เมื่อเปิดกล่องของขวัญออกดู คนทั้งสองก็ยิ่งพอใจมากขึ้น
สกุลลู่นับว่าเป็สกุลบัณฑิตเช่นกัน ชั้นแรกของกล่องมีตำราเล่มใหม่วางอยู่ ชั้นที่สองมีผ้าไหมสีแดงสด ชั้นที่สามมีกำไลเงินคู่หนึ่ง ตัวกำไลแกะสลักเป็รูปดอกบ๊วยสวยงาม ชั้นที่สี่มีดอกป่ายเหอ [1] วางอยู่
ของขวัญนี้ทั้งความหมายแฝงและราคาค่างวด ก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและให้เกียรติของสกุลลู่แล้ว
เถ้าแก่เฉินเป็คนมีเหตุผลทั้งยังเคยอ่านตำรามาบ้าง เมื่อหยิบกำไลคู่นั้นขึ้นมาก็ทั้งปวดใจและชอบใจ ดอกบ๊วยนี้แกะสลักได้งดงามยิ่งนัก ดอกบ๊วยมีความหมายดี เป็ดอกไม้ที่งดงามทั้งยังอยู่ทนทานท่ามกลางฤดูหนาวได้ ก็เหมือนกับบุตรสาวของเขาที่ก่อนหน้านี้ต้องประสบพบเจอกับความลำบาก ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบเจอวาสนาที่ดีแล้ว
เมื่อส่งท่านป้าเผิงกลับไปแล้วเจิ้งซื่อก็รีบให้คนนำวันเดือนปีเกิดของบุตรสาวและบุตรชายคนโตสกุลลู่ไปทำนาย ส่วนเถ้าแก่เฉินหยิบสมุดบัญชีของบ้านขึ้นมา เขากำลังคิดว่าจะเพิ่มสินเดิมให้บุตรสาวสักหน่อย
สกุลลู่ให้ความสำคัญเช่นนี้ ฝั่งพวกเขาเองก็ต้องแสดงออกอะไรบ้าง
ที่เรือนหลัง เฉินเยว่เซียนหน้าแดงฟังเสียงสาวใช้รายงาน ในใจรู้สึกหวานล้ำราวกับแช่อยู่ในน้ำผึ้ง
คืนนั้น หญิงรับใช้ข้างกายเจิ้งซื่อก็นำเทียบชะตาวันเดือนปีเกิดของคนทั้งสองกลับมา ได้ยินว่าเป็คู่์สร้างที่หาตัวจับยาก ทั้งยังมีบันไดทองรองเท้าอีกด้วย
เสี่ยวหมี่ได้ยินข่าวที่สกุลเฉินส่งมา นางฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าบันไดทองหมายความว่าอย่างไร แต่ท่านป้าหลิวที่ยืนอยู่ข้างกายกลับเอ่ยขึ้นก่อน
“โอ้โหเสี่ยวหมี่ นี่คือโชคดีอย่างยิ่งแล้ว”
ท่านป้าหลิวตื่นเต้นอย่างมาก “คนที่ผูกดวงกันแล้วได้คำทำนายเช่นนี้ แสดงว่ามากับโชคลาภแท้ๆ ความหมายก็คือ หากแต่งแม่นางสกุลเฉินคนนี้เข้าบ้านมา บ้านเ้าจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ ข้าจำได้ว่าสกุลหลิวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนั้น ลูกสะใภ้ของพวกเขาก็มีดวงชะตาเช่นนี้เหมือนกัน คนทั้งตระกูลรักเชิดชูนางราวกับสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน และการค้าของสกุลหลิวก็ก้าวหน้ามากขึ้นจริงๆ”
เสี่ยวหมี่ไม่เชื่อเื่พวกนี้ อย่างไรเสียต่อให้ดวงชะตาจะดีแค่ไหน แต่หากงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย เงินก็ไม่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าหรอก
แต่คำทำนายดีๆ เช่นนี้ได้ยินแล้วใครบ้างจะไม่ชอบ นางจึงเริ่มตระเตรียมสินสอดอย่างเบิกบานใจ นางเตรียมอาภรณ์ชุดใหม่ให้กับทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะพี่ใหญ่ลู่ เปลี่ยนใหม่ั้แ่หัวจรดเท้าทั้งหมดสี่ชุด พี่ใหญ่ลู่เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกปวดใจนัก เขาจึงรีบปฏิเสธ
เสี่ยวหมี่กลับไม่มีทางยอมให้เขาปฏิเสธ บอกเขาว่า “พี่ใหญ่ หากท่านอยากรีบแต่งภรรยาเข้าบ้านละก็ ต้องเชื่อฟังข้า”
พี่ใหญ่ลู่หน้าแดงก่ำ แต่เขาก็เชื่อฟังน้องสาวทุกอย่าง
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็ปลงตก นางยิ่งรู้สึกว่าการหาพี่สะใภ้ที่มีความสามารถเช่นนี้ให้พี่ชายที่หัวอ่อนขนาดนี้คงจะเป็เื่ที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ยามที่ไร่มันฝรั่งมีดอกสีขาวเบ่งบานเต็มทุ่ง ของหมั้นของสกุลลู่ก็ถูกส่งไปถึงสกุลเฉิน
คนทั้งสองตระกูลตกลงเื่งานมงคลกันอย่างเป็ทางการ ฤกษ์ยามในการจัดงานก็คำนวณแล้วคำนวณอีก ตกลงกันที่วันที่สิบแปดเดือนตง [2] เป็วันดีที่เหมาะจะแต่งงานทั้งยังออกจากวันไว้ทุกข์แล้วด้วย
เมื่อทุกอย่างถูกกำหนดไว้เป็ที่แน่นอนแล้ว ในที่สุดเจิ้งซื่อก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับเพื่อนบ้านปากร้ายทั้งหลายแล้ว นางเปิดบ้านให้คนพวกนั้นได้มาเห็นความยิ่งใหญ่ของสินสอดบ้านนางได้เต็มที่
ลู่เสี่ยวหมี่เดิมก็ไม่ใช่คนตระหนี่ใจแคบ อีกทั้งพี่ใหญ่ลู่ยังเป็บุตรชายคนโตของตระกูล วันหน้าเฉินเยว่เซียนก็คือสะใภ้ใหญ่ของบ้าน
ดังคำที่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ก็เหมือนมารดา จะอย่างไรก็ต้องยกย่องให้มาก วันหน้าพี่รองลู่พี่สามลู่สู่ขอภรรยา หากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษก็จะให้เกินหน้าเกินตาเฉินเยว่เซียนไม่ได้
นางดีดลูกคิดคำนวณอยู่นาน ในที่สุดนางก็ตกลงจะยกเงินหนึ่งในสี่ส่วนของบ้านออกมาจัดเตรียมสินสอดให้พี่ใหญ่ หรือก็คือเงินสามร้อยตำลึง
ยังมีเครื่องประดับทองคำทั้งชุด ผ้าไหมหลากหลายสีสัน
ธรรมเนียมของชาวต้าหยวนนั้นจะแต่งบุตรสาวออกไปอย่างยิ่งใหญ่ แต่จะแต่งสะใภ้เข้าบ้านอย่างเรียบง่าย เตรียมเงินสักไม่กี่สิบตำลึงก็เพียงพอแล้ว ต่อให้จะให้ความสำคัญกับสตรีนางนั้นมากแค่ไหน จะอย่างไรก็ไม่มีทางให้มากไปกว่าห้าสิบตำลึง
แต่ลู่เสี่ยวหมี่นั้นหนึ่งคือเป็งานมงคลของบุตรชายคนโต และนางก็รักพี่ชายใหญ่มาก สองคือไม่มีพวกผู้ใหญ่คอยชี้นิ้วควบคุม นางจึงจัดเตรียมตามใจ แน่นอนว่าเื่นี้ทำให้คนอื่นๆ พากันตกอกใเป็อย่างมาก
แน่นอนว่าสกุลเฉินเองก็ได้หน้าเป็อย่างยิ่ง คนมากมายอิจฉาริษยาไม่น้อย
เป็อีกครั้งที่ชื่อเสียงของสกุลลู่ขจรขจายไปทั่ว เพียงแต่เสี่ยวหมี่ไม่รู้เื่พวกนี้แม้แต่น้อย คนในหมู่บ้านเขาหมีที่กำลังยุ่งก็ไม่รู้เช่นกัน
บ้านพักสองหลังที่ปากทางเขาหมู่บ้านถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว ในวันที่ก่อหลังคาส่วนสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย คนทั้งหมู่บ้านก็มารวมตัวกันกินดื่มอย่างสรวลเสเฮฮาเพื่อเป็การเฉลิมฉลอง ‘บ้านใหม่’
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนามว่าสุ่ยเซิงรับหน้าที่เป็คนเฝ้าปากทาง เขานอนพักอยู่ในบ้านนั้นมาหลายคืน มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงกับเอ่ยปากล้อเล่นว่า “บ้านนี้นะ อย่าว่าแต่เป็บ้านพักชั่วคราวให้คนเฝ้าประตูเลย เพียงพอจะเป็เรือนหอให้ข้าด้วยซ้ำ”
ทุกคนได้ยินก็พากันหัวเราะชอบใจ เสี่ยวหมี่เพิ่งกลับมาจากไร่มันฝรั่ง ในมือถือมันฝรั่งใหญ่ขนาดกำปั้นเด็ก เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็เอ่ยว่า “อีกไม่นานก็จะสร้างโรงเรือนเพิ่มแล้ว ถึงตอนนั้นทุกสามเดือนห้าเดือนพี่สุ่ยเซิงก็คงหาเงินได้มากจนสร้างบ้านหลังคามุงกระเบื้องไปหลังหนึ่งแล้ว เกรงว่าคงไม่สนใจบ้านหลังคามุงฟางนี่แล้วกระมัง”
“เสี่ยวหมี่ เหตุใดถึงคิดจะสร้างโรงเรือนเล่า?”
ทุกคนได้ยินก็ล้วนยินดี อย่างไรเสียพวกเขาก็มีเรี่ยวแรงเพียงพอ ขอแค่สกุลลู่ไม่ขาดเงินจ้าง พวกเขาก็ไม่กลัวที่จะต้องทำงานหนัก แต่ยามนี้คูน้ำเพิ่งสร้างไปได้ครึ่งเดียว มีคนนำหินมาส่งที่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้านทั้งวัน เงินที่สกุลลู่ต้องเสียไปเกรงว่าคงต้องใส่ตะกร้าใบใหญ่ส่งออกไปแล้ว
หากยังสร้างโรงเรือนอีก พวกเขาก็เป็ห่วงว่าสกุลลู่จะก้าวไปข้างหน้ามากเกินไปจนไม่อาจถอยหลังกลับได้
“ไม่เป็ไร ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไรเ้าค่ะ เพียงแต่ต้องลำบากพวกท่านลุงท่านอาทั้งหลายให้ต้องเหนื่อยกันอีกแล้ว”
“เื่นี้ไม่ต้องกลัว คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น ต่อให้ไม่มีเงินค่าจ้าง พวกเขาก็ไม่อาจทนเห็นพวกเ้าเหนื่อยยากโดยไม่ลงแรงช่วยได้”
คนในหมู่บ้านล้วนเป็นายพรานที่ซื่อสัตย์ จึงมีความคิดเรียบง่ายไม่ซับซ้อนไม่ต่างอะไรกับพี่รองลู่ เมื่อเสี่ยวหมี่บอกไม่ต้องกังวลพวกเขาก็ไม่กังวลอีก
เสี่ยวหมี่พาซูอีที่เป็เหมือน ‘หาง’ ของนางเดินสำรวจเขารอบๆ ทั้งสองลูก
ก่อนหน้านี้คนของสกุลเฉินมาแจ้งข่าวว่าจะส่งคนมาวัดขนาดเรือนสกุลลู่ เพื่อจัดเตรียมทำเครื่องเรือนใหม่ให้คุณหนูเฉินนำติดตัวมา แต่เสี่ยวหมี่ยังจัดแจงที่ทางไม่ได้
ยามนี้เรือนหน้ามีเฝิงเจี่ยนนายบ่าว บิดาลู่ พี่รองลู่ พี่สามลู่ และซูอีพักอยู่แล้ว
พี่ใหญ่ลู่จะแต่งงาน จะให้ไปเบียดอยู่เรือนหน้าด้วยกันก็คงไม่เหมาะ ยามปกติพี่สะใภ้ก็คงเข้าออกไม่สะดวกนัก
หากจะให้พวกเขาย้ายมาอยู่เรือนหลัง นางก็รู้สึกเหมือนถูกยึดพื้นที่ไป แล้วก็ไม่อยากเป็ก้างขวางคอพี่ชายกับพี่สะใภ้ด้วย
แต่บ้านสกุลลู่ก็มีอยู่แค่เท่านี้ จะจัดแจงอย่างไรก็ไม่เหมาะ
เมื่อไร้หนทางเสี่ยวหมี่จึงหันเหความสนใจไปที่อื่น
ก่อนหน้านี้นางก็เคยคิดอยากจะซื้อเขาหมีทั้งลูกเอาไว้ เช่นนี้พวกนางก็จะมีพื้นที่มากขึ้น ในอนาคตจะสร้างโรงเรือนหรือเพาะปลูกก็สะดวกยิ่ง
ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านยามนี้สร้างเรือนหลังคามุงฟางไว้สองหลัง พวกเด็กหนุ่มในหมู่บ้านต่างก็ชอบใจอยากไปพักที่นั่นกันหมด หยอกล้อกันว่าในอนาคตหากคนไหนแต่งภรรยา ห้องที่บ้านเบียดไม่พอแล้ว ก็จะมาสร้างบ้านแยกอยู่ใกล้ๆ เรือนหลังคามุงฟางสองหลังนี้ แยกกันอยู่กับบิดามารดาเสียเลย
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เกรงว่าคงจะกลายเป็หมู่บ้านย่อมๆ อีกแห่งหนึ่ง
ในเมื่อเป็เช่นนี้ สกุลลู่เองก็สร้างเรือนสองหลังไปเลยเป็อย่างไร รอจนพี่ใหญ่ลู่และพี่รองลู่ต่างแต่งงานมีบ้านเป็ของตนเองแล้วก็แยกเป็สองเรือนไปเลย
หนึ่ง พี่สะใภ้ทั้งสองมีบ้านพักเป็ของตนเองย่อมมีอิสระมากกว่า ไม่ต้องอยู่ร่วมชายคากันทุกวัน เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีเื่ให้ต้องขัดแย้งกันมากมาย สอง วันหน้าสร้างโรงเรือน เพาะปลูกพืชชนิดใหม่ ก็นับว่ามีคนของครอบครัวตัวเองคอยปกป้องอยู่หน้าทางเข้าแล้ว
ตอนกินข้าวเสี่ยวหมี่จึงเล่าความคิดนี้ออกมาให้ทุกคนฟัง
พี่ใหญ่ลู่รู้สึกปวดใจเพราะเท่ากับว่าจะต้องเสียเงินทองมากมาย พี่รองลู่ไม่เก็บเื่นี้มาใส่ใจ จะอย่างไรก็ได้ พี่สามลู่ไม่อยู่บ้าน จึงไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น ส่วนบิดาลู่นั้นเห็นด้วยเป็อย่างยิ่ง นึกถึงว่าในอนาคตเขาจะต้องพักเรือนเดียวกับลูกชายและลูกสะใภ้เขาก็รู้สึกไม่มีอิสระอยู่บ้าง
ยามนี้ได้ส่งบุตรชายแยกออกไปพักที่อื่น แต่ก็อยู่ไม่ไกลกันมากนัก มีอะไรไม่ดีกันเล่า
ดังนั้นเสียงคัดค้านของพี่ใหญ่ลู่จึงถูกบิดาและน้องสาวเมินใส่
ั้แ่ก่อนปีใหม่หมู่บ้านเขาหมีก็สร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาไม่หยุดหย่อน คนในหมู่บ้านเรียกได้ว่าชินชาเสียแล้ว
สกุลลู่มีเทพธิดาแห่งโชคลาภอย่างเสี่ยวหมี่อยู่ จึงไม่ต้องกังวลเื่เงินทอง พวกเขาอยากสร้างสิ่งใดก็สร้างไปเถอะ
แต่ฝีมือของคนในหมู่บ้าน สร้างเรือนหลังคามุงฟางยังพอได้ แต่ให้สร้างเรือนสองชั้น ทั้งยังสร้างสองหลังอีก ต่อให้อยากทำก็คงทำไม่ไหว
เสี่ยวหมี่จึงไปสอบถามสกุลจง ซึ่งก็นับว่าถามได้ถูกคนแล้ว
พวกเขาเป็ช่างทำบ่อน้ำ เดินทางไปทำบ่อน้ำให้บ้านคนมีอันจะกินมามากมาย แน่นอนย่อมรู้จักช่างแขนงต่างๆ อยู่ไม่น้อย
หัวหน้าผู้รับเหมาจงถึงกับกลับบ้านไปด้วยตัวเอง วันรุ่งขึ้นก็พาชายสองคนที่อายุพอๆ กับเขามาที่หมู่บ้าน
เรือนพักสองหลังที่ปากทางเข้า หลังหนึ่งเป็ที่พักของสกุลจงและพวกพรานหนุ่มที่มาเฝ้าประตู ส่วนอีกหลังที่เหลือนั้นเผื่อไว้ให้แขกที่ไม่สะดวกจะพาเข้าไปในหมู่บ้าน
เสี่ยวหมี่และพี่ใหญ่ลู่มาพบช่างฝีมือสองคนนั้นพร้อมกัน อธิบายอย่างง่ายๆ ว่าบ้านของพวกเขาคิดจะสร้างเรือนขึ้นมาสองหลังเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างไร ชายชราทั้งสองมีนิสัยสงบนิ่งและสุขุม เมื่อได้ยินแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ตบอกรับประกันในทันที แต่สุมหัวขมวดคิ้วปรึกษากันอยู่นาน สุดท้ายจึงบอกราคาว่าเรือนหลังหนึ่งราคาสองร้อยตำลึง รวมค่าแรงและอุปกรณ์แล้ว
ง่ายๆ ก็คือ สกุลลู่แค่จ่ายเงินออกมาก็พอ สองเดือนหลังจากนั้นก็จะได้เห็นเรือนหลังใหม่สองหลัง ที่เหลือไม่ต้องสนใจอะไรอีก
ลู่เสี่ยวหมี่กลับส่ายหน้า ทำให้ชายชราทั้งสองสีหน้าไม่สู้ดีนัก หนึ่งในนั้นหันไปมองหัวหน้าจงคราหนึ่ง เห็นเขาไม่มีทีท่าจะพูดอะไร จึงเอ่ยปากว่า “แม่นางลู่ พวกเราลดราคาต่ำที่สุดแล้วนะขอรับ ไม่สามารถต่ำไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เรือนสองชั้น เสาบ้านหกต้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องหกสิบตำลึงแล้ว ยังไม่รวมกระเบื้อง หินปู โครงประตูไม้แกะสลัก...”
ไม่รอให้เขาพูดจบ เสี่ยวหมี่ก็ยิ้มน้อยๆ พลางโบกมือ “ท่านลุง ท่านเข้าใจผิดแล้ว เรือนหนึ่งหลังราคาสองร้อยตำลึง พวกเราสกุลลู่สามารถยอมรับได้ แต่ที่ข้าส่ายหน้า ข้าหมายถึงค่าแรงเ้าค่ะ ข้าคิดจะใช้ท่านลุงท่านอาในหมู่บ้านของข้าเอง พูดตามจริง คนข้างนอกมากมายต่างพากันจดจ้องหมู่บ้านของข้าอยู่ พวกเราจึงไม่ค่อยเชื่อใจคนนอกมากนัก พวกท่านทั้งสองแค่พาผู้ช่วยที่เชื่อใจได้มาก็พอ ส่วนแรงงานที่ใช้ทำงานทั่วไปนั้น คนบ้านข้าจะหามาเอง ท่านเห็นเป็อย่างไร?”
“อา เช่นนี้เองหรือ...” ชายชราทั้งสองคิดไม่ถึงว่าลู่เสี่ยวหมี่จะพูดเช่นนี้ พวกเขาอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบรับอย่างไร สุดท้ายก็เป็หัวหน้าจงที่บ่นสหายของตนเอง “ข้าบอกพวกเ้าแล้วอย่างไรว่า แม่นางลู่เป็คนใจกว้างมีน้ำใจ พวกเ้าก็ไม่เชื่อ”
ชายชราสองคนหน้าแดง รีบประสานมือคารวะ “เป็พวกเราที่เข้าใจแม่นางลู่ผิดไปแล้ว”
“ท่านลุงทั้งสองไม่ต้องเกรงใจเ้าค่ะ วันหน้าต้องรบกวนพวกท่านแล้ว นอกจากเื่ที่อธิบายไปเมื่อครู่แล้ว ที่นี่คนงานทุกคนจะกินข้าวร่วมกัน อาหารสามมื้อของพวกท่าน พวกเราสกุลลู่ก็จะรับผิดชอบเช่นกัน แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งคือคนที่พวกท่านนำเข้ามาจะออกจากหมู่บ้านนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ พวกท่านทำได้หรือไม่”
“ได้ ได้”
สกุลลู่จัดการเื่คนงานเอง ทั้งยังเลี้ยงอาหารพวกเขาอีก ชายชราทั้งสองก็พอใจเป็อย่างมาก
เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ชักช้า นางส่งตั๋วเงินมูลค่าสี่ร้อยตำลึงให้กับพวกเขา เมื่อคนทั้งสองลงนามในสัญญา และประทับนิ้วมือแล้ว เื่นี้ก็นับว่าถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ดอกป่ายเหอ(百合)ดอกลิลลี่ คำว่าป่ายเหอมีความหมายดี แปลว่ากลมเกลียวรักใคร่ร้อยปี
[2] เดือนตง(冬月)หมายถึงเดือนสิบเอ็ดตามปฏิทินจันทรคติ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้