บทที่ 155 คู่ต่อสู้ที่แท้จริง
“นี่คือคนเหล็กแห่งห้าั! คู่ต่อสู้คนสุดท้ายของฉู่อวิ๋นก็คือเขา!”
“ช่างเป็การต่อสู้ที่ดุเดือดราวกับศัตรูเผชิญหน้ากัน คนหนึ่งคืออัจฉริยะหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวและทำลายสถิติ ส่วนอีกคนคือผู้ฝึกพลังยุทธ์รุ่นเยาว์ที่ชนะทุกการแข่งขัน ทั้งยังเชี่ยวชาญในการตามล่าผู้อ่อนแอ”
“ตอนนี้มีเื่สนุกๆ ให้ดูแล้ว!”
ฝูงชนส่งเสียงดังกระหึ่ม ทั่วทั้งลานอึกทึกครึกโครม หลั่งไหลราวกระแสน้ำเดือดที่พลุ่งพล่าน
ทุกคนรู้ดีว่าชายหนุ่มคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวนี้ คือนักรบระดับห้าของขั้นมหาสมุทรที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อไม่นานมานี้
จุดที่น่าสงสัยคือนักรบคนนี้ไม่ฝักใฝ่ในสิ่งใด ทำเพียงสมัครเข้าร่วมการประชันห้าั และจะเข้าร่วมในรอบสุดท้ายทุกการแข่งขันเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คู่ต่อสู้ของเขาทุกครั้งคือนักรบระดับแรกของขั้นมหาสมุทรที่มาท้าทายการกระชันห้าั
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือชายคนนี้ไม่เคยแพ้ ทุกครั้งที่เขาลงสนามจะใช้เพียงกระบวนท่าเดียวล้มศัตรู ทำให้อีกฝ่ายสิ้นหวังอย่างสุดซึ้ง
เขาจึงได้รับฉายาว่า “คนเหล็กแห่งห้าั”
อาจพูดได้ว่าความแข็งแกร่งของชายคนนี้โดดเด่นยิ่งนัก แม้จะอยู่ในระดับห้าของขั้นมหาสมุทรก็ตาม
กระนั้นในสถานการณ์การต่อสู้ ฉู่อวิ๋นกลับค่อนข้างสงบ เขายิ้มและพูดกับอีกฝ่ายว่า “สวัสดี! ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันอีก นี่เพิ่งไม่กี่วันเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายคนนั้นก็ตัวสั่นอย่างโกรธกริ้ว เขาหันกลับมามองฉู่อวิ๋นด้วยแววตาดุร้ายเ็า
“ได้เจอเ้าแล้ว! หากยังกล้าพูดเช่นนั้นอีก ข้าจะฟาดเ้าให้ตาย!”
ชายคนนั้นพูดอย่างมีน้ำโห ใบหน้าของอีกฝ่ายเรียกได้ว่าหล่อเหลา คมคาย คิ้วโค้งดุดูน่ากลัว แต่สีหน้ากลับเ็า ดุดัน และเย่อหยิ่ง ทำให้ผู้คนยากจะอยากชิดใกล้
ไม่ผิด คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคุณชายน้อยแห่งเคหาสน์เขากระบี่ ผู้ฝึกกระบี่สงัดนิรันดร์ โม่ซิว ที่วิ่งหนีฉู่อวิ๋นด้วยความโกรธและอับอายในงานชุมนุมเสือัเมื่อไม่นานมานี้
“เสี่ยวโม่ อย่าใจร้อนไป เ้าเป็คนอารมณ์ร้อน ให้คุณชายเสวี่ยช่วยพ่นน้ำแข็งเย็นๆ ให้เ้าออกมาคลายร้อนสักหน่อยก็ดีนะ ฮิๆ” ฉู่อวิ๋นยกมือขึ้นกอดอกอย่างสงบ
“เ้า!!”
เมื่อเห็นท่าทางเหนือกว่าของฉู่อวิ๋น โม่ซิวก็รู้สึกคุกรุ่นในใจ แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาหรี่ตาลง ค่อยๆ เผยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ฮ่าๆๆ——! เ้าคิดว่าเ้าจะยังทำให้ข้าโกรธได้อีกหรือ? ฝันไปเถอะ!”
“หลังจากการฝึกฝนมาหลายวัน ในที่สุดข้าก็... ในที่สุดข้าก็!” โม่ซิวก้มหน้าลงทันที รอยยิ้มฝืดเฝื่อนของเขาเริ่มบ้าคลั่งมากขึ้น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและหัวเราะอีกครั้ง “ในที่สุดข้าก็กำจัดข้อบกพร่องนั้นได้!”
ขณะที่พูด ชายแสนหยิ่งผยองคนนี้ก็จ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋นแล้วพูดว่า “ไอ้หนู! เ้ารู้หรือไม่... ว่าคุณชายแห่งเคหาสน์เช่นข้าผ่านมันมาได้อย่างไร?”
“เชิญกล่าวเต็มที่” ฉู่อวิ๋นขยับเก้าอี้ตัวเล็กจากไหนไม่รู้มาวางแล้วนั่งลง ทำท่าจริงจังมากราวกับว่ากำลังรอฟังอยู่
ความจริงแล้ว เขากำลังฟื้นฟูพลังปราณ เพราะการประลองไม่กี่รอบเมื่อครู่นี้เผาผลาญพลังปราณของเขาไปไม่น้อย ทั้งตอนนี้โม่ซิวอยู่ในสภาวะตื่นเต้น จึงฉวยโอกาสนั่งลงพักผ่อน
อันที่จริง ฉู่อวิ๋นรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าหากต้องสู้กับโม่ซิวตัวต่อตัว เขาต้องพร้อมกว่านี้ เพราะรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของผู้ใช้กระบี่ตรงหน้านี้ไม่ธรรมดา
แต่โม่ซิวโง่เขลา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนได้พลาดโอกาสอันดีในการเริ่มบุกโจมตีก่อนไปเสียแล้ว ทั้งยังเริ่มพูดจาพร่ำเพรื่อ
จากนั้น โม่ซิวก็เริ่มเล่าเื่ของตนเอง ในขณะที่ฉู่อวิ๋นมองอีกฝ่ายราวกับคนโง่เง่า
“ไอ้หนู! พูดขึ้นมาแล้ว ครั้งนั้นก็ต้องขอบคุณนิ้วของเ้าที่ทำให้รู้ว่าข้าบกพร่องที่ใด!”
“ฮ่าๆๆๆ—!” โม่ซิวเงยหน้าหัวเราะอีกครั้ง ชื่นชมตัวเอง ก่อนจะพูดต่อ “ข้อบกพร่องของข้า คือดูแคลนคนอ่อนแอเกินไป!"
“ดังนั้น ทุกวันนี้ข้าเลยหมกตัวอยู่ในลานประลองยุทธ์แห่งนี้ คอยรับบทเป็ผู้ยุติการประชันห้าั ดับฝันพวกนักรบระดับแรกขั้นมหาสมุทรที่ไม่เจียมกะลาหัว!”
“ข้า้าให้พวกมันรู้ว่าอะไรคือความแข็งแกร่ง! อะไรคือความห่างชั้น!”
“เป็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง แต่กลับคิดมุ่งท้าทายตนเองไปอยู่ที่สูง?”
“ฮ่าๆ—!” โม่ซิวพูดพลางหัวเราะ เขาดูตื่นเต้นมาก ทำให้ผู้ชมใ ดูเหมือนว่าชายชาตรีสองคนบนเวทีจะมีเื่บาดหมางกันไม่น้อย
ที่แท้เหตุผลที่โม่ซิวปรากฏตัวในลานประลองยุทธ์ และเข้าร่วมลงชื่อต่อสู้แค่เพียงในรอบที่ห้าของการประชันห้าั ก็เพราะ้าสังหารผู้ที่อ่อนแอกว่าและเติมเต็มจุดอ่อนของตนเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง โม่ซิว้าใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจ ใครก็ต่างจินตนาการได้ว่าครั้งที่ฉู่อวิ๋นหักกระบี่ของเขานั้นส่งผลเพียงใดต่อคนที่เย่อหยิ่งเช่นเขา
“ได้พบเ้าในวันนี้คือของขวัญที่์ประทานให้! ข้าจะได้มีโอกาสล้างความอัปยศนั่น!”
“วันนี้ ข้าจะสับเ้าเป็ชิ้นๆ ต่อหน้าทุกคนที่นี่! ฮ่าๆๆๆ! รู้สึกดียิ่งนัก! รู้สึกดีจริงๆ! ฮ่าๆๆ!”
โม่ซิวหัวเราะซ้ำๆ เขาดีใจจนน้ำตาไหล นี่แสดงให้เห็นว่าเขาตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้พบกับฉู่อวิ๋นในฐานะคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของการประชันห้าั
บริเวณที่นั่งพิเศษ ใบหน้าของเสวี่ยหรูเยียนและฉู่ซินเหยาต่างก็หม่นหมอง พวกนางเองก็อยู่ที่งานชุมนุมเสือัในวันนั้นด้วย จึงย่อมเข้าใจความคับข้องใจระหว่างฉู่อวิ๋นและโม่ซิวเป็ธรรมดา
และเมื่อดูจากสถานการณ์ การประลองครั้งนี้โม่ซิวจะใช้พลังทั้งหมดของตนโจมตีฉู่อวิ๋นอย่างแน่นอน เขาจะไม่หลงเหลือความเมตตาใดๆ ไว้
“ครั้งนี้แย่แล้ว โชคไม่ดีเลย! คุณชายอวิ๋นได้พบกับคนเน่าๆ เช่นนั้นเสียได้” เสวี่ยหรูเยียนขมวดคิ้วและก่นด่าในใจ
แม้ว่านางจะสนใจฉู่อวิ๋นค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะโม่ซิวได้
ต้องรู้ว่าโม่ซิวนี้เป็อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่โด่งดังพอๆ กับเสวี่ยหานเฟยพี่ชายของเธอ ความแข็งแกร่งย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
“อวิ๋นเอ๋อร์... อย่าให้อะไรเกิดขึ้นกับเ้าเลย” ฉู่ซินเหยาบีบมือหยกแน่น หัวใจเต้นแรงและเป็กังวลอย่างมาก
นางไม่รู้วิชายุทธ์ ไม่เข้าใจความแตกต่างที่ว่ากัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเสวี่ยหรูเยียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พอจะเดาได้ว่าฉู่อวิ๋นได้เจอกับคู่ปรับที่แท้จริงแล้ว!
ไม่สิ ควรเรียกว่าได้เจอศัตรูที่ยากจะต่อกรแล้ว!
เสวี่ยหานเฟยค่อนข้างนิ่ง ภายนอกเขาดูสงบและอ่อนโยน โบกพัดขนนกเบาๆ แต่ในใจไม่มีใครล่วงรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“โม่ซิวกับคนป่าหรือ? น่าสนใจๆ หึๆ” ดวงตาของคุณชายชุยเสวี่ยเป็ประกายพลางคิดกับตัวเอง
ถัดจากเวทีประลอง นักรบหนุ่มที่สวมหน้ากากก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดกับตัวเองว่า “ได้พบกับหมาบ้าตัวใหญ่นี้ ไอ้หนู เ้าโชคไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ”
แน่นอนว่าซิวหลัวหน้าผีที่เข้าร่วมการประชันห้าัทั้งวันคืนเองก็เคยได้เห็นความสำเร็จของโม่ซิวผ่านตามาบ้าง และได้รับรู้ว่าเขาน่ากลัวแค่ไหน
“ไอ้ขยะ หากเ้าร้องขอความเมตตาจากข้าและเห่าให้ฟังสักสองสามครั้ง ข้าสัญญาว่าจะให้เ้าได้มีความสุข!”
“ไม่เช่นนั้น เ้าจะต้องรับโทษ ถูกข้าตัดเป็ชิ้นๆ าแนับพันไม่สมานหาย ตกตายไปอย่างทรมาน!” โม่ซิวเยาะเย้ย ยืนถือกระบี่ไว้ในมือ จ้องมองที่ฉู่อวิ๋นและพูดด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
“ใช่หรือ?”
ในยามนี้ ฉู่อวิ๋นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน พร้อมแรงกดดันที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาเป็ประกายและพูดว่า “เ้าก็แค่ถูกข้าตีแพ้แล้วมาหาเื่ระบายอารมณ์กับคนอื่นก็แค่นั้น มีอะไรให้น่าภูมิใจนักหนา? แถมเ้ายังมาพูดจาโอ้อวดเื่เช่นนี้ น่าขันตายชัก!"
“เ้าพูดอะไร?!”
“ข้าบอกว่า!” น้ำเสียงของฉู่อวิ๋นเปลี่ยนเป็เ็าทันที “เ้าเอาแต่พูดว่าคนอื่นเป็ขยะ แต่ก็ภูมิใจที่ได้ทรมานขยะ พฤติกรรมแบบนี้ก็ไม่ต่างจากขยะ เข้าใจหรือยัง?”
“เ้าผายลม!!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมของฉู่อวิ๋น โม่ซิวก็เต็มไปด้วยแรงกดดัน เขายืนตรงถือกระบี่ คมกระบี่ส่องแสงมันวาว นี่คือกระบี่อันโด่งดัง กระบี่ร่ำสังหาร
“เ้าคิดว่าข้าทำเป็แค่ทรมานขยะหรือ?” ทันใดนั้น โม่ซิวก็ยิ้มอย่างโอ้อวดอีกครั้ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ผู้ชมแล้วจงใจพูดเสียงดัง “ข้ายังต้องขอบคุณเ้าอีกเื่ เพราะนิ้วนั้นของเ้า ทำให้ใน่ไม่กี่วันมานี้ของข้า บรรลุได้ถึงขั้นจิตไหวกระบี่!”
“ควับ!”
คำพูดนี้ดังพอให้ทุกคนได้ยิน พวกเขาต่างสูดหายใจ ดวงตาสั่นระริก!
“อะไรนะ?! นี่...เ้าคนหยิ่งนี่ได้บรรลุถึงจิตไหวกระบี่ที่ผู้ใช้กระบี่ใฝ่ฝันกันแล้วหรือ?!”
“นี่... นี่มันอัจฉริยะ! ต้องรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่หลายคนทั้งชีวิตยังไม่อาจไปถึงเลยนะ!”
“สมแล้วที่จะเป็ทายาทของเคหาสน์เขากระบี่ ความสามารถลึกล้ำ แม้ว่าจะยโสอยู่บ้าง แต่ก็มีมากพอให้โอ้อวด”
ทุกคนตกตะลึง ต่างก็เชื่อคำพูดของโม่ซิว เพราะใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้เห็นกับตาตนเองว่าเขาสังหารอัจฉริยะมากพร์ที่เข้ามาท้าทายด้วยกระบี่เล่มเดียวได้อย่างไร นี่มันชัดเจนอยู่แล้ว
จิตไหวกระบี่ถือเป็ทักษะลับขั้นแรกในวิชากระบี่ และเป็เกณฑ์มาตรฐานในการวัดว่าผู้ฝึกกระบี่นั้นมีความสามารถมากพอหรือไม่
มีกี่คนที่ติดอยู่ในขั้นแรกนี้และไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้ตลอดชีวิต แม้ว่าบางคนต้องเ็ปที่ต้องทุ่มเทเป็สิบยี่สิบปีกว่าจะสำเร็จ
โม่ซิวอายุยังน้อยแต่กลับบรรลุถึงจิตไหวกระบี่ได้แล้ว เขาเป็อัจฉริยะมากพร์ อนาคตข้างหน้าย่อมสดใส!
แต่ในขณะที่ทุกคนประหลาดใจ พวกเขาก็เห็นว่าฉู่อวิ๋นนั้นสงบมาก จึงเริ่มสับสน หรือว่าเด็กชาวป่าคนนี้ไม่เข้าใจความน่ากลัวของจิตไหวกระบี่?
ทันใดนั้น ท่ามกลางความวุ่นวาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเรียบๆ มันสงบและเถรตรง
“จิตไหวกระบี่หรือ?”
ฉู่อวิ๋นหัวเราะเบาๆ
“ข้าบรรลุถึงไปนานแล้ว”
“ทั้งยัง…”
เขาจ้องเขม็ง ดึงหิมะย่ำรุ้งออกมาจากวงแหวนอวกาศแล้วยืนขึ้นพร้อมกระบี่ในมือ พลังกระบี่สีแดงและน้ำเงินเบ่งบานออกมาพันกัน งดงามอย่างยิ่ง
“เข้าสู่ขั้นสูงของจิตไหวกระบี่ไปนานแล้ว เ้าสายไปแล้ว!”
หลังจากพูดจบ พลังทั้งร่างของฉู่อวิ๋นก็พุ่งสูงขึ้น เขาชี้กระบี่ไปข้างหน้า พลังกระบี่ก็คล้ายัตัวยาวที่พุ่งลงสู่มหาสมุทร ถือเอาความองอาจของสองสีนั้นซ้อนทับกันจนเปล่งประกายออกมาในทันที!
นี่คือปราณกระบี่ไฟหยาง รวดเร็วและคมกริบ เต็มไปด้วยคลื่นความร้อนที่น่าอัศจรรย์ สว่างจ้าอย่างยิ่ง และพุ่งตรงไปหาโม่ซิว!
“หืม?!”
โม่ซิวสะดุ้งเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขายกกระบี่ขึ้นมาป้องกันโดยสัญชาตญาณ แต่สุดท้ายก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว เมื่อเขายกมือขึ้น กระบี่ไฟหยางก็เข้าโจมตีเสียแล้ว
“ตูม!”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว โม่ซิวกัดฟันและพยายามรับมือทว่ายากยิ่ง ไม่นานเขาก็สูญสิ้นเรี่ยวแรง ก่อนจะถูกปราณกระบี่นี้ซัดกระเด็นไปไกล
จนเกือบจะใกล้ร่วงจากเวทีก็หยุดกะทันหัน
ระหว่างทางที่โม่ซิวกระเด็นไป มองเห็นได้เพียงรอยฝีเท้าสองรอยของเขาบนพื้นเวที หินกรวดสาดกระเซ็น เหมือนกับหลุมขนาดใหญ่สองหลุมที่สะดุดตามาก
“ไม่...เป็ไปไม่ได้!! เ้าแค่เหวี่ยงปราณกระบี่ จะซัดข้าปลิวได้อย่างไร?!!!” ดวงตาของโม่ซิวสั่นระริก ใบหน้าฉายความไม่เชื่อเต็มตา
เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็รู้สึกตัว โม่ซิวตะคอกจนน้ำลายกระเซ็น “เ้า... เ้าเข้าสู้จิตไหวกระบี่ขั้นสูงแล้วจริงๆ หรือ?!”
เช่นนี้แล้ว ทั่วทั้งลานก็ตกอยู่ในภวังค์ ต่างคนต่างพูดไม่ออก ต่างคนต่างอ้าปากค้าง หรือว่า... เด็กชาวป่าคนนี้ไม่เคยใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงต่อกรกับศัตรูจนกระทั่งบัดนี้?!
อาวุธที่เขาเชี่ยวชาญจริงๆ แล้วคือกระบี่?!
เขาเป็ผู้ฝึกกระบี่หรือ?! แถมยังเป็...ผู้ฝึกกระบี่ที่เข้าถึงจิตไหวกระบี่ขั้นสูงแล้วด้วย?!