เมื่อมองไปยังหญิงสาวที่หลับสนิทแล้ว จางเฉาิก็ค่อยๆ ยื่นมือออกไป ใบหน้าเรียบเนียนของนางทำให้เขารู้สึกอยากัั
เพราะการกระทำที่ทำอะไรไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้มือของเขาแตะลงบนใบหน้าของซูฉีเฉียว
และก็เหมือนดังที่จินตนาการไว้ ใบหน้าของผู้เป็ภรรยานวลเนียนและเรียบลื่นราวกับไข่ไก่
ซูฉีเฉียวขยับตัวเล็กน้อย ทำให้ยามนี้จางเฉาิยิ่งเหมือนโจรเข้าไปใหญ่
เมื่อเห็นว่าซูฉีเฉียวไม่ได้มีแววว่าจะลืมตาขึ้นมา เขาจึงได้โล่งใจ
‘หลังจากนี้ก็อาจจะมีน้องชายอีก…’
‘จางเฉาิ เ้าทำได้ดีมาก ข้าจะไม่แยกจากเ้า’
เมื่อนึกถึงคำพูดของผู้เป็ภรรยา ริมฝีปากของจางเฉาิก็เผยรอยยิ้มขึ้น สิ่งที่เขา้าไม่ได้สูงมากนัก ขอแค่กินอิ่ม มีภรรยานอนอยู่ข้างกายและตื่นมาขอให้ได้เห็นนางก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตนี้ แน่นอนว่าหากมีเ้าตัวน้อย บางครั้งก็โอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขน…เขาก็รู้สึกว่าชีวิตของเขาจะยิ่งดีมากขึ้น
หลังจากที่เกิดความคิดนี้ จางเฉาิก็ยิ่งอยากให้ขาของตนเองหายดีเร็วขึ้น
ด้วยเหตุนี้ วันรุ่งขึ้นที่ซูฉีเฉียวใช้สุราล้างาแให้กับจางเฉาิ เขาก็ไม่ต่อต้านอีก เพราะได้ฟังที่ภรรยาพูด าแที่เป็หนองของเขา เมื่อใช้สุราล้างออกก็จะช่วยหลีกเลี่ยงการติดเชื้อต่างๆ ได้
จางเฉาิรู้สึกว่าภรรยาของเขาในตอนนี้รู้เื่ราวต่างๆ มากมายจริงๆ
เมื่อถูกขับไล่ออกจากครอบครัว ซูฉีเฉียวไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตมืดมนขนาดนั้น ในทางกลับกันนางกลับรู้สึกว่าจะมีโอกาสที่ดีขึ้นในชีวิต
ครอบครัวไม่มีแปลงปลูกผัก เช่นนั้นก็ต้องขึ้นเขาไปเก็บผักป่า หาเห็ดป่า
จะว่าไปแล้วูเาลูกนี้ก็เป็ูเาธรรมดาทั่วไป ปกติแล้วไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นไปตัดฟืนและขึ้นไปเก็บของป่ามากินได้
ทว่าของป่าบนูเานั้นมีน้อย โชคดีที่ในยุคปัจจุบันนางเองก็ชอบปีนเขา ในครอบครัวของนางมีคุณป้าที่เชี่ยวชาญด้านผักป่า ทำให้พอจะรู้จักเื่เหล่านี้อยู่บ้าง และเพราะเหตุนี้เอง ซูฉีเฉียวจึงพอจะรู้จักพวกอาหารป่าอยู่ไม่น้อย
ทุกครั้งที่ขึ้นเขา นางก็สามารถเก็บผักป่าที่สามารถกินได้มา อย่างผักขึ้นฉ่ายหรือเผือกป่าเป็ต้น
หากไม่ใช่เพราะทักษะเฉพาะตัวที่มีไม่มาก มิเช่นนั้นซูฉีเฉียวก็คิดอยากจะเข้าป่าลึกอีกสักหน่อย แต่เพราะกลัวว่าจะเป็อันตราย ทุกครั้งนางจะหาของป่าอยู่ตามตีนเขาเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรระยะนี้ก็ต้องรอให้ขาของจางเฉาิหายดีก่อน พวกนางจึงจะสามารถย้ายไปยังสถานที่ล่าสัตว์ได้
เดินทางขึ้นเขาทุกวัน ทำให้ซูฉีเฉียวรู้ดีว่าด้านหน้าูเาไม่มีพวกน้ำมัน ด้านหลังูเาเป็สถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อย แต่ก็มีผลไม้ป่าและของป่าอื่นๆ มากมาย
สิ่งที่ทำให้นางดีใจก็คือ วันนี้นางได้เห็นลิ้นจี่ป่าอยู่เต็มไปหมดที่ด้านหลังูเา
เพียงแต่ว่าลิ้นจี่ที่นี่ไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนในยุคปัจจุบัน ซึ่งในยุคปัจจุบันนั้นได้ผ่านการดัดแปลงทางสายพันธุ์มากมาย ทำให้มีผลที่ใหญ่ขึ้น แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้ผลจะเล็กไปสักหน่อยและยังมีรสชาติที่ฝาดเล็กน้อย ทว่าสิ่งนี้ก็ถือเป็ของดี
เมื่อได้เห็นต้นลิ้นจี่ที่เรียงรายกันเป็แถว ซูฉีเฉียวก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าจะทำลิ้นจี่ในน้ำเชื่อม
หากทำสิ่งนี้สำเร็จก็จะสามารถเปลี่ยนเป็เงินได้ ยามนี้สิ่งที่ขาดแคลนในครอบครัวของนางก็คือเงิน หากมีผลไม้เชื่อมนี้…เช่นนั้นก็คงจะหาเงินได้มากมายแน่ๆ!
เมื่อคิดได้ก็ลงมือทำ ซูฉีเฉียวจึงปีนเขาขึ้นไปเก็บลิ้นจี่ในวันนั้น
ต้นไม้สูง ลิ้นจี่แผ่ขยายออกด้านข้าง ทำให้มีความลำบากในการเก็บเกี่ยวอยู่ไม่น้อย โชคดีที่อุปสรรคเอาชนะใจคนไม่ได้ นางมีร่างกายที่แข็งแรง หลังจากใช้กิ่งไม้ที่มีขอเกี่ยวกิ่งไม้ลงมา จึงสามารถเก็บลิ้นจี่มาได้เป็ที่เรียบร้อย
เพราะนางมาเพียงลำพังทำให้ค่อนข้างมีข้อจำกัดในด้านร่างกาย เมื่อมองเห็นลิ้นจี่ที่หล่นอยู่เต็มพื้นก็ทำให้ใจชื้น นางแกะชิมลูกหนึ่งก็พบว่ารสชาติของมันไม่เลวเลย
ซูฉีเฉียวเก็บลิ้นจี่แบกใส่จนเต็มหลัง ที่หลงเหลืออยู่อีกน้อยนิดนางก็ใช้เสื้อผ้าห่อและอุ้มลงเขามา ยามที่กลับมาถึงบ้านท้องฟ้าก็มืดแล้ว มองดูไกลๆ ก็เห็นชายหนุ่มที่อุ้มเด็กสองคนรีบลุกขึ้นยืนอยู่ตรงนั้น
ตอนที่เขามองเห็นนาง จางเฉาิก็รีบวิ่งเข้ามาหานางด้วยความกระตือรือร้น เขา้าจะเข้ามาช่วยแบกของบนหลังของนาง แต่ก็ถูกนางห้ามไว้และส่งลิ้นจี่ที่อุ้มอยู่ส่วนหนึ่งให้เขา “เอ้า ถือเข้าบ้านไป”
จางเฉาิก้มหน้าและเดินกลับเข้าบ้านไปด้วยฝีเท้าที่แข็งแรง ต้านิวมองเห็นนางก็รีบก้าวเข้าไปหาด้วยความอบอุ่น “ท่านแม่ ต้านิวจะช่วยเช็ดเหงื่อเ้าค่ะ”
เด็กน้อยที่มีท่าทีรู้เื่มองมายังซูฉีเฉียวด้วยความอ่อนหวานหยดย้อย อันที่จริงตอนแรกนางเองก็อยากล้มเลิก อยากหลีกหนีไปจากครอบครัวนี้ ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกยืนหยัดฝ่าฟันด้วยตนเอง แต่นางเคยทะลุมิติมาแล้ว นางรู้ว่าหญิงสาวที่ใช้ชีวิตในยุคโบราณด้วยตัวคนเดียวคิดจะยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคเองนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย…ไม่ได้ง่ายดายเหมือนกับสิ่งที่จินตนาการ
แน่นอนว่านั่นคือเหตุผล แต่เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเมื่อนางเห็นเด็กรู้ความอย่างต้านิวที่น่าเอ็นดูจนทำให้ใครๆ ต่างก็หลงรัก
และคนที่ได้ผ่านการทะลุมิติมาหนึ่งครั้งอย่างนาง ก็พอจะเข้าใจว่าบางครั้งสถานที่ที่เราทะลุมิติมาก็ไม่มีสาเหตุ ไม่มีที่มาที่ไป
ด้วยเหตุนี้นางจึงยอมรับชะตากรรมและอยู่ในครอบครัวนี้ต่อไป
จางเฉาิมองลิ้นจี่กองโต เขาไม่ค่อยจะเข้าใจว่าภรรยาของตนเองเก็บมาทำไมตั้งมากมาย
“ท่านแม่ ดื่มน้ำก่อน” ตอนที่ซูฉีเฉียวเข้ามาในบ้าน ต้านิวก็ยกน้ำหนึ่งถ้วยส่งให้ถึงมือนาง
ทุกครั้งที่เห็นท่านลุงบ้านใกล้ๆ กลับเรือนมา ภรรยาของเขาก็จะยกน้ำมาให้เสมอ ตอนนั้นท่านลุงยิ้มหัวเราะ ดังนั้นต้านิวจึงอยากจะให้ผู้เป็มารดามีความสุขเช่นกัน
“อืม ต้านิวรู้ความจริงๆ เลยนะ” ซูฉีเฉียวดื่มน้ำอึกๆ ก่อนจะเงยหน้ามองจางเฉาิที่ยังคงมองลิ้นจี่กองโตไม่หยุดด้วยท่าทีที่อยากจะพูดแต่ก็อึกอักไม่กล้าพูด
นางซับหยาดเหงื่อ “ลิ้นจี่พวกนี้ข้าจะนำมาใช้ ไม่แน่อาจจะเป็สิ่งที่ทำให้ข้านำมาแลกเป็เนื้อมากินได้ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย พวกเรากินข้าวกันก่อนเถิด อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยปอกเปลือก รอให้พรุ่งนี้ข้าทำออกมาเ้าก็จะรู้เอง”
ยามที่กำลังเตรียมภาชนะใส่ผลไม้เชื่อมนั้น ซูฉีเฉียวจึงตระหนักได้ว่าราคาน้ำตาลทรายขาวในยุคนี้แพงมาก อย่าว่าแต่น้ำตาลทรายขาวเลย แม้แต่น้ำตาลทรายแดงก็แพงจนน่าใ
เมื่อมาคิดดูแล้วในยุคสมัยนี้ยังไม่ได้เป็ยุคที่เจริญรุ่งเรืองมากนัก การที่มีน้ำตาลให้กินก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ว่ากันว่าน้ำตาลที่บริโภคกันอยู่ล้วนเป็น้ำตาลที่พวกพ่อค้านำเข้ามาจากนอกพื้นที่ทั้งนั้น
การขนส่งเข้ามาในแต่ละขั้นตอน แค่แวบเดียวราคาของเ่าั้ก็ต้องแพงขึ้น
ตอนที่เรียนเคมี โชคดีที่ซูฉีเฉียวเคยทำการทดลองเื่ของการกลั่นน้ำตาลทรายแดงให้เป็น้ำตาลทรายขาว ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้มีเครื่องมือที่กลั่นออกมาได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง แต่นางสามารถใช้วิธีที่ไม่ละเอียดมากนักทำออกมาได้
เมื่อคิดได้ว่าพรุ่งนี้นางต้องทำการกลั่นน้ำตาลทรายขาวก่อน ซูฉีเฉียวก็รู้สึกปวดหัวทันที แต่ว่าหากสามารถกลั่นน้ำตาลทรายขาวออกมาได้ก็คงจะมีหนทางการทำมาหากินถึงสองช่องทาง
อย่างแรกคือการกลั่นน้ำตาลทรายขาวออกมาขาย อย่างที่สองคือการทำผลไม้เชื่อมออกมาขาย นางเชื่อว่าในยุคที่น้ำเชื่อมไม่ได้มีมากอย่างในยุคนี้ อาหารแปรรูปน่าจะเป็สิ่งที่น่าสนใจ
เมื่อนึกถึงชีวิตที่มีลู่ทาง ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดของซูฉีเฉียวก็จางหายไป
ขณะจางเฉาิปอกเปลือกลิ้นจี่ เขาก็คอยเหลือบมองนางหลายต่อหลายครั้ง มองนางมีความสุขเมื่อได้นึกถึงเื่ราวต่างๆ ตัวเขาเองก็มีความสุขไปด้วย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซูฉีเฉียวเดินทางเข้าไปในตัวเมือง ไม่ยอมเสียบุตรก็จะมิได้หมาป่ามา[1] ซูฉีเฉียวจึงยอมทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อซื้อน้ำตาลทรายแดง
ใช้เงินไปทั้งหมดแต่ก็ซื้อน้ำตาลมาได้แค่ยี่สิบจินเท่านั้น ฉายชัดว่าตนเองนั้นขาดแคลนเงินอยู่มาก
“เถ้าแก่ น้ำตาลทรายขาวที่ร้านหนึ่งจิน ราคาเท่าใดหรือ” ตอนที่นางซื้อน้ำตาลทรายแดง ซูฉีเฉียวก็เอ่ยถามราคาของน้ำตาลทรายขาวด้วย
“น้ำตาลนี้น่ะหรือ พูดตามตรงนะแม่นาง ของสิ่งนี้มีราคาค่อนข้างแพง คนทั่วไปซื้อกินกันไม่ได้หรอก อันที่จริงพวกน้ำตาลที่ขาวเกลี้ยงเกลาสักหน่อยก็ล้วนเป็น้ำตาลที่จัดเตรียมเอาไว้ให้จวนที่มีฐานะ ข้าว่าแม่นางซื้อพวกน้ำตาลทรายแดงหยาบๆ ก็พอแล้ว ซื้อน้ำตาลทรายขาวหนึ่งจินสามารถซื้อน้ำตาลทรายแดงได้สามจินเชียวนะ เฮ้อ ของแพงๆ สำหรับคนร่ำรวย คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่มีปัญญาหรอก”
เถ้าแก่คนนั้นเป็คนตรงไปตรงมา เขาไม่ได้พยายามโน้มน้าวให้นางซื้อน้ำตาลทรายขาว ในทางกลับกันเขาก็ได้โน้มน้าวให้นางซื้อเพียงน้ำตาลแดงเท่านั้น
“ข้าเองก็รู้นะเถ้าแก่ ข้าก็แค่อยากจะถามดูเท่านั้น” ซูฉีเฉียวรู้ดีว่าเถ้าแก่มีเจตนาดีจึงได้ยิ้มตอบเขา
“เถ้าแก่ หากข้าทำน้ำตาลทรายขาวออกมาได้ ที่นี่รับซื้อหรือไม่” ซูฉีเฉียวเปลี่ยนเื่ เอ่ยถามถึงสิ่งที่นางกังวลที่สุด
“หา? เ้าน่ะหรือ” เถ้าแก่ใ พูดตามตรงการที่จะกลั่นน้ำตาลทรายขาวออกมานั้นเป็สิ่งที่ต้องใช้กรรมวิธีเฉพาะทาง คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้อย่างไรกัน เมื่อมองแม่นางตรงหน้าก็ดูเหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วๆ ไป นางจะทำได้หรือ
ไม่ใช่ว่าเถ้าแก่มองคนแค่ที่ภายนอก แต่เื่เช่นนี้เป็เื่ที่เกินความสามารถของคนทั่วไป
“ฮ่าๆ ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง พอดีในครอบครัวมีญาติที่ค้าขายอยู่นอกเมือง ได้ยินพวกเขาคุยกันว่ามีหนทางในการกลั่นน้ำตาลทรายขาว ข้าจึงอยากถามดู หากกลั่นออกมาได้จริงๆ ไม่รู้ว่าเถ้าแก่จะรับซื้อเอาไว้ไหม”
คำพูดนั้นทำให้เถ้าแก่รู้สึกว่าฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาหน่อย จึงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “หากเ้ากลั่นออกมาได้สีใกล้เคียงกับตรงนี้ ข้าก็จะคิดดูเื่รับซื้อ ส่วนเื่ราคาก็จะไม่เอาเปรียบพวกเ้าแน่นอน แต่จะไม่ได้แพงเหมือนกับข้างนอก”
ฟังมาถึงตรงนี้ซูฉีเฉียวก็รู้สึกโล่งใจ นางมองไปที่เ้าของร้านที่มีท่าทีเรียบง่าย ดวงตาคู่นั้นก็ดูเฉลียวฉลาด ดูท่าทีคนคนนี้คงเป็คนหัวไว มิน่าเล่าถึงได้มาทำการค้าขายได้
“อืม ข้าก็แค่ถามดู หากทำได้จริงๆ ข้าจะมาหาเถ้าแก่ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่แซ่ใดหรือ ให้เรียกขานท่านว่าอย่างไรดี”
“ข้าแซ่หวง หากเ้าทำสำเร็จ ก็มาหาเหล่าหวงได้เลย”
เมื่อพูดคุยกันจนเสร็จ ซูฉีเฉียวที่ซื้อน้ำตาลทรายแดงแล้วก็เดินทางกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น
ในวันเดียวกันนั้นจางเฉาิก็ปอกเปลือกลิ้นจี่เพื่อให้ซูฉีเฉียวทำการทดลอง
เมื่อก่อนนางเคยใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ในการทดลองกลั่นน้ำตาล ตอนนั้นนางใช้หม้อหุงต้มที่ตรวจวัดอุณหภูมิได้ แต่เวลานี้ทำได้เพียงแค่ใช้ความรู้สึกและประสบการณ์เท่านั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่ง่ายที่สุดคือการนำไปต้ม
ว่ากันว่าหาก้าทำน้ำตาลทรายแดงให้เป็น้ำตาลทรายขาว ก็จะต้องผ่านขั้นตอนการกลั่นอีกครั้ง
และสิ่งสำคัญที่สุดในการกลั่นนั้นจะต้องมีการคัดแยกที่แม่นยำ เมื่อกลั่นออกมาก็จะได้เป็น้ำตาลกรวด และในน้ำตาลกรวดเ่าั้ก็จะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่ไม่น้อย จะต้องทำการบดอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้กลายเป็น้ำตาลทรายขาว…
หลังจากที่สูญเสียน้ำตาลทรายแดงไปหลายจิน ซูฉีเฉียวที่มองเห็นผลึกใสอยู่เบื้องหน้าก็พูดอะไรไม่ออก ผลึกใสนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็น้ำตาลกรวด เพียงแต่ว่ายังดูแตกต่างกับน้ำตาลทรายขาวอยู่เล็กน้อย…
เมื่อมองน้ำตาลทรายแดงที่หลงเหลืออยู่ราวๆ สิบกว่าจิน นางก็รู้สึกสับสนขึ้นมา เงินที่ซื้อน้ำตาลเ่าั้คือเงินเก็บทั้งหมดในครอบครัวนาง หากล้มเหลว ผลที่ตามมาคือสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่า
“ภรรยา เ้าไม่ต้องกลัวหรอก หากหมดแล้วข้าก็จะคิดหาทางใหม่” จางเฉาิคอยเฝ้าดูนางอยู่ตลอด เขาเห็นนางแสดงท่าทีสับสนเช่นนี้ เหตุใดจะไม่รู้ว่านางกำลังกังวลเื่ความเป็อยู่ในอนาคตของครอบครัว
เขาไม่สามารถใช้มันสมองในการเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่ในฐานะแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งของผู้เป็ภรรยา นี่คือสิ่งที่เขาทำได้ ในทางกลับกันไม่ว่าภรรยาจะทำอะไร ตัวเขาก็จะสนับสนุนทั้งนั้น ต่อให้นางทำไปเพื่อความสนุกเขาก็จะสนับสนุนนางให้ถึงที่สุด
ซูฉีเฉียวเงยหน้ามองชายที่แสนซื่อตรงคนนี้ด้วยแววตาว่างเปล่า บ่นพึมพำออกมาด้วยท่าทีขมขื่นถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น “แต่ว่านี่เป็เงินเก็บก้อนสุดท้ายของพวกเรา หากไม่สำเร็จ แม้แต่น้ำตาลทรายแดงที่เหลือนั้นก็คงไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้นาน”
“ไม่ต้องกลัว น้ำตาลทรายแดงที่กลั่นออกมาเป็น้ำตาลกรวดได้ ข้าคิดว่านี่คือความก้าวหน้าครั้งใหญ่แล้ว อีกอย่างต่อให้ไม่สามารถกลั่นออกมาเป็น้ำตาลทรายขาวได้ แต่น้ำตาลกรวดพวกนี้ก็ต้องมีคน้ามันอย่างแน่นอน พวกคนมีเงินเ่าั้บางคนก็ชอบเอาน้ำตาลกรวดเช่นนี้ไปเป็ของกินเล่น ภรรยา เ้าอย่ากลัวเลย วางใจแล้วตั้งใจทำเถิด”
เมื่อเห็นแววตาของจางเฉาิที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ในใจของซูฉีเฉียวก็รู้สึกอบอุ่น มีบุรุษเช่นนี้คอยสนับสนุนอยู่เื้ัทำให้นางคิดว่าช่างเป็ความรู้สึกที่ไม่เลวเลยจริงๆ
—-------------------------------------------------------------
[1] ไม่ยอมเสียบุตรก็จะมิได้หมาป่ามา หมายถึง หากไม่ยอมเสี่ยงจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร มีความหมายคล้ายกับ ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือมาได้อย่างไร ในภาษาไทย