ตรอกจิ่วถ่าภายใต้ม่านราตรีเงียบสงบ ถนนภายในกว้างขวางพื้นเรียบไม่ขรุขระ คฤหาสน์ทั้งสองฝั่งล้วนแขวนโคมแดงดวงใหญ่ไว้ด้านหน้า
ภายใต้แสงโคมละมุนตา รถม้าขบวนหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในตรอกและหยุดที่หน้าประตูใหญ่
ไม่ต้องมีใครลงไปเคาะเรียก ประตูใหญ่ก็มีเสียงดังแอ๊ดและเปิดออกมา
บุรุษแต่งกายแบบพ่อบ้านดวงตาเป็ประกายสดใส อายุราวห้าสิบปีเดินก้าวใหญ่ออกมา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิด
"ลุงจง" ผูหยางชิงหลันลงจากหลังอาชา
"นายน้อย ในที่สุดท่านก็กลับมาเมืองหลวงแล้ว" จงป๋อรีบเดินเข้าไปจูงม้าของเขา
"ลุงจง เรือนที่อยู่ติดกันให้คนไปทำความสะอาดแล้วหรือยัง" ผูหยางชิงหลันหันไปยิ้มให้ ยามที่เขาไม่อยู่เมืองหลวง ทุกอย่างในจวนล้วนอยู่ในความดูแลของจงป๋อ
"พอได้ข่าวจากนายน้อยบ่าวก็ให้คนไปทำความสะอาดทั้งนอกในเลยขอรับ" จงป๋อตอบกลับ สีหน้ากลับฉายแววคลางแคลง "แต่่หลังยามอู่ องค์ชายเจ็ดส่งคนมาทำความสะอาดเรือนหลังนั้นอีกรอบขอรับ"
ผูหยางชิงหลันเลิกคิ้ว มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มมีเลศนัย "แล้วแต่เขา"
พูดจบก็เดินไปหาเซวียเสี่ยวหรั่น
"เสี่ยวหรั่น เสี่ยวเหล่ย ไปเรือนทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ข้าจะพาพวกเ้าไปเอง อย่ารังเกียจที่มันเล็กไปหน่อยแล้วกัน"
เรือนแบบสามทางเข้าหลังนี้ในสายตาของสามัญชนทั่วไปนับว่าเป็คฤหาสน์กว้างขวางมาก แต่สำหรับคนตระกูลใหญ่โต จะรู้สึกว่ามันใหญ่กว่าหมู่เรือนย่อยเพียงนิดเดียวเท่านั้น
พอเดินเข้าไป เซวียเสี่ยวหรั่นก็เห็นหมู่เรือนหน้ากว้างขวาง ก็เหลือบมองผูหยางชิงหลันโดยไม่รู้ตัว
บ้านหลังขนาดนี้ เล็ก? พวกเธออยู่กันแค่สามคน โอเค้?
เรือนหน้ายังกว้างขวางเพียงนี้ เรือนหลังต้องไม่เล็กเป็แน่ เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มปวดหัวกับปัญหาการเก็บกวาดทำความสะอาด
"คุณหนูต่อไปพวกเราจะอยู่ที่นี่หรือเ้าคะ?" อูหลันฮวามองซ้ายมองขวา ก่อนทำสีหน้าตกตะลึง
"เอ่อ คงใช่ละมั้ง" ถึงเธอจะรู้สึกว่าใหญ่เกินไป แต่พวกเขายังไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง นอกจากนี้การหาบ้านสักหลังค่อนข้างยุ่งยาก อยู่ไปก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน
เซวียเสี่ยวเหล่ยปล่อยอาเหลยลงจากไหล่ หลังจากนั้นก็แกะเชือกผูกคอให้มัน
พออาเหลยได้รับอิสระ ก็เริ่มเดินเตาะแตะสำรวจไปทั่ว
ใต้ชายคาระเบียงแขวนโคมแดงดวงใหญ่ เดินอ้อมผ่านกำแพงอิ่งปี้ [1] ไป ในห้องโถงด้านหน้ามีแสงสว่างลอดออกมา
"พวกเ้าพักผ่อนก่อน อีกครู่หนึ่งค่อยไปกินมื้อเย็นที่จวนข้า" ผูหยางชิงหลันมองเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าที่สว่างไสว
ไปกินข้าวบ้านเขา? เซวียเสี่ยวหรั่นลังเล "มืดขนาดนี้ยังไปรบกวนบ้านของผู้อื่นคงไม่ดีกระมัง"
"ฮ่าๆ" ผูหยางชิงหลันหัวเราะขบขัน "ที่นั่นนอกจากข้าก็มีแค่เฟิงหยาง เ้าว่าจะรบกวนใครได้"
"หา? บิดามารดาไม่ได้อยู่กับท่านหรอกหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง
"พวกท่านอยู่บ้านของบรรพบุรุษที่เมืองจิ้นหลิง ไม่ได้อยู่เมืองหลวง" ผูหยางชิงหลันอธิบาย
เซวียเสี่ยวหรั่นทำสีหน้าตระหนักรู้ ที่แท้ก็เป็แบบนี้
ทั้งสองคุยกันอยู่ จู่ๆ อาเหลยก็วิ่งโร่เข้าไปในห้องโถงด้านหน้า
เซวียเสี่ยวเหล่ยรีบตามเข้าไป แต่ผลก็คือพอเท้าก้าวข้ามธรณีประตูไปก็ตัวแข็งทื่อ
"องค์... องค์ชายเจ็ด?"
เหลียนเซวียน? เซวียเสี่ยวหรั่นดีใจมาก ยกชายกระโปรงวิ่งไปที่ห้องโถง
พอวิ่งมาถึงข้างเซวียเสี่ยวเหล่ย รอยยิ้มกลาดเกลื่อนใบหน้าพลันชะงักค้าง
นี่... คือเหลียนเซวียนเหรอ?
ภายในห้องโถงแขวนโคมแดงสองดวง บรรยากาศแต่งแต้มไปด้วยแสงสีแดงอ่อน มีบุรุษเรือนร่างสูงใหญ่ผึ่งผายสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเลื่อมเงาลายบุปผา เรือนผมรัดด้วยเกี้ยวหยก สวมรองเท้าหนังหุ้มแข้ง ยืนอยู่กลางห้องโถง
เขาเดินมาข้างหน้าอย่างช้าๆ ดวงหน้าคมสันหล่อเหลาอย่างไร้ที่ติ ดูแปลกหน้าและคุ้นตาในคราวเดียวกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นใถอยหลังไปด้านหลัง ซวนเซจนเกือบเสียหลักหกล้ม
ขะ... เขา เขาคือเหลียนเซวียน?
เซวียเสี่ยวเหล่ยได้สติก็รีบประคองนางไว้ "พี่สาว ไม่เป็ไรนะขอรับ"
"อ้อ ไม่เป็ไร" เซวียเสี่ยวหรั่นตอบกลับไปส่งๆ แต่ดวงตายังคงเบิกกว้างจดจ้องคนที่ย่างเท้าเข้ามาหาพวกเขา
ยิ่งเขาเดินเข้ามาใกล้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยิ่งไม่อยากเชื่อ
คนคนหนึ่งแค่ไว้เครากับโกนออกจะต่างกันมากขนาดนี้ได้ยังไง?
ริมฝีปากบางของเหลียนเซวียนโค้งขึ้นน้อยๆ ก้าวข้ามธรณีประตูออกมา ก้มหน้าลงมามองนาง
ภายใต้แสงโคมสว่างไสว ดวงหน้าเล็กจ้อยขาวผ่องมีเหงื่อผุดพราย คิ้วสวยเลิกขึ้น ริมฝีปากชมพูอ้าค้าง ดวงตากลมโตสุกใสเบิกกว้าง ความประหลาดใจในแววตาชัดเจนมาก
รอยยิ้มจากหางตาของชายหนุ่มเข้มขึ้น
"เสี่ยวหรั่น ไม่เป็ไรใช่ไหม"
น้ำเสียงทุ้มทรงเสน่ห์ราวกับเสียงต้าถีฉิน [2] ลุ่มลึกและสง่างาม
"อ๋า? ข้า ไม่เป็อะไร" เซวียเสี่ยวหรั่นกลืนน้ำลาย เงยหน้าขึ้นตอบกลับไปแบบฝืดๆ
เสียงนี้ก็เป็เขาจริงๆ นี่นา
มิน่าระหว่างการเดินทางเขาถึงไม่ยอมโกนเครา ที่แท้เพราะตระหนักว่าหลังโกนแล้วอาจสะดุดตาเกินไป
"เสี่ยวชี เ้าเด็กนี่มาั้แ่เมื่อไร" ผูหยางชิงหลันยกมือกอดอก มองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
"มาได้สักพักแล้ว" สายตาของเหลียนเซวียนค่อยๆ เลื่อนไปหาอีกฝ่าย "ศิษย์พี่ เดินทางลำบากแล้ว"
แล้วก็ยิ้มมองเขาแบบเดียวกัน
ผูหยางชิงหลันหนังตากระตุก ต้องเป็เ้าพวกฟางขุยรายงานตลอดการเดินทางของตนเองให้เขาฟังหมด
"ฮึ รู้ก็ดีแล้ว"
เขาเองก็ไม่สน ทำหน้าหนาเดินเข้าไปในห้องรับแขก
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ ก่อนหลุบสายตามอง แต่กลับถูกท่าทางของสองพี่สาวน้องชายทำเอาพูดไม่ออก
ดวงตาสองคู่เบิกกว้างจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับกำลังมองของล้ำค่าหายาก
อ้อ ไม่ใช่ ควรเป็สี่คู่มากกว่า ยังมีอูหลันฮวาที่บันไดขั้นล่าง กับลิงอีกตัวซึ่งเกาะชายอาภรณ์ของเขาอยู่
เหลียนเซวียนรู้สึกจนใจอย่างยิ่ง ลูบคางเกลี้ยงเกลาโดยไม่รู้ตัว น่าตกตะลึงปานนั้นเชียว?
"แฮ่ม เข้าไปกันเถอะ ข้าให้คนเตรียมอาหารไว้แล้ว"
เขาค่อยๆ ขยับขา เป็นัยให้ลิงน้อยปล่อยขาเขา
อาเหลยเงยหน้าขึ้น จ้องเขาตาแป๋ว ใช้สมองอันเฉียบแหลมของมันครุ่นคิด แล้วปล่อยเขาแต่โดยดี
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ นับว่ามันแสนรู้
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในห้องโถง อูหลันฮวาก็ดึงหงกูมาถามด้วยความประหลาดใจแกมสงสัย "น้าหง นั่นคือองค์ชายเจ็ดจริงหรือ"
ถึงตอนนี้นางก็ยังไม่อยากเชื่อ บุรุษเพียงแค่โกนเคราออกก็เปลี่ยนไปเป็คนละคนในชั่วพริบตา มิเพียงแต่หล่อเหลาเหนือสามัญ ทั่วร่างยังเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์เผด็จการ
"เป็องค์ชายเจ็ดแน่นอน" ใบหน้าเคร่งขรึมของหงกูมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาสามส่วน
อูหลันฮวาอ้าปากค้าง เคยได้ยินแต่ว่าหลังสตรีแต่งหน้าประทินโฉมก็สามารถดูเปลี่ยนไป แต่ไม่นึกว่าบุรุษโกนเคราก็สามารถเปลี่ยนไปเป็อีกคนได้เช่นกัน
"องค์ชายเจ็ด มีใบหน้าสะดุดตาเช่นนี้ ปรกติไปไหนมาไหนมิถูกคนห้อมล้อมแย่เลยหรือ"
อูหลันฮวานึกถึงเมิ่งเฉิงเจ๋อ เขาก็เป็บุรุษรูปงามเช่นกัน เพียงแต่เมิ่งเฉิงเจ๋อรูปโฉมงามละมุน มองแล้วสบายตา แต่องค์ชายเจ็ดดวงหน้าหล่อเหลาแบบกร้าวแกร่ง ผนวกกับบุคลิกน่าเกรงขาม ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้คนตื่นกลัว หัวใจเต้นแรง
"แฮ่ม หลันฮวา ห้ามนินทาเ้านายลับหลัง" หงกูจูงนางออกมาห้อเล็กด้านข้าง อาหารของพวกนางก็จัดเตรียมไว้แล้ว
อูหลันฮวาหดคอทันควัน แค่นี้ก็ถามไม่ได้ กฎเกณฑ์ของตระกูลใหญ่ช่างมากมายเหลือเกิน แต่ก็เดินตามหงกูไปกินข้าวแต่โดยดี
...
[1] กำแพงอิ่งปี้ หรือกำแพงภาพสะท้อน เป็กำแพงที่ตั้งอยู่หน้าประตู บนผนังมักเป็ลวดลายสัตว์มงคลซึ่งมีความเชื่อว่าสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้าย หรือลวดลายมงคล
[2] เชลโล่
