มู่หรงฉือโกรธมาก “ท่านกำลังแช่งให้เปิ่นกงตายอย่างนั้นหรือ?”
เขาไม่ให้นางยื่นมือเข้าไปสืบเื่นี้ต่อ หรือเป็กังวลว่านางจะสืบเจอเื่ที่ไม่เป็ประโยชน์ต่อเขากันแน่?
คิดถึงตรงนี้ นางก็ยิ่งต้องสืบให้ได้
มู่หรงอวี้ดื่มชาด้วยท่าทางสบายๆ แสงอาทิตย์ส่องระยิบระยับลงบนใบหน้าขาวของเขาจนเปล่งประกาย ราวกับกระจกหลิวหลีจมอยู่ในบ่อน้ำเย็นใต้แสงจันทร์ ถึงแม้จะโดนฝุ่นก็ไม่แปดเปื้อน เป็ความบริสุทธิ์หนึ่งเดียวในโลก
ครั้นเข้าเมืองมา เขาก็ลงจากรถม้า ก่อนจะไปจัดการงานในวัง ส่วนนางไม่ได้กลับตำหนักบูรพา แต่ไปที่ศาลต้าหลี่แทน
นางเล่าเื่วันนี้ให้เสิ่นจือเหยียนฟังทั้งหมด เขาพูดด้วยความใ “เตี้ยนเซี่ยสงสัยว่าว่านฟางกับหวังเทาควบคุมทั้งกองทัพตรวจสอบอาวุธอย่างนั้นหรือ? แล้วก็สงสัยว่าพวกเขาปกปิดราชสำนักเื่ลอบค้าอาวุธ?”
นางพยักหน้า “ผู้จัดการสองคนฟังคำสั่งของพวกเขา เปิ่นกงเดาว่าผู้จัดการโจวฮวายเป็คนซื่อสัตย์ ทั้งยังซื่อตรงต่อราชสำนัก พอพบว่าพวกเขาลอบค้าอาวุธจึงถูกพวกเขาฆ่าปิดปาก”
“เตี้ยนเซี่ยตัดสินใจจะตรวจสอบกองทัพตรวจสอบอาวุธต่อหรือ?” เสิ่นจือเหยียนใ พูดอย่างไม่เห็นด้วย “ว่านฟางกับหวังเทากล้าสังหารขุนนางของราชสำนักเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว มีเื่อะไรบ้างที่ทำไม่ได้? เื่นี้อันตรายมาก เตี้ยนเซี่ยจะต้องคิดให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อันตรายแค่ไหนเปิ่นกงก็จะตามสืบให้จนถึงที่สุด!” ดวงตาของมู่หรงฉือวาวโรจน์ “ลอบค้าอาวุธเป็ความผิดร้ายแรง นานวันเข้า การทหารของแคว้นเป่ยเยี่ยนจะได้รับผลกระทบหนัก เปิ่นกงจะต้องจับคนทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย!”
“เช่นนั้นข้าก็จะไปกับเตี้ยนเซี่ย” เขารู้ว่าต่อให้โน้มน้าวอย่างไรก็คงไม่เป็ผลแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือมอบชีวิตแล้วไปกับองค์ชาย “เตี้ยนเซี่ยจะลงมือเมื่อไหร่หรือ?”
“ฝีมือการต่อสู้เ้าไม่สูง จะเพิ่มความลำบากให้เปิ่นกงไปเปล่าๆ” นางหัวเราะสดใส “เ้าวางใจเถิด มีฉินรั่วปกป้องอยู่ เปิ่นกงไม่มีทางเป็อะไร อีกอย่างเ้าลืมไปแล้วหรือ? เปิ่นกงฝึกวิชามาตั้งหลายปี สามารถปกป้องตัวเองได้น่า”
“เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยจะต้องระวังนะพ่ะย่ะค่ะ หากมีอันตรายจะต้องรีบออกมาทันที ชีวิตยังอีกยาวไกล” เสิ่นจือเหยียนพูดกำชับ
หลังจากบอกลาแล้ว มู่หรงฉือก็ไปที่สวนสาธารณะซู่อวี้เซวียน แล้วทิ้งจดหมายเอาไว้ให้หรงจ้าน
ในค่ำคืนที่มืดมิดดั่งน้ำหมึก แสงจันทร์แสงดาวสาดส่องลงมา
ยามจื่อ[1]นางกับฉินรั่วสวมชุดสีดำพุ่งไปยังเขตตะวันออกด้านนอกเมือง ก่อนจะลงจากรถม้าห่างจากกองทัพตรวจสอบอาวุธสองลี้ แล้วเดินไป
ฉินรั่วเบิกตากว้างมองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยความร้อนใจ “เหตุใดคุณชายหรงยังไม่มาอีก? เขาไม่ได้รับจดหมายที่เตี้ยนเซี่ยทิ้งเอาไว้ให้เขาที่สวนสาธารณะหรือ?”
มู่หรงฉือส่ายหน้า “คงจะไม่หรอก หลังจากฟ้ามืด หากเขาไม่ไปที่สวนสาธารณะ ทางสวนสาธารณะก็จะส่งคนให้เอาจดหมายนี้ไปให้สำนักหนึ่งในใต้หล้า นอกเสียจากว่าวันนี้หรงจ้านจะไม่ได้อยู่ในเมือง แล้วก็ไม่ได้กลับเข้ามา”
“เช่นนั้นค่อยมาอีกทีวันหลัง?” ฉินรั่วเสนอความเห็น
“วันนี้เป็โอกาสที่ดีที่สุด” มู่หรงฉืออธิบาย “ว่านฟางและหวังเทาจะต้องคิดว่าวันนี้เปิ่นกงไปที่กองทัพตรวจสอบอาวุธแล้ว คงไม่มีทางมาอีกแน่นอน เปิ่นกงถึงได้มาตรวจสอบกองทัพในคืนนี้”
“แต่ว่ามีแค่เตี้ยนเซี่ยกับหนูฉายสองคนมันอันตรายเกินไปนะเพคะ” ฉินรั่วพูดด้วยความกังวล “เตี้ยนเซี่ย ยึดความปลอดภัยเป็หลักเถิดเพคะ”
“เอาเถิด เปิ่นกงจะระวัง เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน หากมีอันตรายพวกเราก็รีบกลับ” มู่หรงฉือเดินนำไปด้านหน้า
ฉินรั่วรีบตามมา ก่อนจะลอบตัดสินใจว่า : หากเตี้ยนเซี่ยมีอันตรายถึงชีวิต นางจะต้องปกป้องเตี้ยนเซี่ยอย่างสุดชีวิตแน่นอน
นอกเขตเมืองเงียบสงัด บางครั้งมีเสียงร้องของสัตว์กับเสียงนกดังมา
รัตติกาลแผ่ขยายออกไปเหมือนกับผ้าสีน้ำเงินเข้มเนื้อดีปกคลุมฟ้า แสงจันทร์นวลสาดส่องลงมา
ท่ามกลางแสงจันทร์บางๆ บนท้องฟ้า กองทัพตรวจสอบอาวุธเงียบสงัด
ที่ประตูใหญ่มีทหารถืออาวุธครบมือ ไม่สามารถเข้าไปได้ ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีประตูเล็กอยู่บานหนึ่ง แต่ว่าหลายปีก่อนได้ถูกละทิ้งไปพร้อมใช้เหล็กใหญ่มากั้นเอาไว้ กำแพงของกองทัพค่อนข้างเตี้ย จากวิชาตัวเบาของพวกนางการจะะโเข้าไปนั้นไม่ยาก
ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามค่ำคืน พวกนางมาถึงประตูเล็กทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนจะะโขึ้นไปแล้วทิ้งตัวลงมาบนกำแพง ฉินรั่วย่อตัวพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ต่อมานางก็กวักมือไปด้านล่าง เป็สัญญาณให้เตี้ยนเซี่ยขึ้นมา
มู่หรงฉือดีดตัวขึ้นไปก่อนจะทิ้งตัวลงมาข้างฉินรั่ว ตอนนี้ที่นี่ไม่มีองครักษ์ลาดตระเวน พวกนางรีบใช้วิชาตัวเบาทะยานไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้แคว้นต่างๆ ได้ผูกสัมพันธ์เป็พันธมิตรกัน จะไม่เกิดาขึ้นได้โดยง่าย ดังนั้นโรงงานตอนกลางคืนในยามไฮ่[2]เช่นนี้จึงไม่มีคนทำงาน
หากเป็ใน่า หรือใน่ที่ชายแดนมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด กองทัพตรวจสอบอาวุธก็ยังคงทำงานในเวลากลางคืน
คืนนี้ว่านฟางคงจะเป็คนเฝ้ายาม เวลานี้ในกองทัพตรวจสอบอาวุธเงียบสงัด พวกเขาแฝงตัวเข้ามาได้อย่างปลอดภัยแล้วจึงตรงไปที่เรือนพักด้านหลัง ก่อนจะเข้าไปในห้องบัญชี
ด้านนอกกองทัพตรวจสอบอาวุธมีทหารถืออาวุธครบมือเดินตรวจตรารอบด้าน ด้านในกลับหละหลวม ไปมาได้อย่างสะดวก
หัวใจของมู่หรงฉือพลันติดไฟ คนของกองทัพตรวจสอบอาวุธสมควรตายไปเสียให้หมด เลิ่นเล่อขนาดนี้ทั้งยังไม่มีการป้องกันที่ดี
หากมีคนจากแคว้นอื่นบุกเข้ามา เช่นนั้นอาวุธสำคัญของกองทัพตรวจสอบอาวุธจะไม่ถูกคนของแคว้นอื่นขโมยไปได้อย่างง่ายดายหรือ?
ห้องบัญชีถูกล็อคจากด้านนอก ทำได้เพียงเข้าไปทางหน้าต่าง
โชคดีที่หน้าต่างปิดไม่สนิทนัก พวกนางจึงสามารถเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย ในใจของมู่หรงฉือว้าวุ่น ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าโกรธ หรือว่าควรเสียใจ?
หากจุดไฟก็คงเป็ที่สะดุดตาเกินไป นางจึงสั่งให้ฉินรั่วปล่อยหน้าต่างเปิดไว้ให้ลมเข้ามา จากนั้นก็เดินไปตรงหน้ารูปภาพูเานั้น
ตอนกลางวันมู่หรงอวี้มองภาพนี้ ไม่มีทางเป็เพราะชื่นชอบแน่ แต่เป็เพราะภาพนี้มีความแปลกประหลาด
ตอนนั้นนางมองเพียงครู่เดียวก็รู้แล้วว่าภาพนี้แปลกอยู่เล็กน้อย แต่ก็พูดไม่ถูกว่าแปลกตรงที่ใด
นางครุ่นคิดอยู่ในความมืดครู่หนึ่งก่อนจะแหวกภาพขนาดใหญ่นั้นขึ้น เป็อย่างที่คิด ด้านในมีความลับซ่อนอยู่จริงๆ
ที่ภาพผืนนี้ปกปิดเอาไว้ก็คือประตูเล็กบานหนึ่ง ที่ประตูเล็กมีกุญแจทองคล้องอยู่ นางหยิบเข็มเงินเล็กๆ ขึ้นมา ก่อนจะแหย่เข้าไปในแม่กุญแจด้วยความชำนาญ
ไม่นานนักแม่กุญแจสีทองก็เปิดออก
นางเปิดประตูเล็ก ด้านในเป็อุโมงค์ วางของเอาไว้จำนวนไม่น้อย มีสมุดบัญชีอยู่หลายเล่ม ทั้งยังมีอาวุธลับของกองทัพตรวจสอบอาวุธรวมถึงอาวุธลับแห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน สูตรลับในการทำดินปืน แผนภาพการทำปืนใหญ่ แผนภาพการทำอาวุธทางทหาร และอีกมากมาย
นางรีบเปิดสมุดบัญชี แล้วหยิบไข่มุกแสงจันทร์ออกมา
อ่านไปหน้าเดียวหัวใจก็หนักขึ้นหนึ่งส่วน เย็นขึ้นหนึ่งส่วน ไฟโทสะปะทุขึ้นมาคืบหนึ่ง
นี่ถึงจะเป็สมุดบัญชีที่แท้จริงของกองทัพตรวจสอบอาวุธ
แต่มู่หรงฉือไม่อาจนำสมุดบัญชีเล่มนี้ออกไปได้ หากเอาออกไปแล้วพวกว่านฟางพบเข้าจะกลายเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น
แต่หากไม่เอาไปก็ไม่มีหลักฐาน
สุดท้ายนางก็หยิบสมุดบัญชีไปเล่มหนึ่ง สองนายบ่าวออกจากห้องบัญชี แล้วมุ่งหน้าไปยังโรงงาน
โรงงานในตอนนี้มืดสนิท เงาดำปกคลุมน่ากลัว นางคิดแล้วว่าที่นี่ไม่มีทางมีคนคอยดูอยู่ จึงรีบเดินเข้าไปอย่างไม่รอช้า
ไข่มุกแสงจันทร์ส่องแสงอ่อนนวลออกมา นางหาประตูบานที่มู่หรงอวี้ถามเมื่อตอนกลางวันเจออย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบเข็มเงินออกมาไขแม่กุญแจ
นางพิจารณาได้แล้วว่า หากเปิดประตูบานนี้จะต้องพบสิ่งที่ทำให้คนใแน่นอน
วินาทีที่เปิดมานางก็ชะงักไป นี่เป็ห้องว่างเปล่าห้องหนึ่ง
ห้องไม่ได้ใหญ่มาก มีเพียงเก้าอี้ไม้แกะสลักตัวหนึ่ง นอกจากนั้นก็ไม่มีของอย่างอื่น ทว่า ห้องที่ถูกทิ้งเอาไว้นี้เหมือนจะไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงวุ่นวายดังมา นางตั้งใจฟังอย่างละเอียดแล้วจึงรู้ว่าเป็เสียงคนต่อสู้กัน
ฉินรั่วถูกองครักษ์พบแล้วอย่างนั้นหรือ?
มู่หรงฉือหัวใจเย็นวาบ ตอนที่กำลังจะพุ่งออกไปด้านนอกกลับมีเงาดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามา เพียงครู่เดียวประตูก็ปิดดังปัง
นางเก็บไข่มุกแสงจันทร์เข้าไปนานแล้ว ดังนั้นจึงมองไม่เห็นว่าเงาดำที่พุ่งเข้ามานั้นเป็ใคร
เงาดำนั้นไม่ขยับ นางเองก็ไม่ขยับ จ้องอีกฝ่ายนิ่ง
ด้านนอกมีคน!
คงจะมีอยู่ราวสี่คน!
ประตูห้องถูกถีบเปิดออก คนที่อยู่ด้านนอกพุ่งเข้ามา ก่อนจะหาเป้าหมายที่ต้องสังหารภายในห้อง
นางนั่งอยู่ที่มุมห้อง ลดการมีอยู่ของนางให้ต่ำลงที่สุด
เงาดำเมื่อครู่ไม่รู้ว่าเป็ศัตรูหรือมิตร ในใจของนางหวาดกลัวมาก จะขยับก็ไม่ได้
แสงสีเงินวาบขึ้นมา!
เกิดเป็แสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง!
เสียงดาบแหลมฟันเข้าเนื้อดังขึ้นเบาๆ แต่ภายในห้องมืดที่เงียบสงัดนี้กลับได้ยินชัดเจน
มู่หรงฉือเบิกตากว้าง ใจนชะงักค้างไป เงาดำนั้นจู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมารวดเร็วดั่งสายฟ้า ราวกับผี ดาบแหลมแทงไปทางสี่คนนั้นจนเกิดแสงสีเงินเย็นเยียบ
มีเสียงดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่สี่คนนั้นจะล้มลงสิ้นใจ
แค่กระบวนท่าเดียวก็จัดการคนไปได้สี่คนในพริบตา
เก่งมาก! น่ามหัศจรรย์!
นางลองถามตัวเองแล้วก็รู้ว่ากระบวนท่าที่มหัศจรรย์นี้นางไม่มีทางทำได้
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าเดินไวๆ มาอีกครั้ง เกิดเสียงดังปัง ประตูห้องปิดหนักๆ อีกครา เงาดำนั้นเหมือนกับปิดประตูสนิทแล้ว นางรีบถอยหลังทันที กำหมัดแน่นเตรียมสู้เต็มที่
เงาดำนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้นาง แรงกดดันหนักหน่วงราวูเากดทับลงมาเพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณ
นางถอยหลังทีละก้าว รอโอกาสที่จะพุ่งเข้าไปลอบทำร้ายอีกฝ่าย ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งก็ทำให้นางหยุดมือ
“เปิ่นหวางเอง”
เสียงทุ้มดังขึ้นในความมืดประหนึ่งเวทมนต์ประหลาดที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ
มู่หรงฉือถูกบีบคั้นจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก โชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้แสดงความสามารถออกไป
ทว่า เขาเองก็มาสืบเื่ในกองทัพตรวจสอบอาวุธตอนกลางคืนเช่นกันหรือ?
ตอนที่สติของนางมั่นคงแล้ว มู่หรงอวี้ก็เคาะพื้นสองสามที ก่อนจะเปิดแผ่นไม้แผ่นหนึ่งออก
นางเดินเข้าไป ก่อนจะมองลงไป ด้านล่างเหมือนจะมีแสงอยู่น้อยๆ นี่คงจะเป็ทางเข้าออกใต้ดิน
เขาะโลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงสู่พื้นอย่างแ่เบาและมั่นคง ต่อมาเขาก็ยื่นมือทั้งสองข้าง “ะโลงมา เปิ่นหวางรับเ้าเอง”
คนด้านนอกคงจะเป็องครักษ์ ตอนนี้ไม่สามารถเปิดประตูได้แล้ว นางจึงกัดฟันแล้วะโลงไป
แขนแกร่งทั้งสองข้างรับนางเอาไว้ ก่อนจะรวบนางเข้าไปในอ้อมกอด
แผงอกอุ่นร้อนเหมือนลูกไฟลวกนาง นางรีบดิ้นออกก่อนจะมองไปรอบๆ
ร่างกายที่ัักัน่สั้นๆ ทำให้หัวใจของเขาลุ่มหลง เป็ความตื่นเต้นที่แผดเผาิญญา เป็เหมือนกับการขายิญญา
มู่หรงฉือกวาดตามองคร่าวๆ ที่นี่เป็ใต้ดินที่กว้างขวางมาก อากาศเย็นชื้น ด้านหน้ามีแสงไฟส่องมา ให้ความรู้สึกลึกลับอย่างน่าประหลาด
มู่หรงอวี้ส่งสายตาให้นาง ก่อนจะเดินนำนางไป
ภายในนั้นเงียบสนิท ราวกับว่าใต้หล้าล่มสลายไปแล้ว จนเหลือเพียงทางใต้ดินแห่งนี้ และมีเพียงพวกเขาที่ยังมีชีวิตอยู่
เสียงฝีเท้าดังก้องไปตามทางใต้ดิน พวกเขาเดินไปตามทางด้านหน้าที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวอย่างระมัดระวัง
บนกำแพง่หนึ่งจะมีคบเพลิงน้ำมันติดอยู่ราวกับไม่มีทางมอดดับ
“ทางใต้ดินนี้เหมือนจะยาวมาก” เสียงอบอุ่นของเขาดังก้องอยู่ในทางเดิน
“จะเดินไปจนสุดทางหรือไม่?” นางพูดด้วยความสงสัยเล็กน้อย กังวลว่าฉินรั่วจะเป็อันตราย แต่ก็กังวลว่าฉินรั่วจะหานางไม่เจอแล้วจะเป็กังวลวุ่นวายใจเช่นกัน
“ในเมื่อมาแล้วก็ต้องไปดูว่ามันคืออะไร” มู่หรงอวี้หันกลับมามองนาง “เตี้ยนเซี่ยกลัวหรือ?”
มู่หรงฉือคร้านจะตอบคำถามที่ทำให้คนหมดคำพูด เพียงปรายตามองเขาก่อนจะเดินไปด้านหน้า หากนางกลัวก็คงไม่มาที่นี่แล้ว
เขาหัวเราะครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปด้านหน้าต่อ ทันใดนั้นในหัวก็มีความคิดแปลกๆ ปรากฏขึ้นมา : ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ที่นี่ หากจู่ๆ ฟ้าถล่มดินทลายขึ้นมา พวกเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่ เช่นนั้น เขาพอใจหรือไม่?
เชิงอรรถ
[1] ยามจื่อ (子时) คือเวลา 23.00 น. – 01.00 น
[2] ยามไฮ่ (亥时) คือเวลา 21.00 น. – 23.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้