หลิงอีมองใบหน้างดงามของอวิ๋นซี พูดอย่างปลงๆ “ข้าเพียงเกรงว่าแผนหญิงงามของท่านจะไม่ได้ผล”
“ได้ผลหรือไม่ รอดูวันหน้าก็รู้แล้ว หรือต่อให้จะไม่ได้ผลจริงๆ ก็ยังมีตระกูลถังอยู่ โอวหยางสวินไม่กล้าทำอะไรแน่” นางเลิกคิ้วงดงามขึ้นน้อยๆ ยิ้มบางๆ พูดต่อ “ขิงต้องแก่ถึงจะเผ็ด ตอนนั้นเหตุที่ปฐมกษัตริย์ยังเหลือตระกูลถังไว้ ก็ไม่ใช่เพื่อยับยั้งโอวหยางสวินหรือ”
หลิงอีไม่ได้คิดซับซ้อนเท่าสตรีนางนี้ ในความเข้าใจของเขา โอวหยางสวินผู้นั้นมีนิสัยแปลกประหลาดแลดูบ้าคลั่ง จะเข้าไปสมาคมด้วยก็เรียกได้ว่ายากเป็ที่สุด ดังนั้น บุคคลในราชวงศ์ที่ลึกลับมากที่สุด นอกจากสามีของสตรีข้างกายอย่างหนิงอ๋องแล้ว ก็คงเป็ตงหยางอ๋องที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็พันลี้ผู้นั้นนั่นแหละ
“ท่านก็คิดดูให้ดีๆ ก็แล้วกัน ขอแค่หอรุ่งอรุณของเราสามารถช่วยเหลือได้ พวกเราก็จะช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง” ในสายตาของหลิงอี แม้เฉียวอวิ๋นซีจะไม่อยู่แล้ว แต่นายหญิงน้อยหวานหว่านก็นับเป็ลูกสาวของอวิ๋นซี พวกเขาก็ควรจะฟังคำสั่งนาง
อวิ๋นซีพยักหน้า “ตอนนี้ขอแค่จับตาดูความเคลื่อนไหวของจางเหวินเหมยและสามีของนางเอาไว้ตลอดเวลาเป็พอ ส่วนเสี่ยวเจี๋ยและเสี่ยวหรูก็ให้พักอยู่ที่นี่ รอจนพวกนางหายดีแล้ว ก็ค่อยจัดหาคนส่งพวกนางไปยังทิศตะวันออก”
เมื่อจัดการธุระที่หอรุ่งอรุณเสร็จ อวิ๋นซีก็กลับไปจวนอ๋องในวันเดียวกันนั้น นางนึกถึงวันนี้ที่ตนได้ลักพาตัวคนมา ทั้งยังถือโอกาสทำร้ายเฉิงป๋อหยางไปด้วย ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่า เมื่อโอวหยางเทียนหัวรู้แล้วจะโกรธเกรี้ยวจนอยากสังหารคนเลยหรือไม่
ถึงกระนั้นเื่หลังจากนี้ของทางฝั่งจวนรัชทายาท นางก็หาได้ใส่ใจมากนัก ตอนนี้คิดเพียงอยากจะรีบกลับบ้าน เพราะนับแต่มาอยู่เมืองหลวงก็เป็นางที่รอคอยให้สามีกลับบ้านอยู่ตลอด แต่ตอนนี้กลับให้เขาต้องมารอตน
ทว่า เมื่อกลับไปถึงจวน อวิ๋นซีก็เห็นเขายังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ไม่รู้ว่าคนกำลังขีดเขียนอะไรอยู่ เดิมทีนางคิดจะเข้าไปดูสักหน่อยว่า เขากำลังเขียนอะไร แต่ใครจะรู้ จู่ๆ ก็เป็นางที่ถูกลากเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “ไม่ใช่บอกว่าจะกลับมาพรุ่งนี้หรือ? ”
อวิ๋นซีเบะปากใส่ “ไม่ใช่ว่ากลัวตกกลางคืนแล้วท่านจะนอนไม่หลับหรือ”
“ไม่หรอก หากดึกกว่านี้แล้วเ้ายังไม่กลับมา สามีก็คิดว่าจะถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมเยือนที่ทำการหอรุ่งอรุณในเมืองหลวงเสียหน่อย”
เมื่อเขาพูดออกมา ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีก็ตาโต “หอรุ่งอรุณอะไรกัน”
์ เื่ที่เป็ความลับเพียงนี้ บุรุษผู้นี้รู้ได้อย่างไร?
จวินเหยียนหัวเราะหึหึ “วางใจเถอะ ผู้อื่นไม่มีทางสืบได้หรอกว่า หอรุ่งอรุณมีความเกี่ยวข้องกับเ้า” เป็เพราะตอนนั้นที่เขาพยายามสืบหาเื่ราวในอดีตของเฉียวอวิ๋นซีจนได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเื่หอรุ่งอรุณ และคุณชายทั้งสิบเจ็ดของหอรุ่งอรุณ
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นนางมีขุมกำลังแห่งยุทธภพเช่นนี้ไว้แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทำให้ตระกูลเฉียวต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นได้ ซ้ำร้ายยังถึงขั้นทำให้ตัวนางต้องสูญเสียชีวิตไป
อวิ๋นซีเพียงยิ้มๆ แสร้งทำเป็ถาม “หม่อมฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าสามีพูดเื่อะไร หอรุ่งอรุณเป็สถานที่เช่นไรกัน? ”
เมื่อต้องเห็นภรรยาเสแสร้งทำเป็โง่ จวินเหยียนก็แค่หัวเราะฮ่าฮ่า จากนั้นก็ประกบปิดปากเล็กๆ ของนาง แม้วันนี้เ้าจะไม่ยอมรับก็ไม่เป็ไร เพราะคงมีสักวันที่เ้าจะยอมบอกทุกเื่ราวที่เกี่ยวกับหอรุ่งอรุณแห่งนั้นกับข้าด้วยตัวเอง
ความระมัดระวังป้องกันของสตรีนางนี้มีมากจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าเื่ที่นางกลับมาเกิดใหม่นั้น เขาเองก็รู้แล้ว ดังนั้น เื่ของหอรุ่งอรุณกับการที่นางมาเกิดใหม่นี้จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ นางคิดว่าเขาจะไม่รู้หรือไร ช่างทำตัวให้โดนจัดการได้เสมอเลยจริงๆ ในเมื่อวันนี้กลับมาเองแล้ว แน่นอนว่าต้อง...ขบคิดไปมา จู่ๆ สีหน้าเขาก็ดำคล้ำด้วยเกือบลืมไปแล้วว่า สตรีนางนี้รอบเดือนมา
ในตอนนี้เหมือนว่าอวิ๋นซีจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ นางหัวเราะหึหึพูดว่า “รู้สึกผิดหวังมากใช่หรือไม่? ” ฮ่าฮ่า ยิ่งหวังมากก็ยิ่งผิดหวังมาก ที่ว่ามานี่ก็หมายถึงจวินเหยียนในยามนี้แล้ว
จวินเหยียนกัดฟัน ดึงสตรีในอ้อมแขนขึ้นมา ตีไปที่ก้นนาง พูดด้วยท่าทีเคืองๆ “เ้าสารเลวน้อย ถ้าไม่จัดการเ้าเสียตอนนี้คงไม่ได้แล้วจริงๆ กระมัง”
“สารเลว จะเป็เช่นนี้ทุกครั้งได้อย่างไร” อวิ๋นซีกัดมือเขาโดยแรง ความเจ็บแปลบนั้นทำให้เขาเป็ต้องขมวดคิ้ว แต่ไม่ว่าจะเจ็บเพียงไร เขาก็ไม่ปล่อยมือ กระทั่งนางเห็นว่ากัดจนแทบจะเกิดแผลแล้วถึงได้ปล่อย นางมองรอยประทับแดงก่ำบนมือเขา ตาไม่กะพริบ “เหตุใดท่านไม่ปล่อยเล่า? ”
“หากปล่อยแล้ว เ้าก็ตกไปบนพื้นน่ะสิ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ขอบตาแดงก่ำ “เ้าทึ่ม เ้าโง่” พูดจบ นางก็มุ่งหน้าไปห้องอาบน้ำ “อีกเดี๋ยวข้ามีเื่จะคุยกับท่าน”
จวินเหยียนเพียงยิ้มๆ ไม่ได้ตามไป
เมื่ออวิ๋นซีอาบน้ำเสร็จแล้วก็ออกมา นางนั่งลงข้างกายเขา ช่วยเขานวดไหล่ จากนั้นก็ถือโอกาสเล่าเื่ในวันนี้ให้จวินเหยียนฟัง ทว่า ทันทีที่จวินเหยียนได้ฟังก็ขมวดคิ้วแน่น “เ้าคิดจะหาเื่โอวหยางสวิน? ”
อวิ๋นซีกะพริบตาปริบๆ “นี่นับเป็การหาเื่หรือ? ข้าเพียงส่งคู่ต่อกรไปตรงหน้าเขาก็เท่านั้น ทว่าอย่างไรเสี่ยวเจี๋ยผู้นี้ก็ฉลาดนัก เมื่อถึงตอนนั้นเราก็แค่เฝ้าดูพวกเขาใช้สติปัญญาและความกล้าต่อสู้กัน เื่ที่เหลือล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
“เ้าไม่กลัวหรือว่า โอวหยางสวินจะสังหารพี่น้องหญิงตัวน้อยของเ้า” จวินเหยียนมองภรรยา และเห็นแค่ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉย นางตอบกลับเขาเพียงสั้นๆ “มีตระกูลถังอยู่ โอวหยางสวินไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม อีกประการ เสด็จปู่ผู้นั้นของท่านก็มิใช่คนดีอะไร นิสัยสารเลวเช่นนั้น ไม่ได้มีคนร้ายกาจมาจัดการกับเขาสักหน่อย ไม่แน่วันหน้าอาจจะแต่งภรรยาไม่ได้ก็ได้”
“ไม่ใช่ว่าเ้ากำลังพยายามจะส่งภรรยาไปให้เขาจนใจแทบขาดอยู่หรอกหรือ อย่าลืมเสียเล่า รูปลักษณ์ของโอวหยางสวินผู้นั้นไม่เป็รองสามีเ้านะ ถ้าเกิดวันหนึ่งวันใดเขาทำให้พี่น้องหญิงตัวน้อยของเ้าลุ่มหลงจนจะเป็จะตายขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นเ้าจะเสียทั้งน้องหญิงเเละไพร่พล”
อวิ๋นซีลูบจมูก นางย้อนกลับไปคิดถึงเื่ในตอนนั้นที่เคยได้พบกับโอวหยางสวิน ชั่วขณะนั้นนางก็หัวเราะฮิฮะออกมาทันที “ไม่หรอก ท่านน่ะยังไม่เคยเจอเสี่ยวเจี๋ย นางเป็แม่นางที่ทั้งหลักแหลมและงดงาม เมื่อก่อนตอนอายุแค่หกเจ็ดขวบ ความฉลาดก็เฉิดฉายออกมาแล้ว ทว่า ตอนนี้ดูแล้วนางยิ่งจะร้ายกาจกว่าตอนนั้นเพิ่มขึ้นหลายส่วน อย่างไรเสีย ประสบการณ์ที่นางต้องพบพานก็มีให้เห็น ดังนั้น ข้าจึงเชื่อว่า เสด็จปู่ของท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสี่ยวเจี๋ย”
“อย่าเรียกคนว่าเสด็จปู่อีกเลย เ้านั่นยังเด็กกว่าข้าเสียอีก” เมื่อนึกถึงตรงนี้ จวินเหยียนก็เหงื่อตก เขาสงสัยมาตลอดว่า โอวหยางสวินเป็โอรสของปฐมกษัตริย์จริงหรือไม่ เพราะตอนที่เ้าเด็กนั่นลืมตาดูโลก ปฐมกษัตริย์ก็เป็เฒ่าชราที่มีอายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว เจ็ดสิบกว่าแล้วยังทำเื่นั้นได้อยู่อีกหรือ?
ในใจคิดเช่นนี้ เขาก็ถามออกมาเช่นนั้น “อาซี ตอนนั้นที่โอวหยางสวินเกิด ปฐมกษัตริย์ก็อายุเจ็ดสิบกว่าเข้าไปแล้ว เ้าว่า เขาจะถูกคนหลอกหรือไม่? ”
อวิ๋นซีอดหัวเราะฮ่าฮ่าให้กับคำถามโง่เง่าของเขาไม่ได้ นางยิ้มอย่างโอ้อวด ถือดี ทำให้คนถึงกับมองค้าง
นางเขยิบเข้าใกล้หูเขาแล้วตอบเสียงเบา “ขอแค่ร่างกายยังแข็งแรง สามารถทำเื่ในห้องหอได้ อีกทั้ง...”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินภรรยาพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ถึงกับแดงก่ำทันที แต่เมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายที่ภรรยาพูด สายตาของเขาที่มองภรรยาก็ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป “ภรรยา ปฐมกษัตริย์เป็เสด็จทวดของข้า เขาอายุเจ็ดสิบกว่าแล้วก็ยังมีโอวหยางสวินกับสตรีได้ เช่นนั้น ต่อให้ข้าอายุเจ็ดสิบแล้วก็ยังไหวสินะ...”
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีก็รู้สึกว่าความเป็ไปของหัวข้อนี้เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว นางเม้มปาก พูดเรียบๆ “รอจนท่านอายุเจ็ดสิบกว่า ก็ค่อยลองดูเถอะ ตอนนี้ทำเป็พูดมากไป เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะถูกหัวเราะจนฟันร่วง”
เมื่อเขาได้ยินก็กัดฟันะโเรียกขานนาง “อวิ๋นซี! ”
สตรีนางนี้คิดว่าหลังจากเจ็ดสิบปีไปแล้ว เขาจะไม่ไหวหรือ?