เสียงะุทั้งหกนัดที่เจาะกลางหน้าผากอย่างแม่นยำ ดังสะท้านไปทั่วผืนป่าและสนามรบด้านล่าง ราวกับเสียงฟ้าผ่าทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุดลงทั้งสมรภูมิกลับเงียบงันราวหยุดหายใจเสียงดาบที่เคยฟาดฟัน เสียงโห่ร้องของทหารนับพัน เสียงฝีเท้าม้าศึก... ทั้งหมดถูกกลืนหายไปในพริบตาไม่มีใครรู้ว่าเสียงเมื่อครู่คืออะไรในโลกที่ล้าหลังนี้ ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงปืนมาก่อนแต่พวกเขารู้เพียงอย่างเดียวมันรุนแรงเกินกว่าจะเข้าใจ และฆ่าคนได้ในชั่วพริบตา
หลายคนคิดว่านั่นคือ พลังลมปราณขั้นสูง หลู่หานเฟิงยืนอยู่เบื้องหน้าของร่างที่ไร้ิญญาของท่านแม่ทัพแววตาเขานิ่งเฉียบไม่มีความสับสนอีกต่อไป เขาก้มลงช้า ๆ จ้องมองร่างไร้ิญญาของหวังซื่อเหยาแม่ทัพผู้เคยเหาะเหินเหนือพื้นดินราวกับเทพยุทธ์ แต่กลับล้มลงด้วยโลหะชิ้นเล็ก ๆ จากโลกอีกใบ
ดวงตาไร้แสงของอีกฝ่ายยังเบิกโพลง ไม่ต่างจากคำถามที่ไม่มีวันได้รับคำตอบ หลู่หานเฟิงหันมองชุดทหารลายพรางของตนเองที่ตอนนี้ชุดของเขาแปลกประหลาดเกินไปในสายตาผู้คนเขาปลดชุดจากร่างที่ไร้ิญญาอย่างไม่ลังเล
ชุดเกราะของหวังซื่อเหยาถูกถอดออกและสวมทับเข้าตัวเขา เมื่อยืนขึ้นอีกครั้งเขาไม่ใช่ร้อยเอกหลู่หานเฟิงจากยุคปัจจุบันอีกต่อไปแต่คือ ชายแปลกหน้าผู้เร่ร่อนที่อยู่ในโลกของผู้ฝึกตนพลังปราณคือทุกสิ่ง
"อีกไม่นาน... พวกข้างล่างต้องขึ้นมาถึงตรงนี้แน่" หลู่หานเฟิงพูดกับตัวเอง เสียงราบเรียบแต่น้ำเสียงหนักแน่นสายตาของเขากวาดมองไปยังไหล่เขาที่ทอดลงสู่สนามรบซึ่งยังเต็มไปด้วยเสียงสับสนวุ่นวายแม้จะอยู่ห่างออกไป แต่เขารู้ดีหากพวกนั้นรู้ว่าแม่ทัพตนตาย จะไม่มีใครปล่อยเขาไว้แน่
เขาหันกลับมามองปืนพกสั้นในมือโลหะสีดำด้านที่เคยเป็เพื่อนคู่กายในทุกสมรภูมิ… บัดนี้กลับไร้ค่าเพราะะุหมดแล้วเขาล้วงกระเป๋าข้างเอว ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วัักับวัตถุทรงกลมสองชิ้นะเิมือสองลูกสุดท้าย
หลู่หานเฟิงหยิบมันขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาเรียบนิ่งจากนั้นหันไปมองชุดทหารลายพรางที่เพิ่งถอดทิ้งไว้ สัญลักษณ์แห่งโลกเดิมที่เริ่มหายไปจากตัวเขาทีละน้อยสายตาของเขากลับไปยังสนามรบเบื้องล่างที่นั่น... ทหารในชุดเกราะแบบเดียวกับคนที่หาเื่เขาเมื่อครู่ กำลังตะลุมบอนกันอย่างบ้าคลั่งบางคนอาจไม่เกี่ยวแต่บางคน… อาจเป็ศัตรูที่รอจะฆ่าเขาในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าแววตาของหลู่หานเฟิงเปลี่ยนไปดุดัน คมกริบ เต็มไปด้วยความเด็ดขาดในแบบของทหารผู้ช่ำชอง
"ถือซะว่าเป็ของขวัญส่งท้าย..." เขาถอนสลักะเิลูกแรก แล้วเหวี่ยงมันลงไปด้วยแรงทั้งหมดของตนลูกที่สองตามไปแทบจะในทันที ราวกับเสียงสะท้อนของความตาย
ตู๊มมม! ตู๊มมม!
เสียงะเิคำรามราวกับฟ้าผ่าผ่ากลางสนามรบแรงะเิสาดกระจายเปลวไฟพวยพุ่ง ลมร้อนแผ่กระแทกไกลแขนขาของผู้โชคร้ายที่อยู่ใกล้เกินไป ถูกฉีกกระชากอย่างไร้ปรานีเสียงร้องโหยหวนระงม บางเสียงดังจนแหลมแทงหู
ฝุ่นควันตลบทั่วสนามความโกลาหลที่เคยสงบหลังะุปืนตอนนี้ถูกกลืนด้วยความตื่นตระหนกแบบที่พวกเขาไม่เคยพบเจอหลู่หานเฟิงมองภาพตรงหน้าแววตานิ่งเฉียบ ไม่สาแก่ใจ ไม่สะท้านไหวเขาหันหลังให้กับผลงานของตัวเองไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเขารู้เวลาเหลือน้อยลงทุกทีเสียงเคลื่อนไหวเบื้องล่างเริ่มไหลเข้ามาใกล้เสียงคำสั่ง เสียงะโ เสียงโกรธเกรี้ยวเขาเร่งฝีเท้า ลัดเลาะเข้าป่า ละทิ้งกลิ่นควันและเืไว้เื้ัในขณะที่ผู้คนยังคงจ้องมองหาคำอธิบายต่อสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันเข้าใจ...
ณ เวลานี้...หลู่หานเฟิงก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาคนหนึ่งชายผู้ไร้ยศ ไร้พวกพ้อง และไร้อาวุธจากโลกเดิมสิ่งของที่เขาเคยพกติดตัวปืนพก ะเิมือ ชุดทหารของทุกชิ้นที่เป็ตัวแทนของอำนาจจากโลกอนาคตล้วนถูกใช้ออกไปจนหมดสิ้น
เขาไม่มีอะไรเหลือแล้วไม่เหลือแม้แต่หลักฐานว่าเขาเคยเป็ ร้อยเอก ผู้บัญชาการแนวหน้าของสนามรบอันทันสมัยตอนนี้เขาก็แค่ชายแปลกหน้าผู้เร่ร่อนท่ามกลางโลกที่ล้าหลังและเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่เขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
แม้ร่างกายจะยังแข็งแกร่งแม้หัวใจจะยังเต้นด้วยจิติญญาของทหารแต่ในโลกที่ผู้คนใช้ลมปราณมากกว่าะุหลู่หานเฟิงไม่ต่างจากคนธรรมดาที่กำลังเรียนรู้จะเอาตัวรอดด้วยมือเปล่าเขาเดินอยู่ในป่า ลัดเลาะแนวหุบเขาท่ามกลางเสียงนก เสียงลม และกลิ่นไม้ที่ไม่คุ้นเคยแผ่นดินเบื้องล่างไม่ใช่สมรภูมิที่เขาคุ้นชินอีกต่อไปแต่เป็ผืนดินแปลกหน้าที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์ สำนักลับ พลังลมปราณ และศัตรูที่เขาไม่เข้าใจ
เขาไม่รู้ว่าตนเองอยู่ส่วนไหนของโลกนี้และก็ไม่แน่ใจว่า… ตนเองยังคงเป็ ทหารหรือไม่ทว่าสิ่งหนึ่งที่เขายังมีอยู่คือสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดมันยังไม่จางหายไปเพราะตราบใดที่เขายังมีลมหายใจหลู่หานเฟิง… จะหาทางอยู่รอดในโลกใบใหม่นี้ให้ได้
หลู่หานเฟิง ในฐานะทหารผู้ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วนย่อมมีประสบการณ์เอาชีวิตรอดกลางป่าอันโหดร้าย ฝึกฝนมาแล้วทั้งการอ่านทิศทาง ดวงดาว กลิ่นลม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าเขารู้ดีว่า หาก้าออกจากป่า หาก้าเจอผู้คน จงตามสายน้ำ มีคำกล่าวในยุคของเขาว่า “ที่ใดมีน้ำ ที่นั่นย่อมมีชีวิต”
เสียงน้ำไหลจากลำธารเล็กในป่าลึก คือสัญญาณแรกที่เขาตามไปจากธารสายแคบ... สู่ลำห้วย สู่ลำคลองและเขาเดินไปตามแนวสายน้ำนั้นโดยไม่หยุดพักนานนัก
สามวันเต็ม ที่เขาเดินเท้าเปล่า ผ่านโขดหิน ลอดพงหนา กัดกินเพียงผลไม้ป่ากับน้ำฝนเสื้อผ้าที่สวมเริ่มซีดจาง เปรอะเปื้อนด้วยโคลนและคราบใบไม้มือไม้เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน เสียงของสัตว์ป่ากลางคืนคือบทเพลงที่เขาได้ยินตลอดคืนอันยาวนานแต่ใจเขายังหนักแน่นในฐานะทหาร เขาไม่หวั่นไหวกับความหิว ความเหนื่อย หรือความโดดเดี่ยวสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เอาชีวิตรอด
แล้วในเช้าของวันที่สามขณะที่แสงอาทิตย์เริ่มส่องผ่านยอดไม้ ละอองหมอกยังลอยอยู่เหนือผิวน้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาแต่ไกลเสียงหัวเราะของเด็กเสียงกระทบกันของถังไม้เสียงของชีวิตหลู่หานเฟิงหยุดก้าวทันทีดวงตาคมกริบจับไปยังเบื้องหน้า
ไม่ไกลนัก... ที่ฝั่งลำธารอีกฟากหนึ่งคือผู้คนกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผ้าฝ้ายอย่างหยาบเรียบบางคนแบกไม้ฟืน บางคนตักน้ำ
“ในที่สุด” เขาพึมพำเบา ๆ น้ำเสียงเจือทั้งความโล่งใจหมู่บ้านแห่งนี้หมู่บ้านซื่ออันช่างเงียบสงบและงดงามราวกับอยู่คนละโลกกับสนามรบที่เขาเพิ่งจากมาแต่ในความสงบนี้... กลับเต็มไปด้วยอันตรายที่ซ่อนอยู่ หากเขาก้าวเข้าไปอย่างไม่ระวัง
เขาก้มมองตนเองชุดเกราะแม่ทัพ สีหมึกเข้มยังเปื้อนคราบเืและฝุ่นควันจากสนามรบแม้จะผ่านการปกปิดด้วยเสื้อคลุมแล้ว แต่มันก็ยังดูโดดเด่นเกินกว่าคนธรรมดา
"เราในตอนนี้... ดูไม่ต่างจากขุนศึกเร่ร่อนที่หลงมา" เขาคิดเงียบ ๆ และนั่นย่อมสร้างความหวาดระแวงให้กับชาวบ้านผู้คนที่ไม่ข้องเกี่ยวกับา ย่อมไม่ยินดีต้อนรับชายแปลกหน้าผู้สวมชุดแม่ทัพเดินเข้ามาโดยไร้คำอธิบาย
เพื่อความอยู่รอด...เขาต้องกลบอดีต และกลืนตัวเข้ากับที่นี่ไม่ช้า หลู่หานเฟิงจึงอาศัย่เวลาที่ชาวบ้านเผลอ ลอบหยิบเสื้อผ้าชุดชาวบ้านที่ตากอยู่ริมลำธารเสื้อผ้าผ้าฝ้ายสีจืด กับผ้าคาดเอวผืนหนึ่งเมื่อเขาออกมาอีกครั้งมีเพียงชายหนุ่มรูปร่างสูง ใบหน้าเข้มขรึม สวมเสื้อผ้าชาวบ้านธรรมดาเขาเดินตรงเข้าสู่หมู่บ้านอย่างระวัง ไม่ให้ใครตื่นตระหนก
เมื่อมาถึงลานกลางหมู่บ้าน เขาเอ่ยปากขอพบท่านผู้นำไม่ช้านักชายชราวัยราวหกสิบปีในชุดผ้าฝ้ายสีหม่น ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประสบการณ์และความระแวดระวังอย่างผู้เคยพบเจอเื่ราวมามากมายหลู่หานเฟิง ก้มศีรษะแสดงความเคารพน้ำเสียงของเขานิ่ง เรียบ และเต็มไปด้วยความนอบน้อมที่ขัดแย้งกับบุคลิกทหารในตัวเขา
"ข้ามีนามว่า หลู่หานเฟิง เป็เพียงคนพเนจรที่หลงทางมาภายในหมู่บ้านแห่งนี้"
ท่านผู้เฒ่าเงียบไปครู่หนึ่งสายตาคมของเขาจับจ้องชายตรงหน้า คล้ายจะมองทะลุเข้าไปถึงบางสิ่งที่ถูกซ่อนไว้แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเบา ๆ
“หากเ้ามาดี หมู่บ้านนี้ก็ยินดีต้อนรับเ้า”
เหตุที่ ผู้นำหมู่บ้านซื่ออัน ยินยอมให้หลู่หานเฟิงเข้ามาอยู่อาศัยได้อย่างง่ายดายนั้น…หาใช่เพราะความไว้ใจ แต่เพราะ ความจำเป็หมู่บ้านแห่งนี้ แม้จะเงียบสงบ ปราศจากภัยาแต่ก็ไม่อาจต้านทานความแร้นแค้นจากความแห้งแล้งและความยากจนได้
ใน่หลายปีที่ผ่านมาชาวบ้านจำนวนมากพากันละทิ้งเรือน ย้ายเข้าเมืองหลวงเพื่อหวังแสวงโชคและอนาคตที่มั่นคงกว่าหมู่บ้านซื่ออันจึงกลายเป็เพียงเงาของตัวมันเองในอดีตประชากรลดลง
และที่สำคัญ...หมู่บ้านนี้้าคนหนุ่มที่ทำงานได้ดังนั้น ท่านผู้เฒ่าจึงพาหลู่หานเฟิงไปยังพื้นที่ตอนท้ายของหมู่บ้านทางเดินแคบขนาบด้วยต้นไผ่ทอดยาว นำเขาไปสู่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่คล้ายถูกธรรมชาติกินกลืนไปครึ่งหนึ่งแล้ว
"ที่นี่...เป็บ้านร้าง"ชายชรากล่าวเสียงเรียบขณะชี้ไปยังบ้านไม้เก่าหลังหนึ่ง"ไม่มีผู้คนอยู่มาหลายปีแล้ว"
ตัวบ้านทำจากไม้ผุเก่า ประตูหน้าบานหนึ่งหลุดออกมาเอนพิงผนัง หน้าต่างปิดไว้ด้วยผ้าขาด ๆพื้นดินรอบบ้านมีร่องรอยของหญ้าขึ้นรกแต่ตัวโครงสร้างยังคงมั่นคงก็สามารถฟื้นฟูให้กลับมาน่าอยู่ได้อีกครั้ง
"หากเ้าไม่รังเกียจ ที่นี่จะเป็บ้านของเ้า"
หลู่หานเฟิงไม่ตอบในทันทีเขาเพียงมองไปรอบบ้าน แล้วพยักหน้าเงียบ ๆ ในสายตาคนอื่น บ้านหลังนี้คือ ซากแต่ในสายตาเขา มันคือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ในโลกที่ตัวเขายังไม่รู้จักดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้