างใหญ่ เมื่อถูกเสิ่นม่านกระชากแขนตรึงตัวไว้ เขาถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ขอร้องล่ะพี่สาว หากข้าพูดปด ขอให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของข้ายากจนข้นแค้น ไม่มีทางหาภรรยาได้! รีบปล่อยข้าเถิดนะ ขืนเ้ายังกระชากอีก ข้าคงไม่ได้ใช้ชีวิตครึ่งหลังอีกเป็แน่...”
ก็ได้ ดูจากสภาพแล้ว เ้าหมอนี่คงไม่ได้โกหกจริงๆ
ในที่สุด เสิ่นม่านก็ปล่อยเขา
หวังเอ้อร์โก่วลูบแขนของตนเอง จากนั้นกึ่งคลานกึ่งวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
เสิ่นม่านผู้ที่ยืดผงาดท่ามกลางสายลม “...”
พูดไม่ออกจริงๆ ผู้ชายคนนี้อ่อนแอชะมัด! น่าเสียดายที่นางไม่พบเบาะแสของนางโจว มิเช่นนั้นวันนี้นางคงได้บุกไปกระทืบหน้าสุนัขของนางโจวให้เละตุ้มเป๊ะ
หึหึ รอก่อนเถิด หากวันหน้าเ้ากล้ากลับมา มารดาจะทำให้เ้านึกเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้!
หลังจากเสียเวลาไปสักพัก เมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นคนที่ไม่อยากเห็นมากที่สุด เสิ่นม่านได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา
ครอบครัวคังมาอีกแล้ว
ทันทีที่นางก้าวเข้าไปในลานบ้าน ตาเฒ่าคังก็เข้ามาหาคนแรกพร้อมกับยื่นสัญญาให้เสิ่นม่าน
“นี่คือหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ที่เ้า้า ครอบครัวข้าตัดสินใจแล้ว ขอเพียงวันนี้เ้ามอบเงินให้พวกข้าสิบตำลึง ต้าลี่กับภรรยาก็จะถูกขายให้บ้านเ้า เป็เช่นไร?”
เสิ่นม่านตอบอย่างไม่เกรงใจว่า “เหตุใดจึงราคาขึ้น? ตามราคาเดิมห้าตำลึง จะขายไม่ขาย!”
ไม่ใช่ว่านางไม่มีเงิน แต่นางไม่้าเสียเปรียบให้กับครอบครัวเดรัจฉานอย่างสกุลคัง
“เสิ่นม่านเหนียง ไฉนเ้าจึงใจดำเยี่ยงนี้? ต้าลี่เป็แรงงานชั้นดี หากอยู่ข้างนอก คงต้องจ่ายแปดตำลึงถึงจะยอมขาย แม้ว่าเขาจะมีลูกหนึ่งคน แต่เ้าก็ไม่ควรหักค่าใช้จ่ายกันถึงขั้นนั้น ไม่ใช่หรือ?” นางหยางเอามือเท้าสะเอวและทำท่าอวดดี
เสิ่นม่านไม่อยากทะเลาะกับนาง จึงตอบด้วยเสียงราบเรียบ “งั้นเ้าก็ไปขายข้างนอก”
“เ้า...” นางหยางโกรธจัด แต่ถูกตาเฒ่าคังปรามไว้
ตาเฒ่ากลอกตาไปมา จากนั้นแสร้งทำเป็หน่ายใจและตบหน้าขา “ขาย! ข้าขาย! เ้านำสัญญามา ข้าจะประทับรอยนิ้วมือเอง!”
ด้วยประการฉะนี้ ในเวลาเพียงไม่ถึงสองเค่อ ทะเบียนราษฎร์ของคังต้าลี่กับภรรยาก็ตกอยู่ในมือเสิ่นม่าน นางเหลือบมองทะเบียนราษฎร์แวบหนึ่ง และรู้ถึงความสำคัญของของสิ่งนี้
แคว้นฝูเหลียงกำหนดว่าพลเมืองทุกคนต้องมีทะเบียนราษฎร์ประจำตน หากผู้ใดไม่มีทะเบียนราษฎร์ จักถือว่าเป็ผู้ลี้ภัยและทะเบียนต่างด้าว ถึงเวลาหากถูกจับ ก็จะถูกส่งไปเป็แรงงานที่เหมือง
นี่เป็เหตุผลที่คังต้าลี่กับภรรยาถูกกดขี่ควบคุมโดยตาเฒ่าคัง
ฝ่ายหนึ่งมอบเงิน ฝ่ายหนึ่งมอบคน
หลังจากคังต้าลี่และครอบครัวถูกพามาส่งที่บ้านสกุลเสิ่น ตาเฒ่าคังและที่เหลือถึงกลับไป ระหว่างที่เดินผ่านคังต้าลี่ ตาเฒ่าลูบเงินในอ้อมอกและเผยรอยยิ้มพึงพอใจ
“เ้ารอง พวกเ้าสองคนต้องตั้งใจทำงานในบ้านสกุลเสิ่นให้ดี อย่าอู้งานนะ”
คังต้าลี่พยักหน้าด้วยใบหน้าแสร้งยิ้ม “ขอรับ”
จากนั้น คนทั้งหมดก็มองส่งพวกเขาออกจากบ้านสกุลเสิ่น
จวบจนใกล้ถึงประตู นางหยางเดาว่าคงไม่มีผู้ใดได้ยินพวกเขาคุยกัน จึงถามตาเฒ่าคัง “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าเ้าสองคนนั่นจะเชื่อฟังหรือ? เราตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาแล้ว ต่อไปหากจะใช้ให้พวกเขาทำอะไรคงไม่ง่าย”
ตาเฒ่าคังมองนางหยางด้วยหางตา ดวงตาที่ขุ่นมัวแฝงความเ้าเล่ห์เพทุบาย
“มุมมองสตรีช่างคับแคบ! เ้ารองกตัญญูต่อแม่ของเขาที่สุด ตลอดมาเขา้ารู้ว่าแม่ของเขาถูกฝังไว้ที่ใด เพราะ้านำร่างนางมาจัดพิธีฝังให้เหมาะสม แต่ข้าไม่เคยบอกเขา! ตอนนี้ข้ากำเื่นี้ไว้ ยังต้องกลัวอีกหรือว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟัง?”
“ท่านพ่อหลักแหลมนัก!” นางหยางสรรเสริญเขา
ตาเฒ่าคังได้ใจ ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถยัดเยียดคนในครอบครัวเข้าไปโรงทำเต้าหู้สกุลเสิ่นได้แล้ว
เสิ่นม่าน ข้าจะดูสิว่าเ้าจะจองหองได้อีกนานแค่ไหน?
-----
