บทที่ 6
ตัวของหลินห่าวซวนเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงความหงุดหงิดและความไม่พอใจของถานติงหลังจากที่ได้อ่านนิยายที่เขาส่งไป เพราะตัวเขาได้ตอกบัตรออกจากสำนักพิมพ์ทันทีเมื่อนาฬิกาในห้องชี้ตรงเวลาเลิกงาน แถมตัวของหลินห่าวซวนเองก็รีบปั่นจักรยานคู่ใจฝ่ากลุ่มรถประจำทางและเหล่าคนหนุ่มสาวที่เลิกงานตรงไปที่พระราชวังเทียนเล่อ 1 ในสถานที่สำคัญของเมืองเป่ยที่ก่อสร้างใน่สมัยโบราณ
“โห่ !ใหญ่สมกับที่ตัวนิยายบอกไว้เลย กะด้วยสายตาเปล่า ๆ น่าจะกินพื้นที่เป็ร้อย ๆ ไร่ได้เลยนะเนี่ย สมแล้วที่เป็สถานที่มีชื่อเสียงของเมือง ”
หลินห่าวซวนเอ่ยออกมาพร้อมกับเงยหน้ามองประตูขนาดใหญ่และป้ายที่เขียนอยู่เหนือศีรษะว่า ‘เทียนอัน ’ ซึ่งเป็ทางเข้าออกของพระราชวังแห่งนี้ ก่อนที่จะลดศีรษะลงมาแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่ากลุ่มคนที่เข้ามาเที่ยวชมมันไม่น้อยเลยสักนิด
แม้ว่านโยบายเปิดประเทศของรัฐัจะเพิ่งประกาศและมีผลบังคับใช้ได้ไม่เกิน 5 ปี แต่ด้วยความใหญ่ของประเทศและพื้นที่ในหลาย ๆ เมืองยังคงว่างเปล่าก็ยังคงดึงดูดให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนกันอย่างไม่ขาด และในวันว่าง ๆ ของเหล่านักธุรกิจพวกนั้นก็คงหนีไม่พ้นการเยี่ยมชมสถานที่ขึ้นชื่อตามเมืองต่าง ๆ ของรัฐั ซึ่งพระราชเทียนเล่อเองก็เป็ 1 ในสถานที่ที่ว่านั้น
และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้ภาพที่หลินห่าวซวนเห็นกลุ่มคนที่เข้าไปเที่ยวชมมักจะเป็คนตะวันตกหัวทองและคนต่างเมืองหัวดำเดินเข้าออกประตูวังตรงหน้าเป็ว่าเล่น
แน่นอนว่าสาเหตุที่หลินห่าวซวนรีบมาที่แห่งนี้นั้น ไม่ได้เป็เพราะว่าตัวเขา้าที่จะมาท่องเที่ยวหรือซึมซับบรรยากาศความยิ่งใหญ่ของตัวมหาราชวังที่ถูกถอดแบบจากพระราชวังต้องห้าม (1) ในชีวิตก่อน แต่เป็เพราะว่าพระราชวังเทียนเล่อนั้น เป็ที่ทำงานของซ่งหยูเยียน ภรรยาในนามที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลหลินเพราะแผนการของใครบางคน
เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ตัวของหลินห่าวซวนมาในครั้งนี้คือ การรับภรรยาในนามผู้นี้กลับบ้านและหาทางสร้างความสัมพันธ์ดี ๆ เพื่อเลี่ยงโชคชะตาอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในนิยายต้นฉบับ
ถึงแม้ว่าในเนื้อหาของนิยายในตอนแรก ๆ จะเขียนบอกไว้ถึงสาเหตุที่ซ่งหยูเยียนที่เป็ตัวละครรองต้องมาแต่งงานกับหลินห่าวซวน จะเป็เพราะว่าบ้านของคนทั้งคู่นั้นหมั้นหมายกันไว้และหลินห่าวซวนเองเป็ฝ่ายล่วงเกินซ่งหยูเยียนก่อน ทำให้เกิดการแต่งงานขึ้นมา แต่ในความเป็จริงแล้วมันไม่ได้ใกล้เคียงแม้แต่น้อย
ในคืนนั้นหลินห่าวซวนที่เพิ่งข้ามมาอยู่ในโลกนี้และได้ผสานความทรงจำกับหลินห่าวซวนในโลกนี้ ตัวเขาก็ไม่เคยมีความทรงจำว่าได้ล่วงเกินหลานสาวตระกูลซ่งคนนี้ มีเพียงแค่ความเมาและคราบอาเจียนที่เปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้าเท่านั้น แถมยังหลับคาห้องน้ำไม่ได้นอนบนเตียงดี ๆ ด้วยซ้ำ ส่วนเหตุการณ์ที่ซ่งหยูเยียนเข้ามาอยู่ในห้องกับเขาได้อย่างไรนั้น ไม่ได้อยู่ในหัวของเขาแม้แต่น้อย
แต่ความจริงจะเป็อย่างไรนั้น หลินห่าวซวนไม่อาจจะรู้ได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่อ่านนิยายจนจบก็ข้ามมาอยู่ในโลกนิยายนี้แล้ว บางทีบทสรุปที่แท้จริงอาจจะอยู่ในเนื้อหาหลังจากนี้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ คือการตายของตัวเขาที่จะเกิดขึ้นใน่แรกของนิยาย ดังนั้นแล้วการสืบหาความจริงนั้นต้องพักเอาไว้ก่อน และหาทางที่จะเปลี่ยนเส้นเื่เดิมเพื่อเอาตัวรอดจากความตายที่จะเกิดขึ้น
และขั้นแรกของการเปลี่ยนแปลงที่ว่าก็คือการปรับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและภรรยาอย่างซ่งหยูเยียน
“หยูเยียน เธอจะไม่ไปกับฉันจริง ๆ เหรอ ?วันนี้อุตส่าห์ได้เลิกเร็วทั้งที เธอจะรีบกลับบ้านไปทำไมกัน ?”
ขณะที่หลินห่าวซวนกำลังจมลงอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงที่เต็มไปด้วยความแง่งอนและโน้มน้าวก็ได้ดังขึ้นมา ทำให้ตัวของเขาได้สติขึ้นมาและหันไปมองทางต้นเสียงที่ว่า ก็พบว่าช่องทางพิเศษตรงหน้าประตูวังเก่าที่มีไว้สำหรับเ้าหน้าที่ดูแลสมบัติแห่งชาติแห่งนี้ ได้มีผู้หญิงสองคนที่อยู่ในชุดกึ่งทางการตามแฟชั่นสมัยนิยมอย่างกระโปรงลายสก็อตกับเสื้อแขนยาว กำลังยืนพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“เธอจะให้ฉันไปด้วยทำไมกัน ไม่ใช่ว่าเธอนัดกับสือหย่งเอาไว้แล้วงั้นเหรอ ?เธอจะให้ฉันกินอาหารหมา (2) ที่พวกเธอป้อนให้ทำไมกัน ?ฉันไม่ไปหรอก ”
ซ่งหยูเยียนกล่าวตอบกับเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงที่ดูทีเล่นทีจริง แววตาและใบหน้าแสดงให้ถึงความหยอกล้อและความสนุกสนาน เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายกลับไม่เล่นด้วยและกล่าวกลับไปว่า
“เธอพูดอะไรของเธอกัน !?ฉันกับสือหย่งเราเป็เพื่อนกันั้แ่เด็ก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่พิเศษอะไรกันสักหน่อย จะไปแจกอาหารหมาให้เธอกินได้ยังไงกัน อีกอย่างเราสองคนก็ไม่ได้เดินเที่ยวด้วยกันนานแล้ว ไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านกันดีกว่า ”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวยังคงโน้มน้าวและปฏิเสธข่าวลือในที่ทำงานอย่างจริงจัง มุมปากของซ่งหยูเยียนก็เผยให้ถึงรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา ก่อนที่จะส่ายศีรษะเบา ๆ และกำลังจะเอ่ยปัดการชักชวนของคนตรงหน้า แต่สายตาของเธอกับมองเห็นหลินห่าวซวนที่จูงจักรยานคันใหญ่ตรงมาที่เธออยู่
“คุณหลิน คุณมาทำอะไรที่นี้ ?”
“คุณซ่ง ผมมารับคุณแล้ว ”
เสียงของชายหญิงได้ดังขึ้นมาพร้อมกัน เพียงแต่ว่าความหมายและน้ำเสียงกับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ด้านของซ่งหยูเยียนนั้นทั้งสีหน้าและแววตากลับแสดงความสงสัยพร้อมทั้งความใ ส่วนทางด้านหลินห่าวซวนกับมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ราวกับว่านี่เป็เื่ปกติ
“พอดีว่าวันนี้ผมเลิกงานเร็ว ก็เลยจะมารอรับคุณกลับบ้านพร้อมกัน ไม่คิดว่าคุณจะเลิกเวลาเดียวกันกับผม งั้นเรากลับบ้านกันเลยดีไหมครับ ”
หลินห่าวซวนที่เห็นสีหน้าที่งุนงงของซ่งหยูเยียนกล่าวออกมาเบา ๆ ทำให้ซ่งหยูเยียนที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าตอบรับแสดงความรับรู้ แต่แววตายังคงมีความตกตะลึงเหลืออยู่ เมื่อคิดถึงชื่อเสียงเื่ความเสเพลของอีกฝ่าย การที่เวลานี้ไม่ได้ไปอยู่หน้าไนต์คลับในเวลานี้ถือเป็เื่ที่แปลกประหลาดเป็อย่างมาก
ลองคิดดู คนที่หมดเวลาทั้งคืนไปกับน้ำเมาและการพนันจนกลายเป็เื่นินทาของคนอื่น จู่ ๆ มาโผล่ตรงหน้าเธอหลังเวลาเลิกงาน เื่นี้มันประหลาดเกินไปแล้ว
“เดี๋ยว ๆ ขอเวลาให้ฉันหน่อยนะ ! หยูเยียน พี่ชายคนนี้คือ...?”
เพื่อนสาวของซ่งหยูเยียนที่ยืนระหว่างคนทั้งสองคนได้เอ่ยขัดขึ้นมา ทำให้ซ่งหยูเยียนที่กำลังเหม่อลอยไปกับความคิดได้สติ และเมื่อสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความสนใจของเพื่อนสนิทที่ต่อหลินห่าวซวน ซ่งหยูเยียนก็กำลังจะเอ่ยแนะนำตัว เพียงแต่ว่าหลินห่าวซวนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นกลับเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า
“สวัสดีครับ ผมหลินห่าวซวนครับ เป็เพื่อนของหยูเยียนครับ ไม่ทราบคุณคือ...?”
หลินห่าวซวนกล่าวออกมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมกับยื่นมือออกมาหนึ่งข้างเป็การทักทายหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าตามแบบฉบับตะวันตก
แน่นอนว่าคำแนะนำตัวเองของหลินห่าวซวนนั้น ทำให้ซ่งหยูเยียนแอบถอนหายใจออกมา เพราะว่าในตอนแรกเธอคิดว่าอีกฝ่ายจะแนะนำตัวเองว่าเป็สามีของเธอ เธอจึงส่งสายตาเตือนเป็นัยให้หลินห่าวซวน แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือไม่
โชคดีที่เหมือนว่าหลินห่าวซวนจะเข้าใจในสิ่งที่เธอจะสื่อ จึงได้บอกว่าเธอกับเขานั้นเป็แค่เพื่อนกันเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ !ฉันเฉินยวี่ เป็เพื่อนสนิทของหยูเยียนั้แ่สมัยเรียนมัธยมปลาย คุณหลิน !ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ”
เฉินยวี่หรือหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างซ่งหยูเยียนเอ่ยออกมาพร้อมกับยื่นมือมาจับมือของหลินห่าวซวน ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า
“พอดีเลยที่คุณหลินมาที่นี้ พอดีว่าฉันกำลังชวนหยูเยียนออกไปหาอะไรกินที่ย่านเมืองเก่า คุณจะไปด้วยกันไหมค่ะ? หยูเยียนเอาแต่บอกปัดไปมา ถ้าคุณตกลงว่าไปด้วยหยูเยียนจะไม่เลิกปฏิเสธฉันสักที ”
เมื่อได้ยินคำถามของเฉินยวี่ คิ้วของหลินห่าวซวนก็เลิกขึ้นมาเล็กน้อยและหันไปมองซ่งหยูเยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่ฝ่ายที่ถูกมองจะก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า
“เธออย่าไปกดดันเขามากนักสิ !ไม่ใช่ฉันบอกเธอไปแล้วว่าฉันไม่ว่าง แล้วก็ห่าวซวนก็มารับฉันไปทำธุระต่อ ดังนั้นเขาก็ไม่ไปกับเธอหรอก ”
เฉินยวี่ที่ได้ยินคำพูดของซ่งหยูเยียนก็อ้าปากออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมาป้องปากของตัวเอง ก่อนที่จะมองซ่งหยูเยียนกับหลินห่าวซวนสลับไปมา จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยอกเย้าว่า
“หยูเยียนเธอเก็บความลับได้เก่งเกินไปแล้ว ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดและเห็นสายตาของเฉินยวี่ที่เต็มไปด้วยเลศนัยมองมาที่ตัวเอง ซ่งหยูเยียนก็รู้สึกว่าในหัวของเพื่อนสนิทคนนี้กำลังคิดเื่ที่เข้าใจผิดอย่างแน่นอน แต่ไม่ทันที่เธอจะได้แก้ต่างออกมา เฉินยวี่ก็ได้ชิงกล่าวออกมาก่อน
“ฉันเข้าใจแล้ว ๆ งั้นฉันไม่กวนเธอทั้งคู่แล้ว คุณหลิน ฉันฝากดูแลเพื่อนของฉันด้วยนะคะ พอดีว่าตอนเที่ยง คุณหนูซ่งของเราไม่ทานข้าวเที่ยง เพราะมัวเอาแต่ทำงานให้เสร็จ ฉันฝากคุณพาเพื่อนของฉันไปเติมพลังก่อนกลับบ้านด้วยนะคะ ”
เฉินยวี่ที่พูดจบก็เดินจากไปในทันทีทิ้งไว้แค่ชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างกันและเมื่อเฉินยวี่จากไป ความเงียบก็ได้ปกคลุมทั้งสองคนขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนที่หลินห่าวซวนจะเอ่ยออกมาว่า
“เพื่อนคุณนี่อารมณ์ดีจังเลยนะครับ แถมยังอัธยาศัยดีอีกต่างหาก ”
เมื่อพูดจบหลินห่าวซวนก็รู้สึกว่าตัวเองเป็คนโง่ขึ้นมาในทันที เพราะคำพูดนี้ต่อให้เขาไม่เป็คนพูด แต่ซ่งหยูเยียนที่เป็เพื่อนกับอีกฝ่ายมาั้แ่มัธยมย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
เื่มีเป็ร้อยเื่ที่จะพูด แต่กลับพูดในเื่ที่อีกฝ่ายรู้ดีที่สุด
เฮ้อ !ประสบการณ์ชีวิตทั้งสองชีวิตนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยโว้ย
เพียงแต่ว่าเมื่อพูดออกไปแล้วก็ไม่สามารถกลืนคำกลับมาได้ ทำให้หลินห่าวซวนรู้สึกว่าบรรยากาศในตอนนี้ยิ่งอึดอัดเข้าไปอีก
“เธอเป็คนชอบเข้าสังคมและชอบที่จะอยู่กับผู้คนเยอะ ๆ เป็นิสัยของเธอมาั้แ่เด็ก ๆ แล้ว ”
ซ่งหยูเยียนที่ไม่รู้ความคิดในหัวของหลินห่าวซวนได้เอ่ยตอบกลับมา ก่อนที่จะหันมามองคู่สนทนาของตนแล้วกล่าวถามว่า
“จริงสิ !คุณมาทำอะไรแถวนี้งั้นเหรอ? คุณยังไม่ตอบฉันเลย ถ้าคุณปู่กับคุณย่าถามฉันจะได้พวกท่านได้ถูก ”
เมื่อได้ยินคำถามของซ่งหยูเยียน หลินห่าวซวนก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตบเบาะจักรยานที่จอดอยู่ข้าง ๆ แล้วกล่าวตอบกลับไปว่า
“เื่ปู่กับย่าคุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ยังไงพวกท่านก็ไม่ถามอะไรอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าผมบอกคุณไปแล้วเหรอว่าผมมารับคุณ เพราะงั้นตอนนี้เรากลับบ้านกัน ”
.................................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้