“ปีหน้า? แม่ ท่านบอกว่ารออีกสัก่เราจะไปเมืองหลวงมิใช่หรือ? ถึงอย่างไรเซิ่งเอ๋อร์เรียน ก็ไม่ได้ใช้เงินสิบตำลึงในคราวเดียวเสียหน่อย ให้ข้าเอาไปซื้อเครื่องประดับผมสักสองอันเถิด”
พูดถึงตรงนี้ ปากของหลิวเสี่ยวหลันก็ชี้ไปทางห้องทิศตะวันตก ความหมายก็คือหากตนเองไม่มีเครื่องประดับผมที่ดี คุณชายที่อยู่ห้องข้างๆ อาจดูถูกตนเองได้
หลิวฉีซื่อคิดเกี่ยวกับเื่นี้แล้วพบว่าบุตรสาวพูดถูก นางกําลังจะเห็นด้วยแต่กลับมีเสียงหัวเราะแหลมปรี๊ดเสียดหูดังจากด้านข้าง
เสียงนั้นทำให้หัวใจคนฟังรู้สึกหงุดหงิดและไม่สบายใจยิ่งนัก
สายตาของทุกคนถูกเสียงหัวเราะที่น่าเกลียดนี้ดึงความสนใจ หลิวซุนซื่อกำลังถือผ้าเช็ดหน้าหัวเราะเยือกเย็น เพียงแต่รอยยิ้มกลับแลดูน่าหวาดกลัว
“ท่านแม่ เื่ยกเงินให้พี่ใหญ่สิบตำลึงเงิน สะใภ้ไม่ยินยอม”
อารมณ์ดีงามของหลิวฉีซื่อราวกับถูกคนใช้กรรไกรตัดฉับอย่างเต็มแรง จึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างโกรธเคือง พร้อมกับด่า “เ้าอยากตายหรือ? ไม่มีใครห้ามหรอกนะ เซิ่งเอ๋อร์กำลังเรียนได้ดี ต่อไปก็มีอนาคต ถึงตอนนั้นอาจจะช่วยอุ้มชูจือเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ได้อีกแรงไม่ใช่หรือ? ทั้งครอบครัวช่วยกันดึงขึ้น ข้างบนมีอาสี่กับเซิ่งเอ๋อร์คอยรับมือ จือเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ก็จะได้มีอนาคตที่ราบรื่น”
เมื่อฟังคำพูดนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก หลิวเต้าเซียงนั่งนิ่งเงียบอยู่ด้านข้างโดยไม่ส่งเสียง แล้วมองดูแม่สามีกับลูกสะใภ้ทะเลาะกัน
หลิวซุนซื่อนั้นไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่ายๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวฉีซื่อก็ตอบโต้กลับทันที “ท่านแม่ ดูพูดเข้าสิ ราวกับว่าทุกอย่างจะเป็ไปตามนั้น เื่ในอนาคตใครเล่าจะล่วงรู้ จือเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ของเราน่ะเคยได้เจออาจารย์ต่อนห้าแล้ว อันดับรายชื่อต้นๆ ราวกับม้าที่ต่อแถวเดินเบียดเสียดกันบนขอนไม้ เพื่อข้ามแม่น้ำก็ไม่ปาน พวกข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทว่า อาจารย์นั้นบอกว่าการสอบเป็เื่ยากยิ่ง”
ตอนที่นางพูดเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่เห็นสีหน้าของหลิวฉีซื่อที่ดำคร่ำเครียดเพียงใด แต่หลิวซุนซื่อหมายใจไว้แล้ววา วันนี้ต้องตอกตะปูลงแผ่นเหล็ก แล้วล้วงเงินจากตัวหลิวฉีซื่อให้ได้
“ดังนั้น ท่านแม่ต้องหัดยุติธรรมบ้าง ในเมื่อยกเงินสิบตำลึงเงินให้บ้านพี่ใหญ่ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องให้ครอบครัวฝั่งข้าสิบตำลึงเงิน หากว่าปีนี้บ้านนั้นจะคลอดลูกเพิ่ม บ้านเราเป่าเอ๋อร์ก็ต้องเริ่มเข้าเรียน ในบ้านยังมีอาสี่ร่ำเรียน แม่ก็รู้ว่าค่าใช้จ่ายมากมายเพียงใด”
“ไร้สาระ มารดาเถิด นางคนโง่ นี่เ้ากำลังแช่งหลานกับอาสี่หรือ?” หลิวฉีซื่อเบี่ยงเบนหัวข้อทันใด ชี้หน้าด่าหลิวซุนซื่อ
น่าเสียดาย การต่อกรบ้านๆ ของหลิวฉีซื่อ สำหรับหลิวซุนซื่อที่หน้าหนานั้นแทบใช้ไม่ได้ผล
อีกฝั่งนั้นไร้ซึ่งยางอาย ไม่ได้ใส่ใจเื่นี้แม้แต่น้อย
ขอบตาของหลิวซุนซื่อแดงก่ำ แล้วตอบ “ท่านแม่ สะใภ้ไม่ได้กล่าวเช่นนั้น ไม่ว่าท่านแม่จะพูดเช่นไร ให้บ้านพี่ใหญ่เท่าใด ก็ต้องให้บ้านคนรองเท่านั้น”
จริงๆ แล้วนาง้าใช้โอกาสนี้ก่อเื่ จะได้กอบโกยเงินเข้าบ้านตนเองบ้าง เพียงแต่หลิวฉีซื่อไม่เอ่ยถึงเื่สินสอดของหลิววั่งกุ้ย นางเองก็ไม่มีหลักฐาน เพราะนี่เป็เื่ที่แอบฟังมา เกิดพูดออกมา จะถูกหลิวฉีซื่อทุบตีได้ นางไม่อยากทำอะไรเปล่าประโยชน์
“ฝันไปเถิด นางคนไม่รักดี กินเป็อย่างเดียว บ้านเราได้เ้ามาเป็สะใภ้ก็เหมือนเลี้ยงหมู วันๆ ทำเป็แต่ใช้เงิน ช้าเร็วคงต้องถูกเ้าผลาญไปหมด แล้วยังมีอีก จิตใจของเ้าทำด้วยอะไร เหตุใดจึงได้ใจดำเช่นนี้”
หลิวซุนซื่อไม่ใช่จางกุ้ยฮัวที่ซื่อสัตย์และยอมให้รังแกได้ จึงเปิดปากโต้ตอบกลับทันใด “ท่านแม่ ใครกันแน่ที่ใจดำ ข้าพูดผิดตรงไหน แม่ดูแค่อาเล็กขอปิ่นปักผม ท่านก็ซื้อให้ แล้วเช่นไร จื้อเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ของเราเรียนไม่เป็หรือ? อีกอย่าง หากให้สะใภ้พูด อาเล็กเองก็เป็ตัวล้างผลาญ แม่ให้นางมากมายเช่นนี้ ต่อไปก็ตกเป็ผลประโยชน์แก่คนแซ่อื่น จื้อเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ อย่างไรก็เป็ผู้สืบทอดของตระกูลหลิว”
คำพูดนี้ค่อนข้างหนักไปหน่อย ความหมายก็คือหลิวเสี่ยวหลันคือตัวแย่งทรัพย์สมบัติของตระกูล?
กฎหมายของราชวงศ์โจวกําหนดว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ของตระกูลควรเป็มรดกให้แก่ลูกหลานที่สืบทอดตระกูลเท่านั้น
ใบหน้าชราของหลิวฉีซื่อโกรธจนเขียวม่วงไปหมด สายตาเคียดแค้นชิงชังของนางมองไปทางหลิวซุนซื่อ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
นางทำได้เพียงดุว่า “คนหน้าไม่อายเช่นเ้า กิจการของครอบครัวตระกูลหลิวขึ้นอยู่กับข้า เ้าคือนกอะไร? ข้าอยากให้ใครก็ให้”
ปากเล็กๆ ของหลิวซุนซื่อเปิดออก และหัวเราะประชดประชันว่า “ตกลง แม่สามารถทําอะไรก็ได้ที่้า อย่างมาก ต่อไปก็ให้อาเล็กเลี้ยงดูท่านแม่ยามแก่เฒ่าก็แล้วกัน”
“จะเป็ไปได้อย่างไร!” ปฏิกิริยาแรกของหลิวเสี่ยวหลันคือไม่เห็นด้วย หากนางทำเช่นนั้นจริงคงต้องถูกบ้านสามีโขกสับเป็แน่
หลิวฉีซื่อโกรธจนแทบหงายหลัง ตบโต๊ะทันใดแล้วด่า “บ้านตระกูลหลิวของข้า คนไหนบ้างที่ไม่ไร้ยางอาย เหตุใดจึงได้สะใภ้ที่ไม่มีใครสั่งใครสอนเช่นนี้”
“ท่านแม่ ท่านออกนอกเื่ไปไกลแล้ว ตกลงปีนี้จะยกสิบตำลึงเงินให้ครอบครัวฝั่งเราหรือไม่?” หลิวซุนซื่อแน่วแน่กับความคิดเช่นนี้ต่อไป เห็นทีต้องหาโอกาสเสนอเื่แยกบ้านกับสามีของตนเสียแล้ว
การแสดงออกของหลิวฉีซื่อดูโศกเศร้าราวกับถูกตีกรอบ มือที่วางอยู่บนขานั้นไม่ขยับ และนั่งนิ่งโดยตั้งสติไม่ได้
การต่อสู่แย่งชิงในบ้านไม่ควรเป็เช่นนี้ สะใภ้รอง เ้าทำไม่ถูก เหตุใดจึงไม่ทำตามที่ควรจะเป็
หลิวซุนซื่อไม่สนใจอะไรมากนัก นางคิดว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดตอนนี้คือการให้ได้มาซึ่งสิบตำลึงเงินในมือ
“เ้า้าเงินสิบตำลึงอย่างนั้นหรือ?” เสียงของหลิวฉีซื่อดังขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียดหูจนทะลุหลังคาบ้าน ทำเอาแมลงสาบที่อยู่ตรงหลังคาถึงกับสะดุ้ง
“ท่านแม่!” หลิวเสี่ยวหลันเอื้อมมือออกไปและดึงหลิวฉีซื่อเบาๆ สายตามองไปทางห้องทิศตะวันตก นางไม่ยอมให้หลิวฉีซื่อยกเงินเพื่อเกื้อหนุนครอบครัวหลิวสี่กุ้ย แต่ก็ไม่พอใจที่ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยจะแบ่งไปด้วยอีก
หลิวฉีซื่อที่ถูกเตือนได้แต่ข่มความโกรธไว้ในใจ นางไม่สามารถให้บุตรสาวตนเองคอยฉุดขาหลังไว้
ดังนั้นนางจึงพยายามสูดหายใจลึก แล้วข่มเสียงด่า “นางคนขี้อิจฉา จื้อเอ๋อร์เพิ่งจะอายุเท่าใด เพียงแค่เก้าขวบ ไม่ใช่ถงเซิงเสียหน่อย ยกให้บ้านพี่ใหญ่เ้าแล้วจะเป็อะไรไป?”
“ท่านแม่ พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก สิบตำลึงเงินไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ที่นาหนึ่งแปลงเท่ากับหกตำลึงเงิน แต่สามารถส่งต่อให้ลูกหลาน และสามารถเลี้ยงดูคนได้มากมาย ในเมื่อท่านแม่ยกให้บ้านพี่ใหญ่สิบตำลึงเงิน ถ้าเช่นนั้นก็ต้องยุติธรรม ยกให้จื้อเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์สิบตำลึงเงิน” พูดให้ถูกต้องก็คือ คนในตระกูลนอกจากครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ย ฝั่งอื่นล้วนแล้วแต่คำนวณกันตามสายเื
ล้อกันเล่นหรือ! เดิมทีหลิวฉีซื่อเอาออกมาสิบตำลึงเงิน หัวใจก็หลั่งเืแล้ว หากเอาออกมาอีกสิบตำลึงเงิน นั่นเปรียบเหมือนฆ่านางทั้งเป็!
ตอนนี้หลิวซุนซื่อกลายเป็เสี้ยนหนามทิ่มแทงตาของนาง แทนที่จางกุ้ยฮัวไปแล้ว
หลิวเต้าเซียงเห็นสายตาของหลิวฉีซื่อที่แทบจะกลืนกินหลิวซุนซื่อ มนุษย์ตัวจิ๋วในใจถึงกับทำท่าชูสองนิ้วด้วยความสนุกสนาน
“พี่สะใภ้รอง เ้าคิดว่าเงินมากับสายลมหรือยอ่างไร นั่นคือเงินที่แม่ลำบากไปกับการสอนเย็บปัก แล้วก็พ่อกับท่านพี่ตรากตรำทำสวนทำนามานะ!” หลิวเสี่ยวหลันไม่เพียงแต่หวงแหนของกิน สำหรับเงินตรายิ่งไปกันใหญ่ การแบ่งสิบตำลึงเงินให้หลิวซุนซื่อส่งผลต่อทรัพย์สินออกเรือนของนางด้วย
ดังนั้น นางจึงช่วยพูดความในใจของหลิวฉีซื่ออย่างรวดเร็ว
หัวใจของหลิวฉีซื่อปลื้มปริ่ม บุตรสาวตนเองมีความก้าวหน้า ลูบศีรษะนางเบาๆ อย่างมีแผนมีในใจ แล้วหันไปทางหลิวซานกุ้ย “ซานกุ้ย งานทั้งในและนอกบ้าน ล้วนเป็ฝีมือเ้ากับพ่อ เื่เงินจะแบ่งเช่นไร เ้าลองช่วยแม่เสนอความเห็นหน่อย”
นางไม่้าแบ่งเงินออกมาอีก แต่ก็ไม่อยากให้หลิวจื้อเซิ่งหยุดเรียน จึงได้แต่โยนเื่นี้ให้หลิวซานกุ้ย
ไม่ว่าหลิวซานกุ้ยจะตอบอย่างไร ก็เป็คนที่หลิวซุนซื่อหรือหลิววั่งกุ้ยกับหลิวเหรินกุ้ยจะโกรธเคือง
หลิวฉีซื่อช่างโเี้เหนือคนธรรมดาจริงๆ
หากเป็เดือนที่แล้วหลิวซานกุ้ยคงไม่คิดมาก ในเวลานี้ คิ้วของเขาขมวด ไม่มีท่าทีจะตอบรับคำพูดของหลิวฉีซื่อ
“น้องสาม พี่รองทำดีกับเ้ามาโดยตลอดนะ” หลิวซุนซื่อแอบเตือนเขา
หลิวเสี่ยวหลันหงุดหงิด หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นควรจะทำดีกับสองพี่น้องมากกว่านี้หน่อย
แต่จะปล่อยให้บ้านพี่ใหญ่กับพี่รองได้ใจ นางเองก็ไม่ยินยอม ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ย “พี่สาม ท่านยุติธรรมที่สุด ใจอ่อนที่สุด ย่อมไม่มีทางปล่อยให้น้องสาวเสียเปรียบอยู่แล้ว”
“หลันเอ๋อร์?” หลิวฉีซื่อมองบุตรสาวของตนอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านแม่ คิดดูสิ พี่ใหญ่ได้ไปสิบตำลึงเงิน พี่รองได้ไปสิบตำลึงเงิน พี่สี่กำลังเรียนก็ต้องแบ่งให้สิบตำลึงเงิน แล้วข้าล่ะ? พี่ชายข้างบนต่างคิดถึงแต่ตนเอง แม่ ท่านยอมทนเห็นข้ามีชีวิตที่ลำเค็ญได้หรือ อีกอย่างที่แห่งนั้นก็ต้องใช้จ่ายเงินค่อนข้างมาก”
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าหลิวเสี่ยวหลันออดอ้อนหลิวฉีซื่อ เพียงแต่คำพูดที่กล่าวออกมา ทำให้นางอดกลอกตาไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อสั่งสอนมาอย่างไร ชัดเจนว่าหลิวเสี่ยวหลันนั้นโตมาแบบผิดเพี้ยน
นางเห็นใบหน้าลำบากใจของหลิวซานกุ้ย จึงส่งสายตาให้มารดาของตน จางกุ้ยฮัวรับรู้จึงแอบเตะขาหลิวซานกุ้ยใต้โต๊ะแล้วเอ่ย “สามี เ้าคงทำงานเหนื่อยมาทั้งบ่ายแล้วสินะ?”
“หือ?” หลิวซานกุ้ยผู้ซึ่งได้สติหันกลับไปมองภรรยาตนเอง “มีอะไรหรือ?”
จางกุ้ยฮัวตอบเสียงค่อยแต่ยังคงความอ่อนโยน “แม่ถามเ้าน่ะ เ้าไม่ได้ยินหรือ ลูกๆ ของพี่ใหญ่และพี่รองร่ำเรียน ล้วนอยากให้แม่ช่วยเหลือเื่ทุน ท่านแม่ไม่รู้จะทำเช่นไร”
หลิวซานกุ้ยคิดดู ร่ำเรียนหรือ?! เมื่อเขายังเด็กเขามักจะคิดว่าอยากมีโอกาสกลับไปเรียน กระนั้นจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจ “การเรียนเป็เื่ที่ดี ต่อไปจะนำเกียรติมาสู่ตระกูล”
สายตาของครอบครัวรวมไปอยู่ที่เขา ใครจะรู้ เขากลับกินโจ๊กต่อโดยไม่ได้ใส่ใจ คีบผักแล้วซดโจ๊กต่ออีก…
แล้วก็จบแค่นั้น
หลิวฉีซื่อไม่พอใจ จึงส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเอ่ย “พี่ชายเ้าทั้งสองคน้าสิบตำลึงเงิน!”
“ครอบครัวเรามั่งมีเช่นนี้เชียวหรือ?” หลิวซานกุ้ยเพิ่งจะตระหนักรู้ว่า อันที่จริงบ้านของตนนั้นเป็ตระกูลที่มั่งมี ดวงตาจึงเป็ประกายจนแสบตา
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็ส่งสายตาดูแคลนเล็กน้อย จากนั้นเลื่อนไปทางหลิวต้าฟู่
หลิวต้าฟู่รู้สึกไม่สบายใจกับการจ้องมอง เขาจึงตอบว่า “เงินทองสมบัติมีแม่เ้าเป็คนจัดการ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
ดวงตาของหลิวซานกุ้ยหลุบต่ำและหม่นหมองเล็กน้อย ในดวงตาสะท้อนอาหารที่อยู่ในถ้วย มันเทศชิ้นใหญ่ที่นอนอยู่บนข้าวขาวเป็เม็ดๆ
เขาตระหนักอย่างชัดเจนอีกครั้งว่า ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน ดูเหมือนว่าหลิวฉีซื่อและหลิวต้าฟู่ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาในฐานะลูกชายได้
มือขนาดใหญ่ที่ถือชามกระเบื้องกระชับแน่น และถ้ามองอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าข้อนิ้วเป็สีขาวเล็กน้อย
“แม่ พ่อได้กล่าวว่าเงินอยู่ในมือของแม่ ในฐานะลูกชาย ข้าเองก็ไม่มีความคิดเห็นใดเสนอ”
เขายืมคำพูดของหลิวต้าฟู่ และหลุดพ้นไปด้วย
-----