ทันทีที่ร่างอสูรกระดูกก่อตัวขึ้น ชายร่างเล็กก็ร้องะโด้วยความตื่นเต้น “พี่รอง ท่านดูสิ! ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
“ระวังตัวด้วย คู่ต่อสู้คือคนที่เอาชนะเงากวนอิมของเ้าได้” ชายร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นเดียวกับบุคลิกของเขา เห็นได้ชัดว่าเขามีประสบการณ์เหนือกว่าศิษย์น้องร่วมสำนักของตน
สำหรับลู่เต้าแล้ว ชายร่างสูงที่อยู่ด้านหลังต่างหากที่เขาต้องระวังเป็พิเศษ ยิ่งกว่าชายร่างเล็กที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่ตรงหน้าเสียอีก หรือแม้แต่อสูรกระดูกที่แยกเขี้ยวขู่คำรามนั่นก็ด้วย
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงไม่สนใจและปล่อยไปก่อน ต้องคิดหาวิธีรับมือกับอสูรกระดูกที่ถูกอัญเชิญออกมาจากศัสตราวุธิญญาตนนี้ให้ได้ก่อน
ชายร่างเล็กสะบัดแหวนบนนิ้วมือออกคำสั่ง “จับมันซะ! ข้าจะเอามันมาฝังหนอนกู่! ให้มันทรมารอยู่ไม่สู้ตาย!”
ทันใดนั้น อสูรกระดูกก็หันขวับมาหาลู่เต้า เบ้าตาสีขาวโพลนนั้นว่างเปล่า ปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมอ้ากว้าง จนมองทะลุเห็นโครงกระดูกภายในได้อย่างชัดเจน
“ครืนนน…” อสูรกระดูกส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอพร้อมกับเผยอปากอันน่าหวาดหวั่น
ชายร่างสูงยืนกอดอกพิงต้นไม้อยู่ด้านหลังพลางสังเกตลู่เต้าอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้ดูเผินๆ แล้วอีกฝ่ายจะดูมีช่องโหว่มากมาย แต่ก็นับว่าเป็ผู้ที่ทะลวงจุดชีพจรได้แล้ว คงจะประมาทไม่ได้
เขาคิดในใจ ‘ข้าจะรอดูว่าเ้ามีฝีมือแค่ไหน’
และแล้วอสูรกระดูกก็พุ่งเข้าหาลู่เต้าหวังจะกัดด้วยเขี้ยวอันแหลมคมทันที โชคดีที่เขาได้รับการฝึกฝนจากลู่คงมาเป็อย่างดี จึงมีประสบการณ์ในการรับมือกับสัตว์ร้ายอยู่บ้าง
ลู่เต้าก้มตัวลงต่ำอย่างรวดเร็ว หลบการโจมตีของอสูรกระดูกได้อย่างหวุดหวิด เมื่อร่างอสูรกระดูกกระแทก ร่างของมันก็แหลกเป็ชิ้นๆ แต่มันกลับคืนร่างดังเดิมได้ชั่วพริบตาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อสูรกระดูกของข้าไม่มีวันตาย!” ชายร่างเล็กกล่าวด้วยความลำพองใจ “ยอมแพ้เสีย!”
“ชิ!” ลู่เต้าเอามือปิดแผลที่แขนซ้ายด้วยความเ็ป บนแขนมีรอยแผลเหวอะหวะสามรอย เืไหลทะลักออกมาไม่หยุดหย่อน ในตอนที่เขาหลบเมื่อครู่คงถูกกรงเล็บแหลมคมของอสูรกระดูกข่วนเอา
“หึ ศัสตราวุธิญญาพวกเราเองก็มี” ไป๋เสียเอ่ยดูแคลน “เ้าหนู ให้มันได้เห็นถึงความร้ายกาจของขลุ่ยสะกดมารเสียหน่อย”
“จริงด้วย!” ลู่เต้านึกขึ้นได้ เขาจึงรีบชักขลุ่ยสะกดมารออกมาจากอกเสื้อ ยกขึ้นแนบริมฝีปาก ก่อนจะเป่าสุดแรง
เสียงขลุ่ยแหลมเสียดแทงแก้วหูก็ดังกึกก้องไปทั่วป่าทันใด ทำเอานกกาใโผบินกันกระเจิง ชายร่างสูงยังคงนิ่งเฉย ส่วนชายร่างเล็กนั้นมองซ้ายทีขวาที ตรวจสอบโดยรอบ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
อสูรกระดูกชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติแล้วไล่ตามลู่เต้าต่อไป เขาวิ่งหนีพลางร้องโวยวาย “ทำไมมันไม่ได้ผลเล่า”
ชายร่างเล็กใช้นิ้วก้อยแคะหูพลางบ่น “บ้าเอ๊ย ใหมด”
ไป๋เสียเอามือปิดหน้าไม่พูดอะไรออกมา พลันนึกในใจว่าเ้าเด็กโง่นี่คือคนที่บรรพบุรุษเลือกจริงๆ หรือ
แต่การที่เขาได้รับเปลวเพลิงสืบสานก็เป็เื่จริงที่มิอาจโต้แย้งได้ ต่อให้มาครุ่นคิดตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ ไม้สะกดมารเองก็เช่นเดียวกับเปลวเพลิงสืบสาน เป็สิ่งที่ไป๋เสียได้รับมาจากศพอสูรวิถีมารรุ่นก่อนที่อยู่ในซากโบราณรกร้าง
ตามบันทึกโบราณ กูซู ศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของบรรพบุรุษอสูรวิถีมาร หลังจากได้รับสืบทอดเจตนารมณ์ของอาจารย์แล้ว เขาก็มุ่งมั่นค้นหาวิธีการกำจัดเทพปีศาจร้างมาโดยตลอด ทว่าจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ไม่พบซึ่งวิธีการใดๆ
ก่อนที่กูซูจะสิ้นลมหายใจ เขาได้เลียนแบบอาจารย์ของตน หลอมรวมแก่นพลังในร่างกาย กลายเป็ศัสตราวุธิญญาที่มีความสามารถสองอย่าง นั่นก็คือ ไม้สะกดมาร เพื่อใช้ในการป้องกันตัวสำหรับผู้สืบทอดรุ่นหลัง สำหรับผู้สืบทอดวิถีมารแล้ว ความสำคัญของไม้สะกดมารเป็รองแค่เปลวเพลิงสืบสานเท่านั้น
อสูรกระดูกยังคงวิ่งไล่ล่าอย่างไม่ลดละ ไป๋เสียจึงแนะนำลู่เต้าอีกครั้ง “ตอนนี้เ้าใช้ขลุ่ยไม่ได้หรอก ใส่พลังปราณเข้าไป ทำให้มันกลับไปเป็ไม้ซะ!”
“ข้าลองแล้ว!” ลู่เต้าเอ่ยพลางหลบการโจมตีของอสูรกระดูก “แต่มันไม่ตอบสนองอะไรเลย!”
ไป๋เสียจึงใช้พลังตรวจสอบภายในร่างกายของลู่เต้า เมื่อร่างจิตของเขาเข้ามาในห้วงปราณของลู่เต้า ภาพเบื้องหน้าก็ทำให้เขาตกตะลึง “เป็ไปได้อย่างไร…”
ตามปกติแล้ว หลังจากทะลวงจุดชีพจรได้หลายวัน แม้แต่ผู้ที่มีพร์ต่ำทะลวงจุดชีพจรได้ ก็ควรจะมีพลังปราณก่อตัวขึ้นในห้วงปราณบ้างแล้ว เป็ไปไม่ได้ที่จะแห้งเหือดเหมือนห้วงปราณของลู่เต้า ไป๋เสียรีบหาข้อมูลในบันทึกโบราณที่ตนมีมากมายทันที
“ไม่มี…” ไป๋เสียกัดฟัน
แม้แต่ผู้รอบรู้เช่นเขาก็ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เช่นนั้นก็เกรงว่าคงไม่มีใครในโลกนี้ที่ให้คำอธิบายกับสถานการณ์ของลู่เต้าได้แล้ว
หมายความว่า นี่เป็สถานการณ์พิเศษที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย สายตาของไป๋เสียหยุดลงที่เมล็ดพันธุ์ปริศนาที่ฝังอยู่ในห้วงปราณ
“หรือเป็เพราะเมล็ดพันธุ์นี้” ไป๋เสียไม่มีเวลามากพอให้ครุ่นคิด “ไม่มีทางเลือก ข้าต้องเป็คนนำพาพลังปราณแทนแล้ว”
ไป๋เสียหลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกๆ แสงสีเขียวมรกตสว่างไสวสาดส่องออกมาจากร่างของเขาทันที
ในเวลานี้ ลู่เต้าถูกอสูรกระดูกต้อนจนจนมุมอยู่ใต้ต้นสนใหญ่โบราณต้นหนึ่ง ทั้งสองสบตากัน ลู่เต้าไม่กล้าละสายตาจากอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ส่วนชายร่างเล็กก็เริ่มหมดความอดทน เขาจึงสะบัดแหวนบนนิ้วมือออกคำสั่ง “พอได้แล้ว! จัดการมัน!”
อสูรกระดูกพุ่งเข้าหาลู่เต้าอย่างเร็วรวดตามคำสั่งของแหวน ขณะที่ภาพของร่างอสูรกระดูกขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในคลองจักษุของลู่เต้า ความรู้สึกร้อนผ่าวก็แล่นผ่านมือที่กำขลุ่ยเอาไว้ เขาหันมองดูขลุ่ยในมือ ก่อนจะลูบมันเบาๆ และขลุ่ยก็กลายเป็ไม้สีดำสนิทแท่งหนึ่ง
ลู่เต้าจับไม้สีดำในมือฟาดอสูรกระดูกที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เสียง “ปั่ก!” ดังก้อง ไม้สีดำฟาดเข้ากับกะโหลกศีรษะแข็งๆ อย่างจัง ถึงขั้นมีคลื่นพลังงานแผ่ออกมาจากจุดที่ปะทะ
ไม่นานก็มีเสียงแตกร้าวดังจากกะโหลกของอสูรกระดูก ก่อนที่รอยร้าวนั้นจะแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่าง สุดท้ายอสูรกระดูกก็แหลกสลายกลายเป็ผงธุลีปลิวหายไปต่อหน้าต่อตาลู่เต้า
“ฮ่า…” ลู่เต้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะมองชายร่างเล็กด้วยแววตาดูแคลน “อะไรกัน หมดแล้วหรือ แค่นี้เองอย่างนั้นสิ”
ใบหน้าของชายร่างเล็กแดงก่ำด้วยความโกรธ เส้นเืที่หน้าผากปูดโปน สิวอักเสบแตกออก เืไหลทะลักออกมาด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ร่างสั่นระริก เขายกแหวนสีแดงในมือขึ้นด้วยใบหน้าเคียดแค้น “ต่อไป…อย่าคิดว่าเ้าจะได้ตายอย่างสงบสุขอีก! อัญเชิญกระดูก!”
ห้วงปราณของชายร่างเล็กใกล้จะเหือดแห้งแล้ว ดังนั้น ในการโจมตีครั้งต่อไปเขาจึงเตรียมจะเอาชนะลู่เต้าให้ได้ ท่ามกลางแสงสีแดงแปลกประหลาด ผงกระดูกที่ปลิวว่อนก็ไหลเข้าหาชายร่างเล็กราวกับสายนที สุดท้ายร่างกายของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะโครงกระดูกสีขาวโพลน เหลือเพียงดวงตาที่ลืมโพลงเท่านั้น
นี่เป็วิธีการใช้อีกรูปแบบหนึ่งของทักษะอัญเชิญกระดูก เมื่อเทียบกับการใช้สัตว์อสูรกระดูกโจมตีแล้ว ทักษะนี้จะเน้นไปที่การป้องกันมากกว่า จากนั้นชายร่างเล็กก็ลอบชักมีดกระดูกอาบยาพิษออกมา
ชายร่างเล็กคิดจะใช้ชุดเกราะโครงกระดูกต้านทานการโจมตีจากไม้สะกดมาร จากนั้นใช้มีดกระดูกอาบยาพิษโจมตีลู่เต้าตอนเผลอ
ขอเพียงแค่ครั้งเดียว แม้เพียงแค่กรีดเป็แผลตื้นๆ ยาพิษบนมีดก็เพียงพอที่จะทำให้ลู่เต้าขยับเขยื้อนไม่ได้ไปสามวันสามคืนแล้ว
ในขณะที่ชายร่างเล็กคิดแผนการอันแยบยล ไป๋เสียก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเมล็ดพันธุ์ที่มาจากเปลวเพลิงสืบสานกำลังดูดซับพลังปราณในร่างของเขาอย่างตะกละตะกลาม
“แย่แล้ว!” สีหน้าไป๋เสียเปลี่ยนไปทันที
ตอนนี้ไป๋เสียมีพลังปราณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากถูกเมล็ดพันธุ์ดูดซับไปจนหมด จิติญญาของเขาก็จะสลายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก
เพียงชั่วพริบตาเดียว พลังปราณในร่างกายของไป๋เสียก็ถูกดูดออกไปถึงแปดส่วน เขาจึงรีบบังคับให้ร่างจิตออกมาจากห้วงปราณในเสี้ยววิ
ลู่เต้ากำลังเผชิญหน้ากับชายร่างเล็กที่สวมชุดเกราะโครงกระดูกอยู่ ระหว่างนั้น ไม้สะกดมารในมือของลู่เต้าก็กลับกลายเป็ขลุ่ยดังเดิม เพราะขาดพลังปราณหล่อเลี้ยง
ก่อนที่ลู่เต้าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไป๋เสียก็เข้าควบคุมร่างกายของเขาทันที
“ไป๋เสีย! เ้า…”
“หุบปาก! ไม่มีเวลาคุยไร้สาระกับเ้าแล้ว” ลู่เต้าที่ถูกไป๋เสียควบคุมร่าง แววตาพลันแฝงไปด้วยความโเี้ทันที ระหว่างคิ้วมีกลิ่นอายชั่วร้ายเพิ่มขึ้นมา
เขามองไปรอบๆ ก่อนจะสบถออกมา “ชิ บัดซบ! หนีไปแล้วจริงๆ ด้วย”
ลู่เต้าพบว่าชายร่างสูงที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เฉยๆ หายไปแล้ว!
